15 มี.ค. เวลา 11:00 • หนังสือ

กบฎบวรเดช รบกันให้ตายไปข้างหนึ่ง

เมื่อวานเล่าว่า เมื่อคณะราษฎรยึดอำนาจได้สำเร็จ พระยาพหลฯเสนอชื่อ พล.อ. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ขึ้นเป็นนายกฯคนแรก แต่ทุกคนต่อต้าน
ใครคือพระองค์เจ้าบวรเดช?
ก็คืออดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
หลังจากพระยามโนฯหลุดจากอำนาจ ต้องไปลี้ภัยที่ปีนัง พระยาพหลขึ้นเป็นนายกฯคนที่สอง ผ่านไปไม่กี่เดือนพระองค์เจ้าบวรเดชก็ก่อรัฐประหาร
เราต้องเข้าใจว่าการยึดอำนาจครั้งแรกๆ ไม่มีตัวอย่างให้ดูเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นบางฉากอาจดูแปลกๆ นั่นคือแทนที่จะส่งกำลังไปยึดสถานที่สำคัญทั้งหมด กลับส่งทหารไปบอกฝ่ายรัฐบาลว่าจะยึดอำนาจแล้วนะ ถ้าไม่ทำตาม
คำตอบของฝ่ายรัฐบาลคือ พวกคุณนี่รัฐประหารไม่เป็นเลยนะ
ว่าแล้วก็ส่งปืนใหญ่ไปถล่ม
ผู้ก่อการเรียกตัวเองว่า คณะกู้บ้านเมือง ได้กำลังสนับสนุนจากทหารหัวเมือง ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี สระบุรี อยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก ปราจีนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี
มันเป็นการรวมตัวของคนหลายกลุ่ม ได้แก่ฝ่ายที่สูญเสียอำนาจจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข้าราชการที่ไม่พอใจการปกครองของกลุ่มอำนาจใหม่ ข้าราชการซึ่งไม่พอใจที่ถูกปลด พวกเขาเห็นว่าได้เวลากู้เกียรติของความเป็น ‘คณะเจ้า’ กลับคืน
คณะกู้บ้านเมืองประกอบด้วยทหารและพลเรือน แกนหลักฝ่ายทหารได้แก่ พล.อ. พระองค์เจ้าบวรเดช กฤดากร พ.อ. พระยาศรีสิทธิสงคราม นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน ฝ่ายพลเรือนได้แก่ ม.จ. สิทธิพร กฤดากร ม.จ. ศุขปรารภ กมลาสน์ ม.จ. วิเศษศักดิ์ ชยางกูร พระยาศราภัยพิพัฒ นายหลุย คีรีวัต เป็นต้น
1
(บุคคลทั้งหมดนี้ปรากฏตัวในนวนิยาย น้ำเงินเท้ ที่ผมเขียน)
สำหรับพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ถูกลดบทบาทลงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทหารคณะราษฎรหลายคนแสดงอาการดูแคลนพระยาศรีสิทธิสงคราม จนมาถึงฟางเส้นสุดท้ายเมื่อถูกปลดจากตำแหน่งเสนาธิการทหารบก
ดังนั้นเมื่อพระองค์เจ้าบวรเดชฯคิดก่อการรัฐประหาร พระยาศรีสิทธิสงครามก็เข้าร่วมด้วยโดยไม่ลังเล
2
แผนการยึดอำนาจเรียกว่า แผนล้อมกวาง ใช้นครราชสีมาเป็นศูนย์บัญชาการ เพราะเชื่อว่าชาวโคราชยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์อย่างเหนียวแน่น
1
กำหนดการลงมือคือวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๔๗๖ แต่เลื่อนออกไปอีกหนึ่งวันเป็น ๑๑ตุลาคม เพื่อรอทหารจากอุดรธานีซึ่งแจ้งว่าไม่มีรถไฟ จึงต้องใช้ทางเกวียนไปขึ้นรถไฟที่ขอนแก่น
1
จะเห็นว่าก่อการรัฐประหารในปี ๒๔๗๖ นั้นยากเอาการ
วันที่ ๑๑ ตุลาคม กำลังทหารจากหลายจังหวัดเข้ายึดพื้นที่ดอนเมือง รุ่งสางวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.อ. พระยาศรีสิทธิสงครามนำทหารช่างอยุธยาสองกองพัน ลงเรือโยงลากด้วยเรือกลไฟไปขึ้นบกที่รังสิต
1
ทหารกบฏแยกย้ายกันไปยึดสถานีรถไฟบางเขน หลักสี่ และรังสิต ตามแผนกำลังทหารจากนครสวรรค์ ราชบุรี ปราจีนบุรี อุบลราชธานี อุดรธานีจะตามมาสมทบ
หลังจากทหารฝ่ายบวรเดชยึดพื้นที่บางเขน ก็ปักหลักที่สถานีหลักสี่ ทหารม้าจากนครราชสีมาห้ากองร้อยประจำแนวรบ ด้วยปืนกลห้ากระบอก
รัฐบาลแต่งตั้งหลวงพิบูลสงครามเป็นแม่ทัพปราบกบฏ ตั้งกองอำนวยการที่สถานีรถไฟบางซื่อ ส่งกองพันที่ ๗ และ ๘ เข้าไปรับมือ
แล้วการรบก็บังเกิด เสียงปืนกลผสมเสียงฟ้าคำราม ห่ากระสุนผสมห่าฝน เลือดผสมเลือด
ฝ่ายกบฏรอกำลังทหารปืนใหญ่จากนครสวรรค์ แต่กำลังทหารนครสวรรค์ก็มาไม่ถึง เพราะถูกทหารรัฐบาลสกัดที่สถานีโคกกระเทียม ทหารนครสวรรค์จึงต้องลงเรือมาแทน พระยาเสนาสงคราม แม่กองหนีเล็ดลอดลอบมาสมทบได้
1
รัฐบาลตั้งด่านสกัดทหารจากหัวเมืองอื่น ๆ เข้ากรุง ทหารจากเพชรบุรีถูกทหารฝ่ายรัฐบาลที่ราชบุรีสกัดที่สถานีบ้านน้อย (สถานีเขาย้อย) จนไม่สามารถฝ่ามาสมทบฝ่ายกบฏที่ดอนเมือง
หลวงพิบูลสงครามสั่งเรียงปืนใหญ่เป็นแถวบนถนน ยิงไปที่ทหารฝ่ายบวรเดชซึ่งอยู่ห่างออกไปแปดกิโลเมตร ผู้คุมการยิงคือ พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม พ.ต. หลวงกาจสงคราม พ.ต. หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต ยิงไปสี่สิบนัด แต่ไม่ถูกเป้า กระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดตกลงในท้องทุ่ง
1
ฝ่ายกบฏปักหลักสู้ที่สถานีรถไฟหลักสี่ วันที่ ๑๔ ตุลาคม กำลังทหารม้าจำนวนห้ากองร้อยของนครราชสีมารุกทหารฝ่ายรัฐบาลจนถอยร่น และเข้ายึดบางเขนไว้ได้อีกครั้ง
รัฐบาลออกประกาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียง ให้พวกกบฏยอมจำนนแต่โดยดี ความผิดของกบฏคือโทษประหารชีวิต แต่รัฐบาลจะไม่เอาผิดทหารฝ่ายกบฏหากยอมวางอาวุธมอบตัว เพราะเห็นว่าทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
หลวงพิบูลสงครามมิได้รบด้วยอาวุธอย่างเดียว ยังใช้การเจรจากับทหารหัวเมือง จนกองทหารบางแห่งเปลี่ยนใจ ไม่มาตามนัด ทำให้ทหารจังหวัดอื่นลังเลไปด้วย ไม่นานกองพันทหารราบที่ ๙ ปราจีนบุรีก็เปลี่ยนข้างไปเข้ากับรัฐบาล ตามมาด้วยกองพันพิษณุโลก ลพบุรี นครสวรรค์ ลำปาง
หากคณะกู้บ้านเมืองเป็นพายุ มันก็เริ่มอ่อนแรงลง ตั้งแต่ยังพัดไม่ถึงเป้าหมาย
วันที่ ๑๕ ตุลาคม ทหารรัฐบาลขนปืนกลหนัก ปืนใหญ่ และรถถังเบาขึ้นรถไฟที่สถานีบางซื่อ นำทัพโดยหลวงอำนวยสงคราม บรรทุกทหารราบหลายกองร้อยไปด้วย น้ำหนักปืนใหญ่ทำให้หัวรถจักรคันเดียวลากไม่ไหว ต้องใช้หัวรถจักรอีกคันหนึ่งดันหลัง หมายบดขยี้ฝ่ายกบฏให้แหลกลาญ
รถไฟขนปืนใหญ่แล่นมาถึงแถววัดเทวสุนทร พลันเสียงปืนกลก็ดังกังวานต่อเนื่อง ฝ่ายกบฏที่หลบอยู่ที่วัดเทวสุนทรกระหน่ำยิงรถไฟ กลางห่ากระสุนที่ปลิวว่อน กระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าที่กกหูหลวงอำนวยสงคราม ตายคาที่ รถไฟของรัฐบาลถอยหลังกลับ
2
หลวงพิบูลสงครามสั่งรุกต่อ ส่งปืนใหญ่มาทางรถไฟอีกครั้ง
ฝ่ายกบฏปรึกษากัน ขับรถไฟไปชนรถไฟของรัฐบาล
1
นี่ไม่ใช่หนังฮอลลีวูด เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริง ในเมืองหลวงของเรานี่เอง
1
สารวัตรรถจักรชื่อ อรุณ บุนนาค อาสาขับหัวรถจักรฮาโนแม็กหมายเลข ๒๗๗ ออกจากสถานีรถไฟดอนเมือง วิ่งบนรางเดียวกับรถไฟฝ่ายรัฐบาล
1
รถไฟฝ่ายรัฐบาลส่งเสียงหวูดเตือน แต่รถไฟฝ่ายกบฏไม่ยอมหยุด พุ่งตรงเข้าชนประสานงา
อรุณ บุนนาค กระโดดลงจากรถไฟ หัวรถจักรเปล่าพุ่งเข้าหาขบวนรถไฟบรรทุกปืนใหญ่ด้วยความเร็วสูง หัวรถจักรสองคันชนกันอย่างแรงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หัวรถจักรล้ม ตกลงไปข้างทาง ทหารรัฐบาลเสียชีวิตสิบสามคน บาดเจ็บอีกจำนวนมาก รวมทั้ง พ.ต. หลวงกาจสงครามที่คุมขบวนมาบาดเจ็บหูขาด
1
ส่วน อรุณ บุนนาค ปลิวออกจากรถไฟ กระแทกกับหินข้างทางจนหมดสติไป ต่อมาก็เดินกะเผลกไปตลอดชีวิต
ชีวิตทหารทั้งสองฝ่ายที่ร่วงดับ ทำให้สงครามกลางเมืองมาถึงจุดที่ให้อภัยกันไม่ได้แล้ว ต้องรบกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
โปรโมชั่นสุดคุ้ม สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
1
โฆษณา