ทำให้โรงเรียนถูกกดดันอย่างหนักจากชุมชนให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสี่ยง บริษัทเหล่านี้จึงเริ่มทำการตลาดระบบเฝ้าระวังที่ใช้ AI โดยเสนอเทคโนโลยีที่รับประกันว่าจะเพิ่มความปลอดภัยในโรงเรียน ตั้งแต่การติดตามพฤติกรรมของนักเรียนไปจนถึงการควบคุมการเข้าถึงอาคารทั้งหมด
นักวิจารณ์หลายคนชี้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่แท้จริงของโรงเรียน แต่ถูกวางแผนเพื่อตอบสนองต่อความกลัวของผู้บริหารโรงเรียนและชุมชน ที่หวังว่าจะสามารถป้องกันเหตุการณ์รุนแรงได้โดยใช้ AI และระบบเฝ้าระวังขั้นสูง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้กลับสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการควบคุมมากกว่าการสนับสนุนให้เกิดความปลอดภัยจากภายใน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่า การใช้ AI เพื่อจับตามองนักเรียนอาจทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ต่างจากสถานที่ที่ถูกเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อการเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็สร้างความตื่นตัวด้านความปลอดภัยที่เกินพอดี จนทำให้นักเรียนรู้สึกถึงความระแวงแทนที่จะรู้สึกปลอดภัย
การแสวงหาผลกำไรจากความกลัวของคนที่ต้องการความปลอดภัย โดยเฉพาะในโรงเรียน ทำให้เกิดคำถามว่า AI เหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่โซลูชันที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความหวาดกลัวของผู้บริหารและชุมชนมากกว่าที่จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้โรงเรียนสามารถติดตามนักเรียนได้ทุกฝีก้าว แต่ในระยะยาวอาจไม่สามารถแทนที่การลงทุนในบุคลากรและการสนับสนุนด้านจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาวะที่ดี