Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
10 มี.ค. เวลา 12:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⚠️ ย้อนรอยมหากาพย์สงครามการค้ารอบแรก เตรียมใจให้ทันสงครามการค้าซีซั่นสอง
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบแรก เคยทำให้ตลาดหุ้นแทบวูบ นักลงทุนร้องไห้หนักมาก หุ้นดิ่งยับชนิดที่เทรดเดอร์มือทองยังร้องขอชีวิต แต่บอกเลยว่านั่นอาจจะแค่ซ้อม! เพราะตอนนี้ซีซั่น 2 เริ่มสตาร์ทแล้ว รีบย้อนรอยบทเรียนจากรอบที่แล้วให้ไว เตรียมรับมือกับยุทธการภาษีถล่มโลก และความปั่นป่วนอีกมากมายที่กำลังรอพวกเราอยู่กันค่ะ
สงครามการค้า หมายถึงความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่ประเทศสองฝ่ายตอบโต้กันด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆ แทนการทำสงครามทางทหาร โดยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนรอบแรก (2018–2020) เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มใช้นโยบายการค้าก้าวร้าวต่อจีนในปี 2018
ทรัมป์กล่าวหาว่าจีนเอาเปรียบการค้าโลกและลักขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐฯ เช่น การบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยีเมื่อบริษัทต่างชาติไปลงทุนในจีน ทำให้สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อกดดันจีนให้เปลี่ยนนโยบาย
การจุดชนวนครั้งนี้นำไปสู่การตอบโต้ทางภาษีระหว่างสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ (อันดับ 1 และ 2) และสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกอย่างมาก เหตุการณ์ลุกลามต่อเนื่องยาวนานกว่า 18 เดือน กระทบทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีน และเศรษฐกิจโลก ก่อนที่จะผ่อนคลายลงเมื่อทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงการค้า “Phase One” ในช่วงต้นปี 2020
🗓️ เหตุการณ์สำคัญตามไทม์ไลน์
👉🏻 ปี 2018: สงครามการค้าเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2018 หลังจากทรัมป์ใช้นโยบายภาษีนำเข้าที่แข็งกร้าวต่อหลายประเทศ รวมถึงจีน โดยในเดือนมีนาคม 2018 สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กกล้า 25% และอะลูมิเนียม 10% จากทุกประเทศ (รวมจีนด้วย)
ส่วนจีนก็โต้ตอบทันทีในต้นเดือนเมษายน 2018 ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 128 รายการ (เช่น ผลไม้ ถั่ว สุรา และเนื้อหมู) อย่างไรก็ตาม ถัดมาเพียงหนึ่งวัน (3 เมษายน 2018) สหรัฐฯ เผยแผนเก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่อัตรา 25% ทำให้จีนจึงประกาศจะขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่าใกล้เคียงกันในอัตรา 25% เช่นกัน
ข่าวการขู่ตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นนี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอย่างหนัก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงแรงในช่วงนั้น ตัวอย่างเช่น ดัชนี Dow Jones ดิ่งลงถึง 572 จุด (ประมาณ 2.3%) ในวันที่มีข่าวว่าทรัมป์อาจขยายการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนความวิตกของนักลงทุนต่อสงครามการค้าที่ทวีความตึงเครียด
ขณะที่หุ้นบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ที่พึ่งพาการค้ากับจีนอย่าง Boeing และ Caterpillar ร่วงหนัก เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้น
กลางปี 2018 สหรัฐฯ เดินหน้าทำตามแผน โดยเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนจริงในเดือนกรกฎาคม 2018 รอบแรกวงเงิน 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตรา 25%
จีนเองก็ตอบโต้ทันทีเช่นกันด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่าใกล้เคียงกัน ขณะที่ในเดือนสิงหาคม 2018 สหรัฐฯ และจีนต่างทยอยประกาศขยายรายการสินค้าและวงเงินที่จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้น (สหรัฐฯ เตรียมเก็บภาษีเพิ่มอีกรวม 200,000 ล้านดอลลาร์ส่วนจีนเตรียมขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ เพิ่ม 60,000 ล้านดอลลาร์)
ความตึงเครียดนี้ส่งผลตรงต่อตลาดหุ้นจีนอย่างชัดเจน โดยตลอดปี 2018 ดัชนี CSI300 ร่วงลงต่อเนื่องจนเข้าสู่ ตลาดหมี (bear market) โดยดัชนีลดลงกว่า 30% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ซบเซาที่สุดของโลกในปีนั้น
ขณะที่ด้านตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ แม้ครึ่งแรกของปีจะทรงตัวได้และเคยปรับขึ้นจากแรงหนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ช่วงปลายปี 2018 ความผันผวนเพิ่มขึ้นมาก ดัชนี S&P500 เคยปรับตัวลงจากระดับสูงสุดเกือบ 20% ภายในเวลาเพียง 3 เดือนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากแรงกดดันร่วมกันทั้งจากสงครามการค้าและการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญช่วงปลายปีคือการพบกันระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขณะการประชุม G20 วันที่ 1 ธันวาคม 2018 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลง “พักรบ” 90 วัน โดยสหรัฐฯ ยอมชะลอการขึ้นภาษีเพิ่มเติมที่กำหนดไว้แต่เดิมในวันที่ 1 มกราคม 2019 ออกไปก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาการค้าคืบหน้า
ข่าวการพักรบชั่วคราวนี้ช่วยสร้างความหวังให้ตลาด หุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นรับข่าวดีในช่วงต้นเดือนธันวาคม แต่ภาพรวมความเชื่อมั่นยังเปราะบาง เพราะนักลงทุนยังไม่แน่ใจว่าทั้งสองประเทศจะสามารถยุติข้อพิพาทได้จริง
👉🏻 ปี 2019: เปิดปีมาด้วยความคาดหวังเชิงบวกเมื่อสหรัฐฯ และจีนเดินหน้าเจรจาการค้าอย่างเข้มข้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 มีการจัดพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายรอบ (เช่น ต้นเดือนมกราคมและปลายเดือนมีนาคม) เพื่อร่างข้อตกลงการค้า
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม 2019 สถานการณ์กลับมาปั่นป่วนอีกครั้งเมื่อการเจรจาล้มเหลวในวินาทีสุดท้าย โดยฝ่ายจีนถอยจากร่างข้อตกลงบางส่วน ส่งผลให้ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนวงเงิน 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอัตรา 10% เป็น 25% ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2019 ส่วนจีนเองก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ เพิ่ม และยังระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรอเมริกันบางส่วน
เหตุการณ์นี้ทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่โหมดตื่นตระหนกอีกครั้ง โดยดัชนี S&P500 และ Dow Jones ร่วงลงหนักตลอดเดือนพฤษภาคม 2019 ซึ่งกลายเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนและปรับฐานแรงที่สุด เดือนหนึ่งของปีนั้น (ดัชนี S&P500 ปิดเดือนพฤษภาคม -6.6% ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010) หลังนักลงทุนต่างเทขายหุ้นเพราะกังวลว่าสงครามการค้าจะยืดเยื้อจนกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรม
ความตึงเครียดขยายวงจากเรื่องภาษีไปสู่วิกฤตเทคโนโลยีเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งแบนบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง หัวเว่ย (Huawei) ไม่ให้ซื้อชิ้นส่วนและเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม 2019
กรณีนี้สะท้อนว่าสงครามการค้าเริ่มลุกลามไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและความมั่นคงไซเบอร์ สร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งในตลาดจีนและสหรัฐฯ โดยหุ้นของบริษัทซัพพลายเออร์ชิปและสมาร์ทโฟนหลายแห่งร่วงหนักจากความกังวลว่าจะสูญเสียรายได้จากตลาดจีน
ปลายเดือนมิถุนายน 2019 ผู้นำสองประเทศพบกันอีกครั้งในการประชุม G20 ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และตกลงที่จะพักสงครามการค้ารอบสอง โดยสหรัฐฯ จะยังไม่เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในสินค้าจีนส่วนที่เหลือ และผ่อนปรนบางส่วนให้บริษัทสหรัฐฯ กลับมาขายสินค้าให้ Huawei ได้ในบางกรณี ขณะที่จีนรับปากว่าจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่ม
ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก ดัชนีต่างๆ ฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าข้อตกลงอาจจะบรรลุได้ภายในปีนั้น
อย่างไรก็ตาม ความสงบอยู่ได้ไม่นาน เดือนสิงหาคม 2019 สงครามการค้าปะทุถึงจุดรุนแรงที่สุด เมื่อทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% กับสินค้าจีนที่เหลือมูลค่าราว 300,000 ล้านดอลลาร์ (สินค้ากลุ่มสุดท้ายแทบทั้งหมดที่ยังไม่โดนภาษี)
จีนตอบโต้ด้วยการหยุดนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ทุกชนิด และปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าหลุดระดับ 7 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี สถานการณ์นี้ทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีจีนว่าเป็น “ประเทศปั่นค่าเงิน” (Currency Manipulator) ในทันที
ส่งสัญญาณว่าสงครามการค้ากำลังก้าวไปสู่อีกมิติหนึ่งซึ่งก็คือ สงครามค่าเงิน ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างรุนแรงในช่วงวันแรกๆ ของเดือนสิงหาคม โดยดัชนี Dow Jones ของสหรัฐฯ ดิ่งลงกว่า 700 จุดในวันเดียว ขณะที่ดัชนีหุ้นทั่วเอเชียและยุโรปปรับตัวลงหนัก ส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นทั่วโลกลดลงในวันเดียวหลายแสนล้านดอลลาร์
นักลงทุนหนีออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และทองคำ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) สหรัฐฯ ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์
โดย yield curve ผันผวนจนเกิดภาวะ inverted yield curve ในเดือนสิงหาคม ซึ่งหลายคนมองเป็นสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ซึ่งต่อมาเกิดขึ้นจริงๆ แต่เกิดเพราะ Covid-19)
เพื่อบรรเทาความตระหนกของตลาด ในกลางเดือนสิงหาคม 2019 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษี 10% กับสินค้าจีนบางรายการ (เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป) ออกไปเป็นเดือนธันวาคม 2019
ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นระยะสั้น อย่างไรก็ดี ช่วงปลายเดือนสิงหาคมจีนยังคงประกาศมาตรการภาษีตอบโต้เพิ่มเติมกับสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และสหรัฐฯ ก็ตอบสนองด้วยการขู่เรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกครั้ง ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้ตลาดการเงินผันผวนตลอดไตรมาสที่ 3
จนถึงเดือนตุลาคม 2019 สถานการณ์จึงเริ่มคลี่คลายเมื่อการเจรจารอบใหม่ในกรุงวอชิงตันประสบความคืบหน้า ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2019 ว่าสหรัฐฯ และจีนบรรลุ “ข้อตกลงการค้าเฟสแรก” (Phase 1) ในหลักการ ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ จะชะลอหรือยกเลิกการขึ้นภาษีบางส่วน และจีนตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาก โดยรายละเอียดอื่นๆ จะเจรจาต่อไป
ข่าวนี้ส่งผลเชิงจิตวิทยาอย่างมากต่อตลาดหุ้น โดยดัชนี S&P500 และ Dow Jones พุ่งขึ้นทำ All Time Hgih ในช่วงปลายปี 2019 เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าสงครามการค้ากำลังคลี่คลายลงในทางที่ดี ขณะที่หุ้นจีนก็ฟื้นตัวเช่นกัน โดยดัชนี CSI300 พลิกกลับมาบวกกว่า +37% ในปี 2019 หลังจากที่เคยร่วงแรงในปีก่อนหน้า
👉🏻 ต้นปี 2020: วันที่ 15 มกราคม 2020 สหรัฐฯ และจีนลงนามในข้อตกลงการค้า Phase One อย่างเป็นทางการที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยจีนยอมรับเงื่อนไขที่จะซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ เพิ่มอีกประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2020–2021 (ในสินค้ากลุ่มเกษตร พลังงาน และสินค้าอุตสาหกรรม) และปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาบางอย่าง ส่วนสหรัฐฯ ยอมยกเลิกแผนขึ้นภาษีเพิ่มเติม และลดภาษีในบางรายการลงครึ่งหนึ่ง (เช่น ภาษีรอบเดือนกันยายน 2019 ที่ 15% ลดเหลือ 7.5%)
ข้อตกลงนี้ช่วยลดความตึงเครียดลงอย่างมาก แม้ว่าภาษีนำเข้าหลายร้อยพันล้านดอลลาร์ที่สองฝ่ายตั้งไว้ตลอดปี 2018–2019 จะยังคงไม่ถูกยกเลิกทั้งหมด และยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อธุรกิจอยู่ก็ตาม
การลงนามข้อตกลงการค้า Phase One ถือเป็นการยุติสงครามการค้าชั่วคราว ในรอบแรก ตลาดหุ้นตอบรับเชิงบวก ดัชนีสำคัญทั้งสหรัฐฯ และจีนปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2020 จากความมั่นใจที่กลับมา (แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะกลายเป็นปัจจัยใหม่ที่เข้ามากระทบตลาดแทน)
📊 วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
🌐 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนช่วงปี 2018–2020 ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด องค์การระหว่างประเทศอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2019 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2008–09
โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะตึงเครียดทางการค้าทำให้การลงทุนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกชะลอตัว ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของหลายประเทศปรับตัวลงใกล้หรือใต้ระดับ 50 จุดในช่วงปลายปี 2019 บ่งชี้ถึงภาวะผลิตหดตัว
ขณะที่สถิติการค้าโลกก็ซบเซาลงมาก โดยปริมาณการค้าสินค้าทั่วโลกขยายตัวเพียงประมาณ 1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 ซึ่งนับว่าอ่อนแอที่สุดตั้งแต่ปี 2012 โดยสาเหตุหลักมาจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางนโยบาย ทำให้ธุรกิจทั่วโลกชะลอคำสั่งซื้อและการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานใหม่ๆ
สงครามการค้ายังกระทบโดยตรงต่อประเทศคู่กรณีเองเช่นกัน โดยเศรษฐกิจจีนในปี 2019 เติบโตเพียง 6.1% ต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี (ตั้งแต่ปี 1990) ซึ่งส่วนหนึ่งถูกซ้ำเติมจากการส่งออกที่ชะลอลงเพราะภาษีสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจีนที่ลดลง อย่างไรก็ดี ทางการจีนพยายามประคับประคองเศรษฐกิจผ่านมาตรการกระตุ้นภายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจยังคงเติบโตอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 6.0–6.5%
ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ได้รับแรงกดดันเช่นกัน แม้สหรัฐฯ จะเติบโตได้ดีในปี 2018 ที่ราว 2.9% (จากแรงกระตุ้นนโยบายภายในประเทศอย่างการลดภาษีเงินได้) แต่ในปี 2019 อัตราการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ชะลอลงมาอยู่ประมาณ 2.3%
ส่วนหนึ่งเพราะการลงทุนภาคธุรกิจที่ชะงักงันจากความไม่แน่นอนทางการค้า โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุไว้ในรายงาน Beige Book ของช่วงนั้นว่า หลายภาคธุรกิจชะลอการลงทุนและจ้างงาน เนื่องจากไม่มั่นใจว่าสงครามการค้าจะลงเอยอย่างไร และหลายบริษัทต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ ข้อมูลจากเขตธนาคารกลางต่างๆ ในสหรัฐฯ ระบุว่าผู้ผลิตจำนวนมากขึ้นประสบปัญหาต้นทุนสูงและกำไรลดจากภาษี จนบางแห่งต้องลดกำลังการผลิตหรือปลดพนักงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งทางการค้านี้ไม่ได้เป็น “ผู้ชนะเสียทีเดียว” สำหรับสหรัฐฯ เพราะแม้รัฐบาลทรัมป์ตั้งใจใช้ภาษีกดดันจีน แต่ผลกระทบทางอ้อมก็ตกแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิตอเมริกันจำนวนมากที่ต้องจ่ายค่าสินค้าแพงขึ้น
💵 ตลาดเงินตลาดทุนและค่าเงิน: ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าทำให้นักลงทุนย้ายเงินทุนสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในช่วงปี 2018–2019
ขณะที่ ค่าเงินหยวนจีนอ่อนค่าลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปี 2018 และแตะจุดอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 10 ปีช่วงสิงหาคม 2019
การอ่อนค่าของหยวนช่วยลดทอนผลกระทบจากภาษีบางส่วนให้ผู้ส่งออกจีน แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดการเงิน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าจะเกิด “สงครามค่าเงิน” ที่สองประเทศแข่งกันลดค่าเงินเพื่อเอื้อการส่งออกของตน
อย่างไรก็ตาม จีนได้ใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศเข้าดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนเกินควรในระยะยาว ทำให้หยวนทรงตัวหลังจากนั้น ขณะเดียวกัน ราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและน้ำมันก็เคลื่อนไหวตามข่าวสงครามการค้าอย่างมาก กล่าวได้ว่า ความคืบหน้าหรือความล้มเหลวในการเจรจาแต่ละครั้งแทบจะกำหนดทิศทางตลาดในสัปดาห์นั้นๆ เช่น เมื่อมีข่าวดีว่าการเจรจาคืบหน้า หุ้นก็มักจะพุ่งขึ้น แต่พอมีข่าวร้ายว่าข้อพิพาทบานปลาย หุ้นก็จะร่วงลงทันที
ทำให้ช่วงปี 2018–2019 ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะผันผวนสูงกว่าปกติ โดยค่า VIX ซึ่งวัดความผันผวนของตลาดหุ้นเคยพุ่งสูงถึง 36 จุดในปลายปี 2018
🏭 ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม: สงครามการค้าส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการค้าระหว่างสองประเทศ
🫛 เกษตรกรรม: เกษตรกรอเมริกันได้รับผลกระทบรุนแรงเมื่อจีนระงับหรือปรับลดการนำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิดจากสหรัฐฯ (เช่น ถั่วเหลือง ข้าวฟ่าง เนื้อสัตว์) เพื่อตอบโต้ภาษีของทรัมป์ รายได้ภาคเกษตรของสหรัฐฯ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องออกมาตรการอุดหนุนเกษตรกรวงเงินกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ ตลอดสองปี (2018–2019) เพื่อชดเชยความเสียหาย ขณะที่ด้านจีนเองผู้ผลิตถั่วเหลืองและสินค้าเกษตรในประเทศอื่น (เช่น บราซิล อาร์เจนตินา) กลับได้ประโยชน์ชั่วคราวจากการส่งออกไปจีนแทนสหรัฐฯ
🚗 ยานยนต์: รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เป็นอีกกลุ่มที่โดนผลกระทบ หลังจีนตั้งกำแพงภาษีเพิ่มกับรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐฯ ทำให้ยอดขายรถแบรนด์อเมริกันในจีนลดลง ขณะที่บริษัทสหรัฐฯ ก็เจอภาระต้นทุนเหล็กและอะไหล่ที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียมและชิ้นส่วนจากจีน ส่งผลให้บางบริษัทต้องปรับราคาขายรถในประเทศขึ้น หรือไม่ก็ย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกนอกจีนเพื่อลดภาระภาษี
🛒 สินค้าอุปโภคบริโภคและค้าปลีก: ผู้บริโภคในสหรัฐฯ เริ่มรับรู้ถึงราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น และของใช้ประจำวันหลายอย่างที่นำเข้าจากจีนถูกเก็บภาษี ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกต้องขึ้นราคาสินค้าหรือยอมลดกำไร
โดยนักเศรษฐศาสตร์พบว่าภาระภาษีที่ทรัมป์เก็บจากจีนนั้น ส่วนใหญ่ถูกผลักภาระไปให้ผู้บริโภคชาวอเมริกัน โดยจะต้องแบกรับในรูปของราคาสินค้าที่แพงขึ้น และไม่ได้ทำให้ผู้ส่งออกจีนลดราคาลงมากนัก
📱 เทคโนโลยีและซัพพลายเชน: บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกซึ่งมีฐานการผลิตในจีน (เช่น Apple) ได้รับแรงกดดันให้พิจารณาย้ายสายการผลิตบางส่วนไปประเทศอื่นเพื่อลดความเสี่ยงระยะยาว โดยหลายบริษัทเริ่มกลยุทธ์ “China Plus One” ซึ่งก็คือการกระจายการผลิตไปประเทศอื่น เช่น เวียดนาม อินเดีย หรือเม็กซิโก ควบคู่กับจีน
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้าไปในจีนช่วงสงครามการค้าชะลอลงเล็กน้อย แต่ที่น่าสังเกตคือ ไม่ได้ลดฮวบ อย่างที่หลายฝ่ายคาด โดยในช่วงปี 2018–2020 เงินลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าจีนในระดับสูง (เพียงแต่โตช้าลง)
สะท้อนว่าบรรษัทข้ามชาติส่วนหนึ่งยังมองเห็นโอกาสในตลาดจีนระยะยาว แม้ระยะสั้นจะมีความเสี่ยงจากภาษีเพิ่มขึ้นก็ตาม (แต่ปีที่แล้ว FDI แทบไม่เข้าจีนเลยนะคะ)
โดยสรุป สงครามการค้ารอบนี้สร้างความปั่นป่วนไม่น้อยให้กับเศรษฐกิจ ขณะที่สินค้าและวัตถุดิบหลายรายการมีราคาผันผวน ธุรกิจต้องปรับตัวเร่งด่วนเพื่อบริหารความเสี่ยง ด้านนักลงทุนก็ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
การวางแผนลงทุนในภาวะสงครามการค้าทำได้ยากขึ้นเพราะเหตุการณ์และนโยบายเปลี่ยนรวดเร็ว สิ่งนี้นำไปสู่แนวโน้มที่หลายประเทศและบริษัทต่างๆ พยายามลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป (เช่น ลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทาน) เพื่อกระจายความเสี่ยงหากเกิดกรณีพิพาททางการค้าในอนาคต
🎯 สรุป
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนช่วงปี 2018–2020 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ในระยะสั้น ความขัดแย้งนี้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างรุนแรง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ดัชนีหลักๆ ทั่วโลกแกว่งตัวแรงตามข่าวดีหรือข่าวร้ายเรื่องการค้า ตัวอย่างเช่น การรูดลงเกือบ 20% ของ S&P500 ในปลายปี 2018 และการดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในปลายปี 2019 หลังข่าวข้อตกลงเฟสแรก
นอกจากนี้ ยังทำให้การเติบโตของ GDP โลกชะลอลง เราจะเห็นได้ชัดว่าภาคการผลิต การลงทุน และการจ้างงานได้รับผลกระทบด้านลบจากความไม่แน่นอนและต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจจำนวนมากต้องปรับตัวแบบวันต่อวัน สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกต่อความขัดแย้งทางการค้าในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกันทั่วโลก
ส่วนในระยะยาว สงครามการค้าครั้งนี้ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญและจุดเปลี่ยนของแนวโน้มโลก กล่าวคือ ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาการค้าเสรีและโลกาภิวัตน์ที่ไร้ข้อจำกัด ยุทธศาสตร์ “ลดการพึ่งพาจีน” ในด้านการผลิตเริ่มถูกพูดถึงอย่างจริงจังหลังสงครามการค้า นักลงทุนเองก็เริ่มประเมินปัจจัยความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน
นอกจากนี้ แม้สงครามการค้ารอบนี้จะยุติลงด้วยข้อตกลง Phase One แต่ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปสู่สภาวะเดิมทั้งหมด ภาษีบางส่วนยังคงอยู่และอาจดำเนินต่อไปอีกหลายปี ส่งผลให้โครงสร้างการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเปลี่ยนแปลงในระยะยาว (เช่น จีนหันไปนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าอื่นมากขึ้น และสหรัฐฯ ผลักดันนโยบาย “America First” ต่อเนื่อง)
สำหรับตลาดหุ้น แม้ว่าจะฟื้นตัวและเดินหน้าทำระดับสูงสุดใหม่ได้หลังความขัดแย้งคลี่คลาย แต่เหตุการณ์นี้ก็ตอกย้ำว่า ปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศสามารถเขย่าตลาดการเงินได้อย่างรุนแรง ความผันผวนที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น และอาจมีการจัดพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์มากขึ้นในอนาคต
โดยสรุปแล้ว สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนครั้งที่ 1 (2018–2020) ได้ทิ้งทั้งบาดแผลและบทเรียนไว้ในระบบเศรษฐกิจโลก ในระยะสั้นมันสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดหุ้นและการเติบโตทั่วโลก แต่ในระยะยาวมันกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวและทบทวนยุทธศาสตร์ทางการค้าและการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับบริษัท เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ส่วนนักลงทุนช่วงนี้ก็สามารถใช้บทเรียนนี้ในการรับมือกับสงครามการค้ารอบที่ 2 ที่กำเกิดอยู่ในปัจจุบันได้ค่ะ
การลงทุน
หุ้น
เศรษฐกิจ
1 บันทึก
7
1
3
1
7
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย