10 มี.ค. เวลา 15:30 • ธุรกิจ

ซิลิคอนแวลลีย์แห่งอินเดียกำลังขาดแคลนน้ำ

ที่อินเดียมีคนเก่ง ๆ อยู่มากมาย โดยเฉพาะเมื่อเราเปรียบเทียบค่าแรงกับการทำงานในสหรัฐฯ ที่ค่าจ้างต่อชั่วโมงเฉลี่ยอยู่ราว ๆ 50 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง แต่หากจ้างคนอินเดียทำงานแบบเดียวกันนี้จะมีค่าแรงอยู่ที่ 15 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมใหม่นี้เบ่งบาน เติบโตอย่างรวดเร็วในอินเดียประกอบกับภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวจนได้รับสมญานามว่า "ซิลิคอนแวลลีย์แห่งอินเดีย"
ในปัจจุบันประชากรเมืองบังกาลอร์เพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคน พื้นที่ตัวเมืองก็ขยับขยายออกไปกว่าเดิมมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเมืองจะเติบโตได้เร็วในอัตราทวีคูณได้ขนาดนี้
เมื่อเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน แหล่งน้ำที่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง บึง อ่างเก็บน้ำ จากในอดีตที่มี 1,000 กว่าแห่ง ในปัจจุบันเหลือไม่ถึง 30 แห่ง !!
แล้วเรื่องแหล่งน้ำเกี่ยวอะไรกับเมืองบังกาลอร์ ? บังกาลอร์เน้นไอที ทำซอฟท์แวร์ ทำแอพพลิเคชัน ไม่ได้เน้นเรื่องน้ำ !!!
นั่นก็เพราะว่าแหล่งน้ำที่นำมาอุปโภคบริโภคในเมืองแห่งนี้นั้นกำลังแห้งเหือดลงไปจากเดิมถึง 50%
คนเขียนโปรแกรมไม่ดื่มน้ำ ไม่อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ซักผ้า ไม่เข้าห้องน้ำกดชักโครกหรือไง ? ไม่กินข้าว ไม่ต้องทำกับข้าวเหรอ ?
ในปี 2022 อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกคือราวๆ 1,400 ล้านคน ส่งผลให้ทรัพยากรน้ำกลายเป็นของหายากและมีค่ามีราคาในประเทศนี้
ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สมัยที่อินเดียยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร ได้มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัวแบบกึ่งอุตสาหกรรม มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ วางท่อส่งน้ำยาวหลายกิโลเมตร สร้างโรงไฟฟ้า บังกาลอร์เป็นหนึ่งในหลายเมืองที่มีไฟถนนที่ได้กระแสไฟฟ้าจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปราว 70 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังมีทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ ห้วย หนอง คลองบึงน้อยใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่รอบ ๆ เมืองไม่ต่ำกว่า 1,000 แห่ง
อินเดียประกาศเอกราชของประเทศจากการปกครองของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1947
……
คราวนี้มองย้อนกลับไปในอดีตใกล้ๆ สักหน่อย เมื่อ 40 กว่าปีก่อนที่เมืองบังกาลอร์ สถานที่แห่งนี้ยังเป็นทุ่งหญ้าเขียวโปร่งโล่งขจี วิวทิวทัศน์ที่เงียบสงบ ประชากรยังไม่มากมาย ส่วนใหญ่ทำการเกษตร แต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อโอกาสมาถึงจากยุคโลกาภิวัฒน์ทางด้านไอที ชาวอินเดียเริ่มตระหนักได้ว่าพวกเขาก็มีความสามารถทางด้านไอทีไม่แพ้ที่ใดในโลก
ดังนั้นทศวรรษที่ 80 จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคไอทีในอินเดีย เริ่มสร้างชื่อจากการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาซอฟท์แวร์แห่งใหม่นอกสหรัฐฯ ประกอบกับในปี 1984 รัฐบาลอินเดียได้มีนโยบายเปิดเสรีทางด้านคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเมืองบังกาลอร์ขจรขจายออกไปทั่วโลก ดึงดูดการลงุทนจากต่างประเทศให้หลั่งไหลเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมลงทุนหรือว่าลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคขึ้นในอินเดีย
ที่อินเดียมีคนเก่ง ๆ อยู่มากมาย โดยเฉพาะเมื่อเราเปรียบเทียบค่าแรงกับการทำงานในสหรัฐฯ ที่ค่าจ้างต่อชั่วโมงเฉลี่ยอยู่ราว ๆ 50 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง แต่หากจ้างคนอินเดียทำงานแบบเดียวกันนี้จะมีค่าแรงอยู่ที่ 15 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมใหม่นี้เบ่งบาน เติบโตอย่างรวดเร็วในอินเดียประกอบกับภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวจนได้รับสมญานามว่า "ซิลิคอนแวลลีย์แห่งอินเดีย"
ผู้คนต่างเริ่มหลั่งไหลเข้ามาหางานทำในเมืองบังกาลอร์แห่งนี้ โดยในปี 2011 ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ราว 8.4 ล้านคน ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสามของอินเดียและมากที่สุดในเขตอินเดียใต้
จากนั้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2014 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเมืองบังกาลอร์เป็นชื่อใหม่ว่าเบงกาลูรูเมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะ อย่างเป็นทางการ.........
ในปัจจุบันประชากรเมืองบังกาลอร์เพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคน พื้นที่ตัวเมืองก็ขยับขยายออกไปกว่าเดิมมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเมืองจะเติบโตได้เร็วในอัตราทวีคูณได้ขนาดนี้ เมื่อเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน แหล่งน้ำที่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง บึง อ่างเก็บน้ำ จากในอดีตที่มี 1,000 กว่าแห่ง ในปัจจุบันเหลือไม่ถึง 30 แห่ง !!
เมื่อตัวเมืองขยายตัวออกไปเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิดทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาหลายอย่างและปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ซึ่งไม่ใช่เป็นการขาดแคลนแบบไม่มีใครเอาน้ำมาส่งไว้หน้าห้อง หน้าออฟฟิศสำนักงาน แต่เป็นการขาดแคลนน้ำในระดับที่แหล่งน้ำในธรรมชาติมีปริมาณน้ำลดลงอย่างมาก
เมื่อตัวเมืองขยาย ผู้คนเพิ่มจำนวน การใช้น้ำก็เพิ่มมากขึ้นในอัตราทวีคูณ สิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน อาคารขนาดใหญ่ ถนน หนทาง ที่เพิ่มพื้นที่คอนกรีตก็ทำให้การซึมผ่านของน้ำในอากาศทำได้ยากขึ้น แล้วในช่วงหลังมากนี้ก็เกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อินเดียต้องเผชิญกับภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้เกิดความแห้งแล้งแต่ปริมาณการใช้น้ำยังอยู่ในระดับสูงเท่าเดิม ทำให้นอกจากไม่มีน้ำมาเติมเต็มห้วย หนอง คลอง บึง ยังดึงเอาน้ำที่กักเก็บไว้ไปใช้จนลดต่ำลงไปมากกว่าเดิมอีก
.....................................
อ่านต่อได้ที่ https://herothailand.com/yutt
Herothailand.com รับสั่งหนังสือต่างประเทศ สินค้าต่างประเทศ พร้อมรับประกันการจัดส่งถึงบ้าน ไม่ได้รับสินค้ายินดีคืนเงินเต็มจำนวน
Tel : 08-5464-1644 จะโทรหรือไลน์ก็เบอร์เดียวกันนี้ครับ
โฆษณา