13 มี.ค. เวลา 08:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ

👨‍💼 สรุปรายงาน Future of Jobs จาก WEF: 40% ของทักษะในวันนี้จะไร้ค่า

รายงาน Future of Jobs จากเวทีเศรษฐกิจโลก (WEF) เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดแรงงานในอนาคตอันใกล้ โดยศึกษาผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว และโครงสร้างประชากร
2
โดยรายงานฉบับปี 2025 ระบุว่าในช่วงปี 2025-2030 จะมีการสร้างงานใหม่ประมาณ 170 ล้านตำแหน่ง และสูญหายไป 92 ล้านตำแหน่ง ทำให้มีการจ้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น 78 ล้านตำแหน่ง
โดยงานบางประเภทจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางงานมีความเสี่ยงที่จะลดลงหรือหายไป
🎯 แนวโน้มอาชีพที่เติบโตและหดตัว
รายงานคาดการณ์ว่างานที่มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดมีทั้งงานเทคโนโลยีและงานดั้งเดิมที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ ตัวอย่าง 5 อันดับอาชีพที่เติบโตสูงสุด ได้แก่ เกษตรกร ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดเนื่องจากกระแสเศรษฐกิจสีเขียวและความต้องการด้านอาหาร, พนักงานส่งของ ที่เติบโตตามอีคอมเมิร์ซ, นักพัฒนาซอฟต์แวร์ จากการขยายตัวของบริการดิจิทัล, ช่างก่อสร้าง ตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ พนักงานขายหน้าร้าน จากการขยายตัวของภาคค้าปลีก
ส่วนงานอื่นๆ ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้แก่งานแปรรูปอาหาร รวมถึงงานด้านการดูแลสุขภาพและสังคม เช่น พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ และ ที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต ซึ่งเติบโตตามแนวโน้มประชากรสูงวัย
ในทางกลับกัน งานที่เสี่ยงจะลดลง มักเป็นงานธุรการหรืองานรูทีนที่สามารถถูกทดแทนด้วยระบบดิจิทัลหรืออัตโนมัติได้ รายงานระบุอาชีพที่มีแนวโน้ม หดตัวหรือไม่เป็นที่ต้องการในอนาคต เช่น เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์, พนักงานธนาคารประจำเคาน์เตอร์, เจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูล, แคชเชียร์/พนักงานขายตั๋ว, ผู้ช่วยธุรการและเลขานุการ, พนักงานด้านการพิมพ์, เสมียนบัญชี/การเงิน และ เสมียนจัดเก็บสต็อก เป็นต้น
งานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นงานซ้ำๆ ที่เทคโนโลยีสามารถทำแทนได้ ซึ่งหมายความว่าผู้ปฏิบัติงานในสาขานี้อาจต้องเตรียมปรับตัวหรือยกระดับทักษะไปสู่งานประเภทอื่นในอนาคต
3
📊 ทักษะที่จำเป็นในอนาคต
เนื่องจากธรรมชาติของงานเปลี่ยนไป ทักษะที่แรงงานต้องมีในอนาคตจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วย นายจ้างคาดว่าเกือบ 40% ของทักษะหลักที่ใช้ในการทำงานทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปภายในปี 2030 ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง (หรือพูดอีกแบบคือ 40% ของทักษะในวันนี้จะไร้ค่า)
บริษัทต่างๆ ตระหนักถึงเรื่องนี้ โดย 85% ของนายจ้างมีแผนลงทุนในการฝึกอบรมและเพิ่มทักษะ (upskill/reskill) ให้พนักงาน
1
ทักษะด้านเทคโนโลยี จะมีความต้องการสูงที่สุดในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะทักษะด้าน AI และ Big Data ตามมาด้วย เครือข่ายและความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึง ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ ทักษะด้านมนุษย์ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ทักษะอย่าง ความคิดสร้างสรรค์, ความยืดหยุ่นและการปรับตัว รวมถึง ความใฝ่รู้และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เป็นทักษะที่นายจ้างมองว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทักษะอื่นๆ ในกลุ่มนี้ที่ติดอันดับความต้องการสูง ได้แก่ ภาวะผู้นำและอิทธิพลต่อสังคม, การบริหารจัดการบุคลากร, การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล และ จิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
สรุปแล้ว อนาคตของงานต้องการแรงงานที่มีทั้งทักษะทางเทคนิคและทักษะ “ความเป็นมนุษย์” ผสมผสานกัน เพื่อให้สามารถปรับตัวในโลกการทำงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1
🤖 ผลกระทบของ AI และเทคโนโลยี
เทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะ AI กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานอย่างรวดเร็ว ในหลายภาคส่วน AI, หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติจะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้งานบางอย่างถูกปรับให้เครื่องจักรทำแทน แต่ขณะเดียวกันก็เกิดงานใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
โดยรายงานระบุว่า 86% ของนายจ้างมองว่าความก้าวหน้าด้าน AI จะส่งผลอย่างมากต่อธุรกิจภายในปี 2030 และผู้ประกอบการจำนวนมากกำลังวางแผนรับมือกับเรื่องนี้โดยตรง
บริษัทเกือบครึ่งหนึ่งมีแผนปรับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อรองรับ AI และ 80% เตรียมฝึกอบรมพนักงานให้มีทักษะด้าน AI หรือจ้างพนักงานใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ขณะที่ มีเพียงประมาณ 40% ของนายจ้างเท่านั้นที่คาดว่าจะลดจำนวนพนักงานลงเพราะให้ AI ทำงานแทน
นอกจากนี้ 73% ขององค์กรมีแผนจะเพิ่มการใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการทำงาน และ 70% ตั้งใจจะรับคนที่มีทักษะใหม่ๆ เข้าทำงานเพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ
ผลลัพธ์ของการนำ AI และเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลาย คือการปรับสมดุลระหว่าง “งานที่คนทำ” กับ “งานที่เครื่องจักรทำ”
งานที่เป็นกิจวัตร ซ้ำซาก และคาดการณ์ได้จะถูกถ่ายโอนให้เครื่องจักรมากขึ้น ในขณะที่งานที่ต้องการการตัดสินใจเชิงซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ หรือการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจะยังคงต้องการมนุษย์
นอกจากนี้การเกิดขึ้นของ ปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง (เช่น Generative AI) ยังสร้างบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI, วิศวกรข้อมูล และนักวิเคราะห์ระบบ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการสูงในตลาดแรงงานปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่แรงงานต้อง พร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
🧑‍💻 แนวโน้มการทำงานแบบใหม่
ลักษณะการทำงานกำลังปรับตัวสู่รูปแบบที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น หลังสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา แนวคิดการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (remote work) และการทำงานแบบผสมผสาน (hybrid work ที่ทำงานบางวันจากที่บ้าน บางวันจากสำนักงาน) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
รายงานระบุว่าการเปิดโอกาสให้พนักงานทำงานจากระยะไกลหรือแบบยืดหยุ่นถือเป็น กลยุทธ์สำคัญที่นายจ้าง 43% ทั่วโลกใช้ในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ และยังช่วยรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น เพราะทั้งฝ่ายนายจ้างและพนักงานต่างเห็นพ้องถึงความสำคัญของความยืดหยุ่นในการทำงาน
นอกจากนี้ เศรษฐกิจแบบรับจ้างอิสระ (gig economy) ก็มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการตลาดแรงงานยุคใหม่ โดยบริษัทต่างๆ เริ่ม ให้ความสำคัญกับการจ้างงานที่เน้นทักษะเป็นหลัก มากกว่าการยึดตามวุฒิการศึกษา โดยเกือบครึ่งหนึ่งของนายจ้าง (47%) มุ่งหาแรงงานจากแหล่งที่หลากหลาย พร้อมทั้ง ลดเงื่อนไขเรื่องปริญญาการศึกษาและหันมาเลือกคนจากทักษะที่มี
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับการเติบโตของงานฟรีแลนซ์และการจ้างงานชั่วคราวที่เน้นโครงการ (project-based) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถเฉพาะทางสามารถทำงานแบบยืดหยุ่น และให้องค์กรเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการได้ตรงจุดยิ่งขึ้น
🎯 โดยสรุป อนาคตของการทำงานจะมีความยืดหยุ่นและใช้ทักษะเฉพาะทางมากขึ้น เทคโนโลยีและ AI จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยงานรูทีน ในขณะที่มนุษย์จะมุ่งไปทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจัดการ และทักษะทางสังคมมากขึ้น
1
แรงงานยุคใหม่จึงควรเตรียมพร้อมทั้งด้าน การพัฒนาทักษะใหม่ และ การปรับตัวเข้ากับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป เพื่อให้สามารถประสบความสำเร็จในตลาดแรงงานอนาคตที่กำลังมาถึงได้อย่างมั่นใจ ส่วนใครที่ปรับตัวไม่ทันก็เตรียมตัวตกงานกันได้เลยค่ะ
โฆษณา