18 มี.ค. เวลา 03:25 • ข่าวรอบโลก

หรือนี่คือเหตุผลหนึ่งที่รัสเซีย “กระอักกระอ่วน” จะยอมหยุดพักรบ 30 วันตามที่ยูเครนตกลง

รูปแบบของข้อตกลงสันติภาพที่อาจเกิดขึ้นในยูเครนยังคงไม่ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ามันจะใกล้เข้ามาทุกที (ไม่ทางใดทางหนึ่ง) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเมื่อคณะผู้แทนสหรัฐฯ และยูเครนพบกันที่ซาอุดิอาระเบีย มีรายงานว่าฝ่ายยูเครนยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่จะหยุดยิง 30 วัน แต่ในเวลาต่อมาฝ่ายรัสเซียมีทีท่าปฏิเสธยอมรับข้อเสนอดังกล่าว (โดยกล่าวว่าต้องลงดูในรายละเอียดก่อน และมุ่งที่ความมั่นคงระยะยาว ไม่ใช่แค่สั้นๆ) [1]
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “สตีฟ วิทคอฟฟ์” ผู้แทนพิเศษของทรัมป์เสนอว่าข้อตกลงอาจบรรลุได้ภายใน “ไม่กี่สัปดาห์” และแย้มถึงการประนีประนอมที่เป็นไปได้หลายประการจากฝั่งยูเครนซึ่งเขาอ้างว่ากำลังอยู่ระหว่างการหารือ [2]
1
สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ เครดิตภาพ: REUTERS/Evelyn Hockstein/Pool
อย่างไรก็ตามได้มีการวิเคราะห์และรายงานจากช่องเทเลแกรม Faridaily ถึงเหตุผลที่ว่า “ทำไมรัสเซียไม่อยากรีบหยุดพักยิง 30 วันตามที่อีกฝ่ายเสนอมา” โดยบอกว่าเป็นเหตุผลภายในประเทศเสียมากกว่า เครมลินกำลังเตรียมรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่สังคมรัสเซียจะเผชิญเมื่อมีการหยุดยิง นั่นคือการที่ทหารหลายแสนนายที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจได้กลับบ้านเกิด ถึงขั้น “ระบบบริหารภายในล่มได้” [3]
ต้องบอกก่อนว่าทางเพจขอนำเสนอความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ออกมาจากทางการรัสเซีย ซึ่ง Faridaily เป็นช่องของ Farida Rustamova นักข่าวสาวชาวรัสเซียที่นำเสนอวิเคราะห์การเมืองภายในประเทศรัสเซีย และทำงานให้กับสำนักข่าวบีบีซีภาคภาษารัสเซีย และสื่ออิสระของรัสเซีย (ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเสนอเนื้อหาขัดใจเครมลิน)
Farida Rustamova นักข่าวสาวชาวรัสเซีย เจ้าของช่องเทเลแกรม Faridaily เครดิตภาพ: ILIYA PITALEV / AFP
ในขณะที่ มอสโก-วอชิงตัน-เคียฟ ยังคงหารือกันถึงข้อตกลงสันติภาพที่เป็นไปได้ ทางการรัสเซียกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายภายในประเทศที่จะตามมาเมื่อสงครามสิ้นสุดลง การหยุดยิงอาจส่งผลให้ทหารจำนวนมากเดินทางกลับบ้าน และดูเหมือนว่าทางการรัสเซียจะตระหนักดีถึงความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นนี้
ทหารผ่านศึกเหล่านี้หลายคนคาดว่าจะมีภาวะ PTSD (ภาวะเครียดซึมเศร้าหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง) และอาจมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงตามมาด้วย ตามรายงานของช่องเทเลแกรมดังกล่าว ได้มีการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานเกี่ยวกับโปรแกรมฟื้นฟูสภาพจิตใจสำหรับทหารผ่านศึกรัสเซีย แหล่งข่าวคาดการณ์ว่าจะมีปัญหาทางสังคมที่สำคัญหลายประการ เช่น
  • การใช้สารเสพติดและแอลกอฮอล์มากขึ้น: ทหารที่กลับมาจำนวนมากมักจะหันไปพึ่งแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเพื่อรับมือกับบาดแผลทางร่างกายและจิตใจ “ปีแรกหลังสงครามจะเป็นปีแห่งการดื่มหนัก” แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานของรัสเซียกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูทหารผ่านศึกตั้งข้อสังเกตว่าทหารผ่านศึกหลายคนที่กลับมาจากสงครามพร้อมกับอาการบาดเจ็บ การกระทบกระเทือนทางสมอง หรือการสูญเสียอวัยวะกำลังดิ้นรนเพื่อกลับเข้าสู่ชีวิตพลเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท พวกเขามีแนวโน้มเริ่มดื่มอย่างหนัก ทหารผ่านศึกจำนวนมากกลับมาจากสงครามด้วยความรู้สึกเศร้าโศกในจิตใจลึกๆ ในหัวคิดว่า “ผมเป็นฮีโร่ ผมต่อสู้เพื่อพวกคุณ ส่วนพวกคุณเป็นเพียงคนขี้ขลาดไร้ค่าที่อยู่ข้างหลัง”
  • การว่างงาน อาชญากรรม และหนี้สิน: ทหารจำนวนมากอาจไม่เต็มใจที่จะกลับไปทำงานด้านพลเรือนที่มีรายได้น้อยเนื่องจากได้รับเงินหลายล้านรูเบิล (เท่ากับหลายหมื่นดอลลาร์) จากสัญญาเข้าเป็นทหาร
เจ้าหน้าที่รัฐบาลเตือนว่าสิ่งนี้อาจทำให้บุคคลที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ ซึ่งหลายคนคุ้นเคยกับความรุนแรงและคุ้นเคยกับอาวุธ ขาดรายได้ที่มั่นคง ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการก่ออาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้น แหล่งข่าวจากสถาบันวิจัยในสังกัดรัฐบอกกับ Faridaily ว่าเมื่อคุณภาพชีวิตของทหารลดลง ทหารที่ปลดเกษียณก็คาดว่าจะกู้เงินเป็นจำนวนมากเช่นกัน
1
  • ความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับสถานที่ทำงาน: นายจ้างจะเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากกฎหมายรัสเซียกำหนดให้ต้องเปิดรับทหารที่กลับมาจากสงครามเข้าทำงานในตำแหน่งที่ว่าง (ห้ามปิดกั้น) แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานรัสเซียคาดการณ์ว่าทหารผ่านศึกจะถูกไล่ออกได้ยาก แต่หลายคนอาจถูกมองว่าเป็น “พนักงานที่สร้างปัญหา” เนื่องจากติดสุราและมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม “สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือพวกเขาจะได้รับเงินเพียงเพื่อไม่ต้องมาทำงาน เพื่อตัดปัญหากับที่ทำงาน”
  • ความรุนแรงในครอบครัวและการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม: การที่ทหารจากแนวหน้ากลับมาอาจไม่ใช่การกลับมาพบกันอีกครั้งอย่างมีความสุขอย่างที่หลายครอบครัวคาดหวังไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับความรุนแรงจากผู้ชายที่มีอาการ PTSD
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าทหารผ่านศึกหลายคนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองปีจึงจะปรับตัวเข้ากับชีวิตครอบครัวได้ กระทรวงแรงงานยังคาดการณ์ว่าการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผนจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มวิจัยในสังกัดรัฐบาลคาดการณ์ว่าทารกเกิดใหม่จะเพิ่มขึ้นหลังสงคราม อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวระบุว่าอัตราการเกิดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและควบคุมได้หรือการสร้างครอบครัวใหม่ที่มั่นคงอบอุ่นแลดูเป็นเรื่องที่ยาก
ตามรายงานของ Faridaily ทางการรัสเซียดูเหมือนจะตระหนักถึงความท้าทายที่ทหารที่กลับมาจากสงครามจะต้องเผชิญ ปูตินได้มอบหมายให้หลานสาวของเขา “แอนนา ซิวิเลวา” รับผิดชอบในการดูแลอดีตทหารผ่านศึก โดยแต่งตั้งให้เธอเป็นรองรัฐมนตรีกลาโหมและหัวหน้ามูลนิธิ Defenders of the Fatherland ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ
“พวกเขา [ทหารผ่านศึกในยูเครน] ไม่ควรต้องถูกลอยแพเหมือนทหารผ่านศึกอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ 1990” บุคคลหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งมูลนิธิกล่าว
แอนนา ซิวิเลวา หลานสาวของปูติน หัวหน้ามูลนิธิ Defenders of the Fatherland เครดิตภาพ: Bloomberg
นอกจากนี้ไม่ใช่ว่านักจิตวิทยาคนใดก็ทำงานรักษาเยียวยาทหารปลดประจำการที่ป่วยด้วย PTSD ได้ จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมเฉพาะทาง มหาวิทยาลัยบางแห่งในรัสเซียกำลังฝึกอบรมนักศึกษาใหม่เพื่อรับมือกับความผิดปกตินี้ “แต่นักศึกษาเหล่านี้เป็นนักศึกษาสาววัยรุ่น คุณคิดจริงหรือว่าทหารชายที่มีอายุมากกว่าและผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญจะเอาใจใส่พวกเธออย่างจริงจัง แน่นอนว่าไม่” เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานกล่าว
นอกจากนี้รัสเซียยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพและที่ปรึกษาอาชีพอย่างมาก แหล่งข่าวในรัฐบาลกลางรายหนึ่งระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่สามารถจัดการกับทหารผ่านศึกที่ขอความช่วยเหลือไปแล้วได้จนถึงขณะนี้ “แต่หากทหารผ่านศึกหลายพันคนกลับมาจากแนวหน้าพร้อมกัน ระบบจะรับไม่ไหวและอาจล่มสลายได้” แหล่งข่าวกล่าว
ความท้าทายอีกประการหนึ่งที่เครมลินจะต้องเผชิญก็คือการยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ทหารผ่านศึกกลับมาจำนวนมากพร้อมกัน การยอมรับว่ามีปัญหาเช่นนี้อยู่ อาจทำให้ภาพลักษณ์ของ “วีรบุรุษสงคราม” ที่ขับเคลื่อนโดยการโฆษณาชวนเชื่อลดน้อยลง
เครดิตภาพ: Alexander NEMENOV / AFP
เรียบเรียงโดย Right Style
18th Mar 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: AP / Scanpix / LETA>
โฆษณา