22 มี.ค. เวลา 08:34 • ธุรกิจ

คนเจน Z ความจนไม่ใช่พันธุกรรม

ระหว่างที่รถติดไฟแดง ตาก็เหลือบไปเห็นท้ายรถกระบะคันข้างหน้า ติดสติ๊กเกอร์ว่า "ความจนไม่ใช่พันธุกรรม"
จำได้ว่าเคยเห็นวลีนี้ตอนยังเป็นวัยรุ่น เวลาอ่านแล้วมันก็หึกเหิม โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปล่วงเลยเข้าวัยกลางคน เมื่อได้มาเห็นวลีนี้อีกครั้งกลับไม่ได้ทำให้หึกเหิมแต่กลับรู้สึกเข้าใจชีวิตและเห็นเส้นทางชีวิตของตนเองและใครหลายคนที่ได้เคยพบพานรู้จักกันมา จากคนไม่มีอะไรก็สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ จากคนที่ไม่มีอะไรสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้แล้วก็กลับไปเป็นคนที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมในตอนที่อายุมากขึ้นก็มี
................
นับตั้งแต่ที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้กระจายโอกาสให้กับผู้คน ผ่านชีวิตของผู้คนมาหลายชั่วรุ่น โลกได้พัฒนาไปไกลมาก แต่ทว่าคนรุ่นปัจจุบันกลับไม่ได้มีความมั่งคั่งมากกว่ารุ่นพ่อแม่ตามความก้าวหน้าของโลก แม้กระทั่งในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนามากที่สุดก็ตาม
ตั้งแต่ที่เรายังเป็นเด็ก มักได้ยินผู้ใหญ่บอกให้ตั้งใจเรียน โตขึ้นมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีการมีงานที่ดีทำ มีอนาคตสดใส มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนรุ่นก่อนหน้า
แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังกัน ความเป็นจริงคือ คนทำงานวัยหนุ่มสาวเพียงปรารถนาที่จะมีชีวิตเหมือนเช่นพ่อแม่ของพวกเขาก็ดีถมเถไปแล้ว
ทั้งนี้เพราะสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คือหางานทำยากและต่อให้หางานทำได้ก็ไม่มีงานไหนที่จะมั่นคงดำรงอยู่ตลอดไป แถมเงินเดือนก็ไม่ได้มาก บ้าน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ก็มีราคาแพงขึ้นกว่าแต่ก่อน จะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวก็ไหนจะค่าบ้าน ค่ารถ มีลูกก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม เป็นคนมีค่าาาาาาใช้จ่ายมาก นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องเงินออม เงินเก็บเพื่อใช้หลังเกษียณ
น่าแปลกที่เราเห็นเมืองมีการขยายตัว เต็มไปด้วยความเจริญ เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีหัวเมืองใหญ่ มีมหานครเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก ต่างจากสมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อน แต่ทำไมประชากรโลกกลับจนลง ทำไมไม่รวยขึ้นกันถ้วนหน้า ดาหน้ากันเข้ามารวย อะไรแบบนี้
เหตุใดโลกใบนี้ที่ดูว่ามั่งคั่งและเจริญก้าวหน้ากว่ายุคก่อนกลับสร้างคนรุ่นใหม่ที่จนลงกว่าเดิมกันเล่า ?
ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ความจนหรือว่ารวยเป็นเรื่องของผู้คน เราจึงต้องแบ่งกลุ่มผู้คนบนโลกออกเป็นเจเนอเรชันดังนี้
Baby Boomers (1946-1964) ผู้ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นสูงมาก
Generation X (1965-1979) ผู้ที่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าวต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ
Millennials (1980-1994) ผู้ที่เกิดมาในช่วงที่มีการพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยีต่าง ๆ มีโซเชียลมีเดีย
Generation Z (1995-2009) ผู้ที่เกิดมาในยุคดิจิตัล มีอิสระสูง มีทางเลือกมากมาย
Generation Alpha (2010-2024) ผู้ที่มีอายุน้อยสุดและมีทักษะทางด้านเทคโนโลยีและคุ้นเคยกับดิจิตัลแพลทฟอร์มต่าง ๆ เป็นอย่างดี
ตามสถิติล่าสุดของสหรัฐฯ ในปี 2023 กลุ่มประชากรของคนเจนมิลเลนเนียมมีจำนวนแซงหน้ากลุ่มคนเจนเบบี้บูมแล้ว รองลงมาคือกลุ่มคนเบบี้บูม ตามมาด้วยคนเจน X และเจน Z ตามลำดับ
แต่หากเรามองในภาพรวมของโลกจะพบว่าเจน Z กำลังจะเป็นกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก ตามมาด้วยเจนมิลเลนเนียมและเบบี้บูม
เมื่อเราแบ่งกลุ่มประชากรแล้ว จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักขับเคลื่อนโลกใบนี้ก็คือคนเจน Z
“ผมต้องทำงานหลายอย่างเพื่อให้มีเงินพอซื้ออาหาร ทั้งที่ ๆ ทำงานเต็มเวลาและยังหารค่าห้องกับเพื่อนแต่สุดท้ายก็ต้องดึงเงินเก็บมาใช้ บางทีก็ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่ก็อาศัยดื่มน้ำรองท้องให้อิ่ม”
“ตอนแรกที่ฉันออกมาเช่าห้องอยู่เอง ต้องจ่ายค่าเช่าราว 280 เหรียญฯ ต่อสัปดาห์ ส่วนเจ้าของก็ต้องการขึ้นค่าเช่าเป็น 480 เหรียญฯ ต่อสัปดาห์”
“ส่วนผมมีรายได้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำสามเท่าแต่ก็ยังไม่พอใช้”
สถานการณ์แบบนี้จะเป็นอย่างไรในอีก 5 ปี เมื่อชาวอเมริกัน 100 ล้านคนไม่สามารถซื้อบ้านที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ได้ ขณะเดียวกันค่าเช่าก็จะปรับสูงขึ้นอีก 200%
ในแต่ละปีคนเจน Z ทุก 6 ใน 10 คน รู้สึกถึงอนาคตที่ไม่มั่นคงของพวกเขา มี Gen Z เพียง 15% เท่านั้นที่คาดหวังว่าจะมีรายได้พอซื้อบ้านภายใน 5 ปีนับจากนี้ และ 80% ของคนกลุ่มนี้ที่กำลังเช่าบ้านอยู่ต่างก็กังวลว่าค่าเช่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าที่พวกเขาจะจ่ายได้ ส่วนเจน Z 47% บอกว่าพวกเขาหรือสมาชิกในครอบครัวตกงานหรือไม่ก็ถูกลดค่าจ้างลงตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด
ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นเจเนอเรชั่นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คนเจน Z ราว 40% ต่างก็กำลังต่อสู้กับปัญหาทางด้านจิตใจไปพร้อมกันกับปัญหาทางการเงิน คนรุ่นนี้ถูกคาดหวังให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วกลับต้องมาจบลงด้วยความทุกข์ทางการเงิน
………..
อ่านต่อได้ที่ https://herothailand.com/90ik
heorthailand.com รับสั่งหนังสือต่างประเทศ สินค้าต่างประเทศ
โฆษณา