22 มี.ค. เวลา 10:12 • การศึกษา

ตามรอยเสด็จของพระศาสดา

หลายคนอาจมองว่า ทำไมต้องไปพุทธคยา ถ้าจะปฏิบัติธรรมจะภาวนา อยู่เมืองไทยก็ปฏิบัติภาวนาได้ อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้ เพียงแต่ระลึกพุทโธ ๆๆ ไว้ในใจอยู่เสมอ ๆ อย่างมีสติ นั่นก็คือ การปฏิบัติภาวนา
..
ก็จริงอย่างนั้น!! การภาวนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้ อยู่เมืองไทยก็ปฏิบัติภาวนาได้ ทำไมต้องไปถึงอินเดีย แท้จริง พวกเราเกิดที่เมืองไทย เป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธ ก็ต้องปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่ที่เมืองไทยเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว จะอยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน ที่วัดบ้าน วัดป่า ในไร่ ในสวน ในถ้ำ หรืออยู่บนเครื่องบิน ก็ปฏิบัติธรรมภาวนาได้ทั้งหมด
..
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่ปัญหาอยู่ที่ใจคนต่าหาก ถ้าใจคนยังมีอินทรีย์บารมีธรรมอ่อน คือ มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ไม่มากนัก ใช่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้ ถ้าทุกคนตั้งใจปฏิบัติธรรมภาวนากันอย่างจริงจัง บ้านเมืองก็จะมีแต่ความความสงบร่มเย็นเป็นสุขเท่านั้นเอง
..
แต่บ้านเมืองทุกวันนี้ มีแต่ข่าวหลอกลวงต้มตุ๋นกัน ก็เพราะคนไม่ได้ปฏิบัติธรรมภาวนานั่นเอง คนชั่วก็หมกมุ่นอยู่แต่กับอบายมุข กินเหล้า เมายา เล่นการพนัน กลายเป็นคนทุศีล คนที่มีศรัทธาตั้งใจรักษาศีล ปฏิบัติธรรมภาวนาอย่างจริงจังในปัจจุบันก็มีเพียงส่วนน้อยนิด
..
คนไทยส่วนใหญ่ชอบทำบุญตักบาตร ถวายทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างกุฏิ วิหาร โบสถ์ ศาลา สร้างพระพุทธรูป เหล่านี้เป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่ทำกันมาทุกยุคทุกสมัย คือหนักไปในทางสร้างทานบารมี
..
พอพูดเรื่องปฏิบัติธรรมภาวนา ส่วนใหญ่ก็เอาแค่ทำวัตรสวดมนต์เล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธี รักษาศีลบ้างตามโอกาสอำนวยไม่จริงจังอะไรนัก นั่งสมาธิบ้างก็ทำพอให้สงบจิตสงบใจได้ชั่วพักชั่วครู่ อบรมปัญญาก็ทำพอให้จิตรู้จักว่า อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป จะคิดดี ทำดี พูดดี ทำยังไง
..
แต่จะหาคนที่ตั้งใจรักษาศีล เจริญสมาธิ อบรมปัญญา อย่างจริงใจ มุ่งหวังที่จะดับทุกข์ในใจด้วยการ ละชั่วจริง ๆ ทำดีจริง ๆ ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ไม่หลอกลวงใคร ๆ อันนี้มันก็หายากนักหนา ยากจนแทบจะมองหาใครไม่เห็น ไม่เชื่อก็ลองถามใจตัวเองดูก็ได้ว่า จะรักษาศีลให้มั่นคงโดยยอมตายก็ไม่ยอมทำอะไรให้ผิดศีลผิดธรรมเลย จะทำได้ไหม
..
ธรรมท่านสอนว่า บุคคลที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นด่านแรก ต้องเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ เป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือเป็นด่านที่สอง ต้องมีสัจจะจริงใจ มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง มีความเพียรชอบ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ที่เรียกว่า อินทรีย์ 5 พละ 5 เป็นด่านที่สาม จิตจึงจะเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นได้
..
การไปสู่แดนพุทธภูมิตามรอยพระบาทของพระศาสดา เบื้องต้นก็ต้องมีศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน สมดังพุทธภาษิตที่ว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กะตัญญูกะตะเวทิตา แปลว่า ความกตัญญูกะตะเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ดังนั้น ถ้าบุคคลใดมีบุญคุณต่อเรา เราก็ต้องรู้คุณของเขา และมิใช่จะรู้เฉย ๆ ยังต้องมีเวทิตาธรรม แสดงการกระทำตอบแทนตามสมควรแก่ฐานะของบุคคลนั้นด้วย
..
ชาวพุทธจึงกระทำอามิสบูชา คือ บูชาด้วยสิ่งของเครื่องสักการะต่าง ๆ กับปฏิบัติบูชา คือ บูชาด้วยการน้อมนำเอาคำสั่งสอนมาปฏิบัติตาม อีกทั้งพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเอาไว้ว่า สถานที่อันบุคคลควรจะรำลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็คือ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล นี่เอง คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน
..
เป็นการตามรอยเสด็จของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างจริงใจ เพื่อให้ดวงจิตเกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า และกระทำการปฏิบัติบูชาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อันจะเป็นเหตุให้ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ในภายภาคหน้า อีกทั้งยังเป็นอุปนิสัยฝังอยู่ในขันธสันดานของบุคคลนั้น ๆ ให้ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในภพใดภพหนึ่งอีกด้วย
..
เพราะเหตุนั้น ใครมีศรัทธาแก่กล้าจะไปกราบ 4 สังเวชนียสถานได้ ก็ไปเถอะ ใช่จะมีแต่ศรัทธาอย่างเดียว วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็ต้องมาพร้อมกัน ใช่แต่เท่านั้น ผู้ที่จะไป 4 สังเวชนียสถาน ได้ ยังต้องมีทุนทรัพย์ มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ไม่เจ็บไม่ป่วย และต้องไม่ติดกิจธุระอย่างอื่น จึงจะไปได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
..
ผู้ที่ไม่ได้ไปก็จงตั้งจิตแสดงมุทิตาอนุโมทนากับเขา วันหนึ่งตัวเองก็จะมีโอกาสได้ไปบ้าง ส่วนคนที่ไม่มีศรัทธาอะไรเลย จะไม่ไปก็ไม่เป็นไร เอาตามที่สบายใจ เพราะศรัทธาเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ อีกทั้งยังต้องมีอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อยู่ในใจเป็นบาทฐาน ก็จึงจะได้สำเร็จสมดังความปรารถนา
..
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘_๐๓
โฆษณา