Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
不是新华news
•
ติดตาม
22 มี.ค. เวลา 19:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Taipei
เมื่อโลก AI บูม ใครกันที่รวยล้นฟ้า? เจาะลึกเบื้องหลัง “ผู้ผูกขาด” ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์
ตั้งแต่แชตจีพีที (ChatGPT) เปิดตัวมา ก็เหมือนเป็นการจุดพลุให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายเจ้ากลายเป็นมหาเศรษฐีแบบไม่ทันตั้งตัว! 🤑
รู้ไหมว่าทุกครั้งที่เราพิมพ์ถามอะไรแชตจีพีที 🤖 เหมือนเรากำลังช่วยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ รวยขึ้น รวยขึ้น แบบไม่รู้ตัว! ไม่ว่าจะใช้แชตบอตเจ้าไหนก็ตามนะ แทบทั้งหมดเลยต้องพึ่งพา "ชิป" จากบริษัทที่ชื่อว่า เอ็นวิเดีย (Nvidia) เพราะพี่แกขาย "ตัวเร่ง AI" ที่เป็นเหมือนหัวใจหลักของแชตบอตเนี่ย มากถึง 92% เชียวนะ! แล้วเอ็นวิเดียก็ไม่ได้ผลิตเองทั้งหมดนะ
1
ยังมีพาร์ทเนอร์สำคัญอีก 3 เจ้า ที่คอยซัพพอร์ตเรื่องผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้ ได้แก่ เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) จากเกาหลีใต้, ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co.) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ทีเอสเอ็มซี (TSMC), และ เอเอสเอ็มแอล โฮลดิ้ง (ASML Holding NV) จากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งแต่ละบริษัทที่ว่ามานี่ แต่ละนางก็เป็นเบอร์ต้นๆ ในตลาดของตัวเองทั้งนั้น อิทธิพลสูสีกับเอ็นวิเดีย หรือบางทีจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ!
ถ้าเป็นธุรกิจอื่นๆ ที่มีการผูกขาดตลาดขนาดนี้ หน่วยงานรัฐคงต้องเข้ามาตรวจสอบ ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคไปแล้ว แต่ในวงการเทคโนโลยี มันเหมือนเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว ที่นวัตกรรมใหม่ๆ มักจะสร้างผู้ยิ่งใหญ่ ที่ครองตลาดไปยาวๆ เป็น 10 ปี เพราะ "กฎแห่งขนาด" ยิ่งใหญ่ยิ่งได้เปรียบว่างั้นเถอะ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรม, คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, เว็บเบราว์เซอร์, เสิร์ชเอนจิน, โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์มือถือ
แต่ก็ใช่ว่า “ผู้ผูกขาด” เหล่านี้จะอยู่ยงคงกระพันนะ หลายครั้งที่การผูกขาดสิ้นสุดลง ไม่ใช่เพราะโดนรัฐบาลสั่งทุบ แต่เป็นเพราะมีคู่แข่งเจ๋งกว่า โผล่มาโค่นบัลลังก์ไปเอง! ไม่แน่ว่า AI ก็อาจจะมี "iPhone moment" เหมือนกัน คือมีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาแรง จนทำให้บริษัทที่ครองตลาดอยู่ กลายเป็นของเก่า ตกรุ่นไปเลย หรืออีกมุมนึง AI อาจจะไม่ปัง ไม่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างที่โม้กันไว้ก็ได้ ใครจะรู้? แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ ผู้ผูกขาดในวงการ AI กำลังมาแรงสุดๆ ฉุดไม่อยู่จริงๆ
4 บริษัทยักษ์ ที่กุมบังเหียน ห่วงโซ่อุปทาน AI 👑
เอ็นวิเดีย (Nvidia): เจ้าตลาด "ตัวเร่ง AI" ออกแบบชิปสุดล้ำ ส่งให้ ทีเอสเอ็มซี ใช้เครื่องจักรจาก เอเอสเอ็มแอล ผลิตชิปออกมา แล้วเอาไปแพ็กรวมกับชิปหน่วยความจำ HBM (High-Bandwidth Memory) จาก เอสเค ไฮนิกซ์ อีกที
เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix): ราชันย์ "หน่วยความจำ HBM3E" ผลิตชิป HBM3E ที่เร็วแรงสุดในตลาดตอนนี้ เป็นหน่วยความจำความเร็วสูง ที่ทำงานคู่กับตัวเร่ง AI ของเอ็นวิเดียได้อย่างลงตัว
ทีเอสเอ็มซี (TSMC): เบอร์หนึ่ง โรงงานผลิตชิประดับโลก รับจ้างผลิตชิปสุดล้ำ ให้ทั้งเอ็นวิเดียและแอปเปิล (Apple) แถมยังโกยส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคู่แข่งอย่าง ซัมซุง (Samsung) และ อินเทล (Intel) ยังตามไม่ทัน
เอเอสเอ็มแอล (ASML): ผู้ผลิตเครื่อง EUV Lithography รายเดียวในโลก เป็นเจ้าของเทคโนโลยี เครื่องพิมพ์ชิป EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก ทีเอสเอ็มซี, อินเทล, และ เอสเค ไฮนิกซ์ ต้องพึ่งพาเครื่องจักรของเจ้านี้ทั้งนั้น
มูลค่ารวมของ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ (เอ็นวิเดีย และพาร์ทเนอร์อีก 3 เจ้า) พุ่งทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เฉพาะเอ็นวิเดียเจ้าเดียว ก็คิดเป็น 6% ของดัชนี S&P 500 ของหุ้นสหรัฐฯ แล้ว! ส่วน ทีเอสเอ็มซี และ เอเอสเอ็มแอล ก็กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในประเทศของตัวเองไปเรียบร้อย มูลค่าบริษัทที่สูงลิ่วขนาดนี้ ส่วนใหญ่มาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า บริษัทเหล่านี้จะกุมบังเหียน ตลาด AI ไปอีกนาน
แต่ตลาด AI ก็ผันผวนและเปลี่ยนแปลงเร็วมาก คู่แข่งของเอ็นวิเดียเองก็ทุ่มเงินเป็นว่าเล่น เพื่อพัฒนาชิปมาแข่งกับเอ็นวิเดีย ให้ได้ทั้งแรง ทั้งเร็ว และเสถียรเหมือนกัน
ทำไมถึงผงาดขึ้นมาได้? 🤔
เมื่อก่อน เอ็นวิเดีย ดังเรื่องเกม ไม่ใช่ AI บริษัทนี้เชี่ยวชาญด้านการ์ดจอ (GPU - Graphics Processing Units) ที่เอาไว้เรนเดอร์ภาพกราฟิกสวยๆ ในเกม อย่างเช่น Call of Duty GPU พวกนี้ ใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Parallel Computing" คือการใช้ตัวประมวลผลหลายตัว ช่วยกันแก้ปัญหาพร้อมๆ กัน ทำให้เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปเยอะ เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว นักวิจัยหัวใสบางคนค้นพบว่า ชิป GPU เนี่ย เอามาใช้กับ "Deep Learning" ได้ดีมาก ซึ่ง Deep Learning นี่แหละ คือเบื้องหลังความสำเร็จของ แชตจีพีที ในปัจจุบัน
เจนเซน หวง (Jensen Huang) CEO ของเอ็นวิเดีย มองการณ์ไกล รีบเดิมพันกับนักวิจัยกลุ่มนี้ ถึงขนาดส่งชิปมูลค่า 129,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับสตาร์ทอัพไม่แสวงผลกำไรอย่าง โอเพนเอไอ (OpenAI) ตั้งแต่ปี 2016 โน่น ตอนนั้น โอเพนเอไอ ยังเป็นแค่ห้องทดลองเล็กๆ เองนะ! "ตอนแรกมันเหมือนเป็นอุบัติเหตุมากกว่า" เจสัน เฟอร์แมน (Jason Furman) ศาสตราจารย์ด้านนโยบายเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) กล่าว "แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ฉวยโอกาสจากอุบัติเหตุครั้งนั้นได้อย่างชาญฉลาด"
เอ็นวิเดีย สร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ของตัวเองไว้แน่นหนา โดยเฉพาะ "คูด้า" (CUDA - Compute Unified Device Architecture) ซึ่งเป็นเหมือนภาษาโปรแกรม ที่ใช้สั่งงานชิป GPU ของเอ็นวิเดีย กลายเป็นว่า นักพัฒนา AI ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้ คูด้า ไปแล้ว ต่อให้มีสตาร์ทอัพ หรือแม้แต่ กูเกิล (Google) เอง พัฒนาชิป AI ตัวอื่นออกมาแข่ง ก็ยากที่จะเจาะตลาดเอ็นวิเดียได้ ขนาด อินเทล (Intel) อดีตเจ้าพ่อชิป ยังตามไม่ทัน!
เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา เจสัน หวง ก็เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ล่าสุด ชื่อว่า "ไดนาโม" (Dynamo) พร้อมซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง เจนเซน หวง ถึงกับขนานนาม ไดนาโม ว่าเป็น "ระบบปฏิบัติการของโรงงาน AI" เลยทีเดียว! 😲
ใครทำอะไร ในห่วงโซ่อุปทานนี้? 🤔
ชิป GPU ของเอ็นวิเดีย จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ต้องมีชิปหน่วยความจำ (Memory Chip) แรงๆ มาช่วย ซึ่งเอ็นวิเดีย ก็ไปจับมือกับ เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) บริษัทจากเกาหลีใต้ ที่ครองตลาดหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM - High-Bandwidth Memory) อันดับต้นๆ ของโลก
เมื่อก่อน เอสเค ไฮนิกซ์ เหมือนจะอยู่ใต้ร่มเงาของคู่แข่งร่วมชาติอย่าง ซัมซุง (Samsung Electronics Co.) มาตลอด แต่แล้วในปี 2019 วิศวกรของ เอสเค ไฮนิกซ์ ก็คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยให้ชิปหน่วยความจำที่ใช้ในงานประมวลผลข้อมูล AI หนักๆ ไม่ร้อนจนเกินไป ซัมซุง เองก็ยังตามเทคโนโลยีนี้ของ เอสเค ไฮนิกซ์ ไม่ทัน
ถึงแม้ว่า เอ็นวิเดีย จะออกแบบชิป GPU เอง แต่ก็ไม่ได้ผลิตเองนะ! บริษัทนี้ไม่มีโรงงานผลิตชิปเป็นของตัวเอง แต่ใช้วิธี "เอาท์ซอร์ส" การผลิต ให้กับ ทีเอสเอ็มซี (TSMC) บริษัทจากไต้หวัน ที่เชี่ยวชาญด้านการรับจ้างผลิตชิป ตามแบบที่ลูกค้าออกแบบ ทีเอสเอ็มซี เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจโรงงานผลิตชิปแบบนี้ และพัฒนาขีดความสามารถในการผลิต จนทิ้งห่างคู่แข่งไปไกล
จุดเปลี่ยนสำคัญของ ทีเอสเอ็มซี เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อ แอปเปิล (Apple Inc.) เริ่มเปลี่ยนมาใช้บริการผลิตชิป iPhone และ iPad จาก ทีเอสเอ็มซี แทน ซัมซุง อินเทล และ ซัมซุง เองก็พยายามจะทลายกำแพงของ ทีเอสเอ็มซี ในธุรกิจโรงงานผลิตชิปมาตลอดหลายปี แต่ก็ไม่สำเร็จ ทีเอสเอ็มซี บอกว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทผลิต "ตัวเร่ง AI" มากถึง 99% ของทั้งโลก! ว่าเข้าไปนั่น
แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ผูกขาดตลาด แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งกว่า ในจักรวาล AI ก็คือ เอเอสเอ็มแอล (ASML) บริษัทดัตช์ ที่มีฐานอยู่ที่เมืองเฟลด์โฮเฟิน (Veldhoven) เอเอสเอ็มแอล เป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ผลิตเครื่องจักรผลิตชิปที่ล้ำสมัยที่สุด ซึ่งโรงงานผลิตชิป อย่าง ทีเอสเอ็มซี และอื่นๆ ต้องพึ่งพาเครื่องจักรของเจ้านี้ ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ตามสเปกของ เอ็นวิเดีย และ แอปเปิล
เครื่อง EUV Lithography ของ เอเอสเอ็มแอล แต่ละเครื่อง ใหญ่กว่ารถบัสซะอีก! แล้วก็แพงหูฉี่ ขายกันเครื่องละ 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ! ในวงการอุตสาหกรรมชิป ต่างก็มองว่า คงไม่มีคู่แข่งรายไหน สามารถผลิตเครื่องจักรแบบนี้มาแข่งกับ เอเอสเอ็มแอล ได้ ในเร็วๆ นี้แน่นอน
บริษัทเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผูกขาดตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกล่าวหาที่ว่า บริษัทเหล่านี้ผงาดขึ้นมาได้ แบบไม่ยุติธรรม หรือไม่มีคู่แข่งมาท้าทายได้ โฆษกของ เอ็นวิเดีย แถลงว่า
บริษัทมีการแข่งขันกับ "ซัพพลายเออร์รายอื่นๆ" ผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง และบริษัท AI
"ลูกค้าให้คุณค่ากับโซลูชันแบบครบวงจรของเรา และชื่นชมที่ เอ็นวิเดีย มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ได้ในทุกระบบคลาวด์ และทุกองค์กร"
ส่วน ทีเอสเอ็มซี, เอสเค ไฮนิกซ์ และ เอเอสเอ็มแอล ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
นี่มัน "ผู้ผูกขาด" ชัดๆ เลยไหม? 🤔
ถ้าดูจากส่วนแบ่งตลาด ก็ต้องบอกว่า "ใช่" คำนิยามของการผูกขาดตลาด อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม แต่โดยทั่วไป ถ้าบริษัทไหนมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 70% และมี "กำแพง" กีดกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาได้ง่ายๆ ก็ถือว่าเข้าข่ายผูกขาดตลาด
แต่การที่บริษัทเหล่านี้ มีพฤติกรรมเหมือน "ผู้ผูกขาดคลาสสิก" หรือไม่ อันนี้ต้องพิจารณากันอีกที การผูกขาดตลาด จะน่ากลัว ก็ต่อเมื่อบริษัทที่ผูกขาด ใช้อำนาจในตลาด เอาเปรียบผู้บริโภค เช่น ขึ้นราคาสินค้าแพงเกินจริง ซึ่งก็เป็นความจริงว่า ราคาชิปกำลังสูงขึ้น GPU ของ เอ็นวิเดีย ราคาพุ่งไปถึงเครื่องละ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วน เอสเค ไฮนิกซ์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญรายอื่นๆ ก็ขึ้นราคาได้เหมือนกัน เพราะผู้ซื้อไม่มีทางเลือกมากนัก
แรงบีบเค้นเรื่องราคา ทำให้เห็นได้ชัดจากผลประกอบการ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ของ เอ็นวิเดีย พุ่งสูงกว่า 70% ซึ่งสูงมาก แม้แต่ในวงการเทคโนโลยี ที่โดยปกติแล้ว อัตรากำไรก็สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ อยู่แล้ว (คู่แข่งอันดับสองของ เอ็นวิเดีย อย่าง แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ หรือ เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices Inc.) ยังมีอัตรากำไรขั้นต้น แค่ประมาณ 50% เท่านั้น)
ในทางทฤษฎี บริษัทที่ต้องซื้อชิปแพงๆ ก็อาจจะผลักภาระต้นทุน ไปให้ผู้บริโภค โดยขึ้นราคาบริการ AI อย่างเช่น แชตจีพีที หรือ ไมโครซอฟท์ โคไพลอต (Microsoft Copilot) แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่า ตอนนี้ บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี ในซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) ซึ่งเป็นผู้บริโภค GPU รายใหญ่ จะยอมแบกรับต้นทุนค่าคอมพิวเตอร์มหาศาลนี้ไว้ก่อน เพื่อที่จะได้เป็นผู้นำในวงการ AI ต่อไป
อุตสาหกรรม AI ที่พึ่งพา เอ็นวิเดีย และพาร์ทเนอร์ อย่างใกล้ชิด 🤝
บริษัทที่ซื้อผลิตภัณฑ์จาก เอ็นวิเดีย มากที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ ไมโครซอฟท์ (Microsoft Corp.), กูเกิล (Google), อเมซอน (
Amazon.com
Inc.), และ เมตา (Meta Platforms Inc.) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 41% ของ เอ็นวิเดีย เลยทีเดียว
บริษัทเหล่านี้ ต่างก็เคยออกมาบอกนักลงทุนว่า พวกเขาอยากได้ GPU มากกว่านี้ เพื่อเอาไปสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่อัดแน่นไปด้วย GPU เพื่อรองรับความต้องการ AI ที่พุ่งสูงขึ้น แต่ GPU ที่ได้มาตอนนี้ ยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนกลับคืนมา ให้กับธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้ง และธุรกิจโฆษณา มากนัก แต่ผู้ถือหุ้นก็ดูเหมือนจะใจเย็น รอคอยผลตอบแทนในอนาคตต่อไป
ถึงลูกค้าของ เอ็นวิเดีย จะไม่ค่อยพอใจ กับอำนาจในตลาดที่ล้นเหลือของ เอ็นวิเดีย เท่าไหร่ แต่พวกเขาก็กำลังเร่งผลิตชิป AI ของตัวเอง เพื่อที่จะได้ลดการพึ่งพา เอ็นวิเดีย ลงบ้าง
1
อเมซอน (Amazon) กำลังพัฒนาชิป AI ของตัวเอง ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็ช่วยเหลือ เอเอ็มดี (AMD) คู่แข่งผลิตชิปของ เอ็นวิเดีย ให้ขยายธุรกิจไปสู่ตลาดตัวเร่ง AI แม้แต่ โอเพนเอไอ (OpenAI) เอง ก็ยังออกแบบชิป และส่งให้ ทีเอสเอ็มซี (TSMC) ผลิต เพื่อที่จะได้ไม่ต้องง้อ เอ็นวิเดีย สถานการณ์แบบนี้ ทำให้ เอ็นวิเดีย เสี่ยงที่จะสร้างความไม่พอใจ ให้กับลูกค้ารายใหญ่ของตัวเอง หากขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป
ถึงแม้ซัพพลายเออร์ของ เอ็นวิเดีย จะมีส่วนแบ่งตลาดสูง แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจผูกขาดตลาด แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) แทบจะเป็นผู้ผลิต HBM3E ที่ล้ำสมัยที่สุด เพียงรายเดียว ในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา
แต่ เอ็นวิเดีย ก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ เอสเค ไฮนิกซ์ เช่นกัน ทำให้อำนาจต่อรอง ค่อนข้างสมดุล ซัมซุง (Samsung) และ ไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology Inc.) จากสหรัฐฯ ก็เร่งพัฒนาชิป HBM3E ของตัวเอง มาแข่งกับ เอสเค ไฮนิกซ์ ทำให้ เอสเค ไฮนิกซ์ ไม่มีแรงจูงใจที่จะขึ้นราคาขายให้ เอ็นวิเดีย แพงเกินควร (ปัจจุบัน ซัมซุง และ ไมครอน ได้รับการรับรองจาก เอ็นวิเดีย ให้เป็นซัพพลายเออร์ HBM3E แล้วทั้งคู่)
จะอยู่ยงคงกระพัน? 🤔
บริษัทเทคโนโลยีที่ผูกขาดตลาด มักจะอยู่ได้นาน อินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชีนส์ (International Business Machines Corp. หรือ IBM) เคยครองตลาดบัตรเจาะรู (Tabulating Cards) ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ จนรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องยื่นฟ้อง IBM ในข้อหาผูกขาดตลาด ในปี 1932 และ 1952
พอถึงยุคคอมพิวเตอร์เมนเฟรม (Mainframe Computer) หน่วยงานรัฐ ก็กลับมาตรวจสอบ IBM อีกครั้ง ในปี 1967 ในข้อหาละเมิดกฎหมายผูกขาดตลาด
พอถึงยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ในทศวรรษ 1980
คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ Windows ของ ไมโครซอฟท์ และชิป Pentium ของ อินเทล "Wintel" (Windows + Intel) ก็เลยกลายเป็นพันธมิตรที่ครองตลาดมาจนถึงทุกวันนี้ กูเกิล (Google) ก็ครองบัลลังก์ เสิร์ชเอนจินออนไลน์ มานานกว่า 20 ปีแล้ว ส่วน กูเกิล และ แอปเปิล (Apple) ก็ผลัดกันครองตลาด ระบบปฏิบัติการมือถือ มานานกว่า 10 ปี
นักวิเคราะห์ที่ศึกษาเรื่องการผงาดขึ้นและล้มลงของผู้ผูกขาดเทคโนโลยี บอกว่า บริษัทเหล่านี้ มักจะโค่นล้มยาก ในบางกรณี ต้องมีกฎหมายควบคุมที่เข้มงวด และคู่แข่งที่แข็งแกร่ง มาช่วยกันสกัดดาวรุ่ง หลังจากที่สหรัฐฯ เล่นงาน ไมโครซอฟท์ (จนทำให้บริษัท "เสียสมาธิ" อย่างที่ บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ เคยกล่าวไว้)
แอปเปิล (Apple) และ กูเกิล (Google) ก็เลยช่วงชิง ตลาดมือถือไปได้ ในขณะที่ IBM "เสียสมาธิ" จากคดีผูกขาดตลาด ทำให้ตัดสินใจพลาด ในเรื่องกลยุทธ์ชิป PC จนเสียตลาดสำคัญ ให้กับ ไมโครซอฟท์ และ อินเทล แรนดัลล์ พิกเกอร์ (Randal Picker) ศาสตราจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago Law School) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผูกขาดในวงการคอมพิวเตอร์ กล่าว
ในบางกรณี นวัตกรรม ก็เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ล้มครืนได้ แบล็กเบอร์รี (BlackBerry Ltd.) และ โนเกีย (Nokia Oyj) เคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ในวงการโทรศัพท์มือถือ จนกระทั่ง สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผู้ร่วมก่อตั้ง แอปเปิล (Apple) เปิดตัว iPhone ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็เสียอำนาจ ในตลาดคอมพิวเตอร์ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
ถึงแม้ Wintel จะยังมีส่วนแบ่งตลาดในตลาดคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปอยู่บ้าง แต่ผู้บริโภค นักการเมือง และทนายความที่ดูแลเรื่องการแข่งขัน ก็ไม่ได้สนใจมากเท่าเมื่อก่อนแล้ว "PC ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป" พิกเกอร์ กล่าว
การผูกขาดตลาดของ เอ็นวิเดีย เพิ่งเริ่มต้นมาได้แค่ 3 ปี และกลไกตลาด ก็เริ่มทำงานแล้ว โดยมีคู่แข่ง ลูกค้า และสตาร์ทอัพมากมาย พยายามที่จะเลียนแบบ หรือคิดค้น GPU แบบใหม่ มาแข่งกับ เอ็นวิเดีย ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะผลตอบแทนที่ล่อตาล่อใจ
ใครที่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก เอ็นวิเดีย มาได้ แม้แต่นิดเดียว ก็คุ้มค่ามหาศาล การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่รวดเร็ว ทำให้บริษัทที่มีความคล่องตัว และสร้างสรรค์ มีโอกาสที่จะช่วงชิงความได้เปรียบ จากผู้เล่นรายใหญ่ ที่อาจจะเชื่องช้ากว่า และทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ยากที่จะชี้ชัดว่า มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เป็นการกีดกันทางการค้า
"วงการนี้ เปลี่ยนแปลงเร็วมาก และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน" ลอร่า ฟิลลิปส์-ซอว์เยอร์ (Laura Phillips-Sawyer) รองศาสตราจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอร์เจีย (University of Georgia School of Law) กล่าว
ณ ตอนนี้ เอ็นวิเดีย มีชิปที่เร็วกว่า, ซอฟต์แวร์สนับสนุน ที่เหนือกว่า, และห่วงโซ่อุปทานและช่องทางการขาย ที่แข็งแกร่งที่สุด สำหรับบริษัท AI การซื้อชิปของ เอ็นวิเดีย เป็นเรื่องง่าย ถ้ามีของพอ "ถ้าผมอยากได้คลัสเตอร์ของ AMD จริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปหาซื้อจากใคร" เจมี ดโบริน (Jamie Dborin) ผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพซอฟต์แวร์ AI ไททันเอ็มแอล (TitanML) กล่าว
แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ คลาวด์คอมพิวติ้ง ที่กำลังวางแผนหาทางเลือกอื่น แทน เอ็นวิเดีย ก็มีทรัพยากรมากพอ ที่จะสร้างภัยคุกคามที่น่าเชื่อถือได้ การผลิตชิปหน่วยความจำ ก็อาจจะมีการแข่งขันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้แต่ ทีเอสเอ็มซี (TSMC) ที่ทิ้งห่างคู่แข่งไปไกล ก็ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพัน ลิป-บู ตัน (Lip-Bu Tan) CEO คนใหม่ของ อินเทล (Intel) ส่งสัญญาณว่า จะยังคงเดินหน้าแผน ambitious ที่จะผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ให้กับบริษัทอื่นๆ ต่อไป ในบรรดา 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ เอเอสเอ็มแอล (ASML) อาจจะมีกำแพงขวางกั้นคู่แข่ง ที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะยังไม่มีบริษัทอื่น ที่มีความคืบหน้า ในการสร้างเครื่อง EUV มาแข่งกับ เอเอสเอ็มแอล ได้เลย
DeepSeek
ความคาดหวังที่มีต่อ เอ็นวิเดีย (Nvidia) สะดุดลงเล็กน้อย ในเดือนมกราคม เมื่อสตาร์ทอัพจีนชื่อ ดีพซีค (DeepSeek) เปิดตัวโมเดล AI ที่เทียบชั้นคู่แข่งได้ แต่สร้างขึ้นด้วยงบประมาณที่น้อยกว่ามาก มูลค่าตลาดของ เอ็นวิเดีย ร่วงลงไปเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวันเดียว! นักลงทุนเริ่มคิดว่า หรือแอปพลิเคชัน AI ยอดนิยม อาจจะไม่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาล ในฮาร์ดแวร์ขนาดนั้นก็ได้
แต่ เอ็นวิเดีย ก็กู้คืนความเสียหายได้เกือบทั้งหมด ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา สมมติฐานของวงการอุตสาหกรรมในปัจจุบันก็คือ AI ที่ราคาถูกลง เหมือนอย่างโมเดลของ ดีพซีค จะยิ่งกระตุ้นความต้องการ บริการ AI และฮาร์ดแวร์ที่อยู่เบื้องหลัง ให้มากขึ้นไปอีก
เพื่อตอกย้ำประเด็นนี้ บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ทุ่มเงินให้กับ AI มากที่สุด ก็ยังคงเพิ่มการลงทุนต่อไป อย่างเช่น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) แห่ง เมตา (Meta) วางแผนที่จะใช้เงิน 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ กับโครงสร้างพื้นฐาน AI และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ที่กินพื้นที่ "ส่วนสำคัญของแมนฮัตตัน" เลยทีเดียว!
ไมโครซอฟท์, กูเกิล, เมตา, และบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอีก 5 รายทั่วโลก เตรียมที่จะใช้เงิน 371 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับ AI ในปีนี้ เพิ่มขึ้น 44% จากปี 2024 อ้างอิงจากรายงานล่าสุดของ Bloomberg Intelligence
มองในมุมหนึ่ง ปรากฏการณ์ ดีพซีค (DeepSeek) ยิ่งส่งเสริมแนวโน้มที่ดีของ เอ็นวิเดีย สตาร์ทอัพจีนรายนี้ รายงานว่า พวกเขาใช้ชิป เอ็นวิเดีย รุ่นเก่ากว่า เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน สิ่งหนึ่งที่ผู้นำของ ดีพซีค เคยพูดต่อสาธารณะก็คือ เขาจะใช้ชิปเหล่านี้ให้มากขึ้น ถ้าเป็นไปได้
แต่ ดีพซีค ก็ใช้วิธี "เลี่ยงบาลี" ที่น่าสนใจ ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจจะเป็นปัญหาต่อ เอ็นวิเดีย ได้เหมือนกัน ในการฝึก Large Language Model (LLM) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์พื้นฐาน ของแชตบอท อย่าง แชตจีพีที นักพัฒนาจะใช้ซอฟต์แวร์ เพื่อรันการคำนวณ และทำให้ชิปในคลัสเตอร์สื่อสารกันได้
โดยปกติ ขั้นตอนการคำนวณ และขั้นตอนการประสานงาน จะเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน แต่ ดีพซีค ปรับแต่งคำสั่งในซอฟต์แวร์ของ เอ็นวิเดีย ที่เรียกว่า "PTX" ให้ขั้นตอนเหล่านี้ เกิดขึ้นพร้อมกันได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ทำให้โมเดล "ซิงค์" กันได้ ในระหว่างการฝึก โดยไม่ทำให้ช้าลง ถ้าซอฟต์แวร์ คูด้า (CUDA) ของ เอ็นวิเดีย เปรียบเหมือนรถยนต์เกียร์ออโต้ การปรับแต่ง PTX ก็เหมือนกับการขับรถเกียร์ธรรมดานั่นแหละ
สำหรับผู้สังเกตการณ์บางคน วิธีการนี้ บ่งชี้ว่า บริษัทต่างๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ชิป เอ็นวิเดีย รุ่นล่าสุด ก็สามารถสร้างโมเดลที่แข่งขันได้
กลยุทธ์ "ยิวยิตสูอัลกอริทึม" ของ ดีพซีค "ลดทอนอุปสรรคสำคัญ ที่ เอ็นวิเดีย สร้างขึ้น" นาร์รี ซิงห์ (Narry Singh) หุ้นส่วนบริหารจากบริษัทที่ปรึกษา AlixPartners ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กล่าว อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า เอ็นวิเดีย มีผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์มากมาย ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้
ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI รายอื่นๆ แย้งว่า การปรับแต่ง PTX ของ ดีพซีค กลับยิ่งตอกย้ำสถานะของ เอ็นวิเดีย ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะเกิดขึ้นในโลกซอฟต์แวร์ของ เอ็นวิเดีย เอง
และก็มีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่า ดีพซีค "ขี่หลัง" โมเดลที่มีอยู่แล้ว อย่างเช่น GPT ของ โอเพนเอไอ (OpenAI) ซึ่งสร้างขึ้นด้วยทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาล โอเพนเอไอ บอกว่า กำลังตรวจสอบว่า ดีพซีค ทำแบบนี้ ผ่านวิธีที่เรียกว่า "Distillation" หรือไม่ ซึ่งเป็นการฝึกโมเดลหนึ่ง โดยใช้ผลลัพธ์ของอีกโมเดลหนึ่ง (สหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่า ดีพซีค ใช้ชิปที่ล้ำสมัยกว่า ที่เปิดเผยหรือไม่)
ภัยคุกคามด้านกฎระเบียบ? ⚖️
ไม่น่าเป็นไปได้ ที่หน่วยงานรัฐ จะสั่งทุบ เอ็นวิเดีย (Nvidia) แค่เพราะว่าบริษัทนี้ ครองตลาดในปัจจุบัน การทำแบบนั้น อาจจะถูกตีความว่า เป็นการลงโทษบริษัท ที่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่หน่วยงานรัฐกำลังทำ ก็คือตรวจสอบว่า บริษัทนี้ผงาดขึ้นมาได้อย่างไร รวดเร็วขนาดนี้ และอาจจะมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือไม่
เมื่อปีที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เริ่มสอบสวนว่า เอ็นวิเดีย เอื้อประโยชน์ด้านซัพพลาย หรือราคา ให้กับลูกค้าที่ยินดีซื้อระบบของ เอ็นวิเดีย แบบผูกขาด หรือซื้อเป็นแพ็กเกจ หรือไม่ ทางบริษัทปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ กระทรวงยุติธรรม ยังตั้งคำถามถึงการที่ เอ็นวิเดีย เข้าซื้อกิจการ รันเอไอ (Run:AI) บริษัทอิสราเอล ที่ทำซอฟต์แวร์บริหารจัดการชิป AI อีกด้วย
แดเนียล แฮนลีย์ (Daniel Hanley) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Open Markets Institute องค์กรวิจัยที่วิพากษ์วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยี มองว่า ดีลนี้เป็นกลยุทธ์แบบผู้ผูกขาดที่คุ้นเคย การสร้างบริการแบบเบ็ดเสร็จ ที่ทำให้ GPU ของตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ท้ายที่สุด เอ็นวิเดีย ก็จะดึงดูดลูกค้า ให้มาซื้อฮาร์ดแวร์ของตัวเองมากขึ้น และเบียดคู่แข่งออกไป มันเหมือนกับ "สวนที่ถูกปิดล้อม" คล้ายๆ กับที่ แอปเปิล (Apple) ทำกับซอฟต์แวร์ iPhone แฮนลีย์ กล่าว "เงื่อนไขต่างๆ เอื้อต่อการเอื้อประโยชน์กัน" เขาว่า
เอ็นวิเดีย บอกว่า บริษัทจัดสรรสินค้าที่มีจำกัด ให้กับลูกค้า โดยพิจารณาจากความสามารถในการนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ได้ทันที โฆษกของบริษัท ยังกล่าวอีกว่า เอ็นวิเดีย กำลังทำให้ผลิตภัณฑ์ของ รันเอไอ (Run:AI) เป็นโอเพนซอร์ส และเปิดให้ใช้งานได้ฟรี
การเข้าซื้อกิจการ รันเอไอ ได้รับการอนุมัติ ทั้งในสหรัฐฯ และในยุโรป ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป ยิ่งมีความกังวลเรื่องการผูกขาดตลาดมากกว่าเสียอีก
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ให้ความสำคัญกับการเป็นผู้นำด้าน AI ของอเมริกา เป็นอันดับแรก และต้อนรับบุคคลสำคัญจากซิลิคอน วัลเลย์ เข้าสู่แวดวงคนใกล้ชิด ซึ่งบ่งชี้ว่า เขาไม่น่าจะลงโทษบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI อย่าง เอ็นวิเดีย ที่มีฐานอยู่ในแคลิฟอร์เนีย เพียงเพราะว่าบริษัทนี้ ครองตลาด เจสัน หวง (Huang) พบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ในเดือนมกราคม และ เอ็นวิเดีย บอกว่า พวกเขาได้หารือกันถึง "ความสำคัญของการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ด้านเทคโนโลยีและผู้นำ AI ของสหรัฐฯ"
พลวัต (dynamics) คล้ายๆ กันนี้ ก็เกิดขึ้นกับ ทีเอสเอ็มซี (TSMC), เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix), และ เอเอสเอ็มแอล (ASML) เช่นกัน บริษัทเหล่านี้ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็น "แชมป์ของชาติ" ในประเทศที่กระตือรือร้นที่จะรักษาบทบาทสำคัญ ในภาคเทคโนโลยี
ความได้เปรียบส่วนใหญ่ของบริษัทเหล่านี้ มาจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่โต และงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) มหาศาล ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมที่กีดกันทางการค้าหรือไม่ก็ตาม
การผลิตชิปก็มีต้นทุนที่สูงมาก อินเทล (Intel) เองก็ใช้เงินไปหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าสู่ตลาดตัวเร่ง AI แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร สำหรับหน่วยงานกำกับดูแล ที่กังวลเรื่องการผูกขาดตลาด มีความเสี่ยงที่เม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเหล่านี้ จะกีดกันคู่แข่งรายใหม่ๆ ออกไป
"นั่นอาจจะทำให้กำแพงกีดกัน ที่สูงอยู่แล้ว สูงขึ้นไปอีก" ฟิลลิปส์-ซอว์เยอร์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย กล่าว
แต่การพิสูจน์ว่า สิ่งเหล่านี้ เข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจตลาดในทางที่ผิด เป็นเรื่องยาก ถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจน เรื่องการตั้งราคาแบบผูกขาด หรือการขายพ่วงสินค้า "ทีเอสเอ็มซี กำลังกวาดเรียบ" พิกเกอร์ กล่าว "พวกเขาทำอะไรที่ผิดกฎหมายแข่งขันทางการค้าไหม? เท่าที่ผมรู้คือไม่"
เขาประเมินสถานการณ์เดียวกันนี้ สำหรับ เอสเค ไฮนิกซ์, เอเอสเอ็มแอล, และ เอ็นวิเดีย ด้วยว่า "หัวใจสำคัญของความสำเร็จของพวกเขา คือการทำสิ่งที่ถูกต้อง"
ภาพปก สร้างขึ้นจาก Gemini 2.0 Flash โดย Google
ขอบคุณเรื่องราวจาก
How the AI Boom Created the Most Valuable Monopolies in History โดย Ian King, Yoolim Lee, Jane Lanhee Lee, Sarah Jacob, และ Mathieu Benhamou
https://www.bloomberg.com/news/features/2025-03-20/are-ai-monopolies-here-to-stay-nvidia-and-the-future-of-ai-chips?utm_source=website&utm_medium=share&utm_campaign=copy
การลงทุน
ข่าวรอบโลก
เทคโนโลยี
1 บันทึก
3
3
1
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย