[Introverted investor] 📌บทสรุปบางส่วนจากหนังสือ (น่าจะ) หายาก (มั้ง) “ลงทุนสวนกระแสอย่าง…แอนโทนี โบลตัน” ◼️[PART: 1]

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

Introverted investor

•

5 เม.ย. เวลา 03:03 • หนังสือ

📌บทสรุปบางส่วนจากหนังสือ (น่าจะ) หายาก (มั้ง) “ลงทุนสวนกระแสอย่าง…แอนโทนี โบลตัน”

◼️[PART: 1]

ตอนที่ 1/2 (พยายามสรุปให้กระชับแล้ว แต่สุดท้ายก็ยาวยืดเยื้อ ขออนุญาตแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ตอนนะครับ)

🟢ชื่อเสียงเรียงนามของ ‘แอนโทนี โบลตัน (Anthony Bolton)’ คุณผู้อ่านหลายท่านอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก หากแต่ในโลกการเงินฟากฝั่งยุโรป ‘โบลตัน’ ถูกยกให้เป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเบอร์หนึ่งของประเทศอังกฤษ แวดวงสื่อการเงินต่างขนานนามว่าเขาคือ ‘The British Buffett’ หรือ ‘วอเร็น บัฟเฟตต์’ แห่งเกาะอังกฤษเลยทีเดียว

‘แอนโทนี โบลตัน’ เป็นผู้จัดการกองทุนหลากหลายกองในสังกัดบริษัท ‘Fidelity International Ltd’ (บริษัทเดียวกันกับปีเตอร์ ลินซ์) ในประเทศอังกฤษ มาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี กองทุนที่เขาบริหารจัดการซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดและบริหารอยู่นานที่สุด น่าจะเป็น ‘Fidelity Special Situations Fund’ ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1979-2007 และสามารถสร้างผลตอบแทนแก่นักลงทุนในกองทุนอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ตลอดช่วงระยะเวลาการบริหารกองทุนดังกล่าวกว่า 28 ปี มากถึง 148 เด้ง หรือคิดเป็นผลตอบแทนการลงทุนทบต้นเฉลี่ย 20% ต่อปี!

‘Fidelity Special Situations Fund’ กองทุนในตำนานที่ ‘แอนโทนี โบลตัน’ ปลุกปั้นมากับมือตั้งแต่เริ่มต้นนั้นมีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นโดยเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงพื้นฐาน มุ่งเน้นไปยังบริษัทจดทะเบียนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์พิเศษบางอย่างและมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

และหนังสือเล่มนี้ของเขาเปรียบเสมือนคู่มือกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นสไตล์ ‘Fidelity Special Situations Fund’ แบบที่โบลตันถนัดและชื่นชอบ หนังสือเล่มนี้เสมือนการขุดลึกลงไปยังภายในความคิดและจิตใจของโบลตัน เมื่อเราเปิดอ่านผ่านไปทุกตัวอักษรจนถึงหน้ากระดาษ

สุดท้าย คุณผู้อ่านจะซึมซับได้ว่าเหตุใดเขาจึงถูกขนานนามว่า ‘The British Buffett’ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ปีเตอร์ ลินซ์ (Peter Lynch) นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนชื่อดังชาวอเมริกันในตำนาน ซึ่งทำงานอยู่ที่ ‘Fidelity’ สำนักงานใหญ่ (โบลตันทำงานที่สำนักงานสาขาในอังกฤษ) เคยกล่าวถึง ‘แอนโทนี โบลตัน’ ด้วยความชื่นชมว่า

“การทำงานหนักเพื่อหาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งกว่าปกติ อย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด คือเหตุผลแห่งความสำเร็จอันยั่งยืนของโบลตัน ความเหนือกว่าด้านข้อมูล เมื่อผสานรวมกับสภาวะอารมณ์อันมั่นคง ความยืดหยุ่น วิจารณญาณชั้นเยี่ยม เปิดใจให้กว้าง และปราศจากอคติ คือปัจจัยสำคัญที่แยกนักลงทุนผู้ชนะให้โดดเด่นขึ้นมา”

‘แอนโทนี โบลตัน’ เกษียณอายุจากการเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนในฐานะหน้าที่การงานเต็มเวลาเมื่อปี ค.ศ.2007 แต่ยังคงวนเวียนไม่ห่างหายไปจากสิ่งที่เขารัก นั่นคือโลกแห่งการลงทุน จนถึงปี ค.ศ.2014 และตัวอักษรนับจากย่อหน้านี้เป็นต้นไป อาจตอบคำถามคุณผู้อ่านได้พอสมควรว่าเหตุใด เขาจึงเป็นเบอร์หนึ่งในโลกการลงทุนแห่งเมืองผู้ดียาวนานนับทศวรรษ

✏️หนังสือ “ลงทุนสวนกระแสอย่าง…แอนโทนี โบลตัน” ถูกแบ่งอย่างหยาบๆเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ ‘หลักการและวิธีปฏิบัติ’ ‘ประสบการณ์และมุมมอง’ สุดท้ายคือ ‘บทเรียนจากชีวิต’ ซึ่งครอบคลุมชีวิตการลงทุนของโบลตันตั้งแต่เริ่มต้นทำงานเป็นผู้บริหารกองทุนในช่วงวัยหนุ่ม จนถึงเกษียณอายุอย่างสวยงามจนเป็นตำนานอีกบทหนึ่ง

หลายครั้งหรือส่วนใหญ่ของเนื้อหาในหนังสือ โบลตันกล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นและคุณสมบัติที่ดีของการเป็น ‘ผู้จัดการกองทุน’ แต่ผมได้ปรับเปลี่ยนเป็นแนวทางการลงทุนของ ‘นักลงทุนรายย่อย’ เช่นผมและคุณผู้อ่าน ซึ่งผมคิดเห็นว่ามันค่อนข้างสอดคล้องกันและสามารถหยิบนำมาปรับประยุกต์ใช้กับกระบวนการลงทุนส่วนตัวได้เป็นอย่างดี เรามาเริ่มกันที่...

🟪วิธีการประเมินบริษัท เพื่อตัดสินใจเข้าลงทุน

สิ่งที่ควรมองหาในธุรกิจก็คือ มันเป็นธุรกิจที่ดีขนาดไหน? คุณจำเป็นต้องเข้าใจความได้เปรียบเชิงแข่งขันของบริษัทในทุกแง่มุม (Competitive Advantage) ทั้งด้านการตลาด แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ พนักงาน และช่องทางการจำหน่าย เข้าใจตำแหน่งของบริษัท ณ ปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม บริษัทคุณภาพดีมักจะมีคูเมืองที่ลึกและยั่งยืน (Moat)

วิเคราะห์ต่อไปถึงความเสียหายที่เกิดจากการแข่งขันซึ่งอาจส่งผลเชิงลบต่อบริษัทในระยะยาว

ความสามารถในการอยู่รอดของบริษัทนั้นสำคัญมากๆ ลองถามตนเองง่ายๆดูว่า “มีโอกาสมากน้อยเพียงใด ที่บริษัทแห่งนี้จะยังคงทำธุรกิจอยู่และมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า?” บริษัทสามารถยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้มากน้อยแค่ไหน ความอยู่รอดของบริษัทขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจระดับมหภาคมากน้อยเพียงใด?

บริษัทที่ดีควรจะควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเชิงมหภาคมากเกินไปนัก ธุรกิจที่ดีมักเรียบง่าย

หากโมเดลของธุรกิจมันเข้าใจยากเกินไปก็ข้ามไปดูบริษัทอื่นก่อนคงไม่เสียหาย ยังมีธุรกิจที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนอีกเยอะในตลาดหุ้น

เราควรตรวจสอบดูความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทในระยะกลาง ซึ่งธุรกิจที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้นั้นถือว่ามีคุณภาพดีกว่าธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงเพื่อสร้างการเติบโต ธุรกิจที่ดีสามารถเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงๆ “หากจำเป็นต้องเลือกระหว่างการสร้างกระแสเงินสดและการเติบโต ผมเลือกเงินสด!!”

โปรดอย่าลืมว่า การวกกลับเข้าหาค่าเฉลี่ย คือหนึ่งในความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ของโลกทุนนิยม ทั้งตัวเลขทางการเงิน การประเมินมูลค่า ไม่เว้นแม้แต่ความสามารถของผู้บริหาร

🟪การวิเคราะห์ผู้บริหาร

หนึ่งในข้อมูลหลักที่ผมใช้สำหรับการตัดสินใจลงทุนคือ การได้พูดคุยหรือรับฟังผู้บริหาร ซึ่งก่อนที่จะถึงขั้นตอนนั้นผมจำเป็นต้องรับรู้ข้อมูลกราฟราคาหุ้นย้อนหลังช่วง 3 ปี 5 ปี และ 10 ปี เพื่อดูว่าราคาหุ้นของบริษัทเคลื่อนไหวอย่างไรในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนการวิเคราะห์ผู้บริหาร ผมจะตรวจสอบอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เช่น

🔹P/E (Price to Earnings Ratio) : อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น

🔹P/B (Price to Book Value Ratio) : อัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น

🔹EV/S (Enterprise Value to Sales Ratio) : อัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อยอดขาย

🔹EV/EBITDA (Enterprise Value to Earnings Before Interest Taxes Depreciation Amortization Ratio) : อัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย

ตรวจสอบอัตราส่วนทางการเงินเหล่านี้ย้อนหลังไปให้มากที่สุด อย่างน้อย 10 ปี เพื่อให้ครอบคลุมรอบวัฏจักรของธุรกิจ ผมต้องการเปรียบเทียบมูลค่าปัจจุบันกับอดีต เพื่อตรวจสอบว่าราคาหุ้นในตลาดตอนนี้อยู่ในช่วงสูง ต่ำ หรือค่าเฉลี่ย และผมจะสนใจหุ้นของบริษัทนี้มากขึ้นหากราคาหุ้นมันอยู่ในช่วงต่ำ

ต่อมา ผมจะตรวจสอบรายงานการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารในช่วงที่ผ่านมา และรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 20 อันดับแรก เพื่อดูว่าการถือครองหุ้นของบริษัทนี้กระจายตัวหรือถูกควบคุมด้วยคนเพียงไม่กี่คน ผู้บริหารถือครองหุ้นอยู่มากน้อยแค่ไหน? ซึ่งหากมีนักลงทุนที่ผมชื่นชอบถือครองหุ้นอยู่ด้วยก็อาจเป็นสัญญาณบวกสำหรับผม ผมหาข้อมูลไปจนถึงปริมาณการชอร์ตหุ้นของบริษัท สิ่งเหล่านี้อาจส่งสัญญาณเตือนปัญหาบางอย่างในอนาคต

ลองดูด้วยว่านักวิเคราะห์ชอบบริษัทนี้ไหม เพื่อตรวจสอบความคาดหวังที่มีต่อหุ้นนี้โดยภาพรวมเฉลี่ยของตลาด ผมจะอ่านบทวิเคราะห์ล่าสุดที่มีความเห็นทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ปิดท้ายด้วยการดูผลการดำเนินงานล่าสุด ข่าวสารทั่วไปของบริษัท และทบทวนสิ่งที่ผมจดบันทึกเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ไว้ในครั้งก่อนๆ (หากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณสนใจหุ้นของบริษัทนี้) ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่ผมต้องทำก่อนที่จะได้พูดคุยกับผู้บริหารเสมอ

การพูดคุยหรือรับฟังผู้บริหาร คุณต้องตั้งข้อสงสัยต่อการคาดการณ์อนาคต ต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเลขเหล่านั้นมาได้อย่างไร มีสมมติฐานอะไรบ้าง และเราเห็นด้วยเช่นนั้นไหม? พูดคุยเรื่องแนวโน้มทางการเงินต่างๆ เช่น ปริมาณขายและราคาขาย อัตรากำไรขั้นต้น ต้นทุน กำไรจากการดำเนินงาน ดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ตามด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและผลการดำเนินงานล่าสุด รวมถึงพัฒนาการใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพทางการเงินของบริษัทชัดเจนขึ้น

คุยเรื่องงบดุล เช่น รายจ่ายสำหรับลงทุน เงินทุนหมุนเวียน หนี้สิน คู่แข่ง คู่ค้า และลูกค้า เมื่อถึงตอนท้ายของการสนทนา เราต้องการรู้สึกว่า เข้าใจธุรกิจและปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เข้าใจกลยุทธ์เพียงพอที่จะประเมินผู้บริหารและแรงจูงใจในการดำเนินธุรกิจของเขาได้

เข้าใจแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เข้าใจมุมมองผู้บริหารต่อธุรกิจและตลาดในภาพรวม เข้าใจพัฒนาการของงบดุล (งบแสดงฐานะการเงิน) จากนั้นตั้งข้อสงสัยและพยายามหาหลักฐานจากแหล่งอื่นมายืนยันสอบทาน สุดท้ายก็เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของโมเดลธุรกิจ “บางครั้งความเสี่ยงก็มาจากงบดุล บางครั้งก็มาจากตัวธุรกิจ”

การทำความรู้จักและวิเคราะห์ผู้บริหาร ควรให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมา พยายามประเมินความสามารถของพวกเขา ลักษณะนิสัยส่วนตัว เป็นนักกลยุทธ์หรือนักปฏิบัติ ทีมงานผู้บริหารของบริษัททำงานกันอย่างไร ได้รับผลตอบแทนอย่างไร อะไรคือแรงจูงใจในการทำงาน ผมชอบผู้บริหารที่ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนครบทุกด้านและทำได้อย่างที่พูด รอบรู้เชิงธุรกิจและกลยุทธ์

ผู้บริหารที่ดีมักเป็นพวกรักธุรกิจ ทำงานหนัก ต้องการความเป็นเลิศจากทีมงาน เชื่อมั่นในตนเองแต่ไม่เย่อหยิ่ง ลองสังเกตวิธีการตอบคำถามของพวกเขา ภาษากาย การตอบสนองต่อคำถามบางอย่าง ผมชอบผู้บริหารที่ถือครองหุ้นบริษัทตัวเองเยอะๆ มันส่งผลให้เป้าหมายของเขาและผู้ถือหุ้นสอดคล้องกัน การซื้อขายหุ้นของผู้บริหารสามารถบอกล่วงหน้าได้ว่าธุรกิจกำลังดีขึ้นหรือแย่ลง ลองตรวจสอบประวัติการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารในอดีตว่าเคยนำไปสู่เหตุการณ์อะไรไหม

🥊“คนที่เคยทำให้เราผิดหวัง มีแนวโน้มที่จะทำอีก”

🟪มีเหตุผลในการลงทุนเสมอ

เราควรสามารถเขียนสรุปสั้นๆ 2-3 ประโยค ถึงเหตุผลในการลงทุน (ทำไมหุ้นของบริษัทนี้ถึงน่าซื้อ?) จากนั้นทดสอบเหตุผลที่ว่าเป็นระยะ ตลอดเส้นทางการถือครองหุ้น และคุณควรคิดถึงเหตุผลแย่ๆของหุ้นดังกล่าวด้วย (เหตุผลหักล้าง) การสามารถค้นหาปัจจัยเชิงลบของหุ้นที่เราถืออยู่ได้นั้นถือว่าเป็นวินัยที่ดีมาก และเราต้องรู้ด้วยว่าทำไมเราจึงไม่เห็นด้วยกับปัจจัยเชิงลบเหล่านั้น (ทำไมยังถือหุ้นอยู่?) จงจำไว้ว่าต้องมีเหตุผลในการลงทุนเสมอ

หลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นด้วยอารมณ์ และลงทุนในสิ่งที่เรามีความได้เปรียบเสมอ จุดเริ่มต้นที่ดีของการซื้อหุ้นคือ ให้มองหุ้นราวกับว่าคุณจะซื้อบริษัททั้งบริษัท ณ ราคานั้น สิ่งสำคัญคือจงลืมราคาต้นทุนไปเสีย เพราะมันส่งผลเชิงจิตวิทยา อย่าลืมว่าเหตุผลในการลงทุนคือหัวใจหลัก จงตรวจสอบมันเป็นระยะ หากเหตุผลหมดสิ้นไปแล้วก็ควรขายทิ้งไป ไม่ว่าจะขาดทุนหรือไม่ก็ตาม อย่าพยายามเอาเงินคืนจากหุ้นที่ขาดทุน “หากเหตุผลในการซื้อได้สูญเสียไปแล้ว จงขาย แม้ว่าราคาจะน่าสนใจเพียงใดก็ตาม”

ผมไม่เคยมีราคาเป้าหมายสำหรับหุ้นที่ถือครองอยู่ในพอร์ต แต่ผมจะตรวจสอบเหตุผลในการลงทุนเป็นระยะอย่างมีวินัย และประเมินระดับความเชื่อมั่นของตนเอง การมีราคาเป้าหมายแบบเป๊ะๆ มันสื่อว่า เราสามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างถูกต้อง 100% ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ การมีราคาเป้าหมายเป็นช่วงราคาหลวมๆจะเหมาะสมกว่า

แน่นอนว่าในระยะยาว ราคาหุ้นส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวตามผลการดำเนินงานของบริษัท การคาดการณ์กำไรจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่สุดของนักลงทุนที่ทุ่มเทวันเวลาทั้งหมดไปกับมัน แต่สำหรับผมการประเมินคุณภาพเชิงธุรกิจและความได้เปรียบในการแข่งขันนั้นสำคัญกว่า

🟪อารมณ์ของตลาด

“ในตลาดหุ้น ความเชื่อ สำคัญไม่น้อยไปกว่าความจริง” เรามีโอกาสผิดพลาดมากที่สุดเมื่อเราทุกคนคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ความเชื่ออาจส่งผลต่อราคาหุ้นมากกว่ามูลค่าของตัวธุรกิจเป็นเวลายาวนาน แน่นอนว่าการถือครองหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบและไม่สนใจ โดยทั่วไปแล้วจะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า

การปกป้องตัวเราเองจากอิทธิพลความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดเป็นเรื่องยากมาก มันส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนเสมอ ราคาหุ้นที่ร่วงลงก่อให้เกิดความไม่แน่ใจและความวิตกกังวล ราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นก่อให้เกิดความกล้าและความเชื่อมั่น อย่าให้สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลกับเรามากเกินไป การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการเชื่อมั่นในความคิดของตนเองและการเงี่ยหูฟังตลาด เราไม่อาจประสบความสำเร็จได้หากละเลยอย่างใดอย่างหนึ่ง

🟪การสร้างพอร์ตหุ้นในภาพรวม

อย่าสูญเสียเวลาไปกับการวิเคราะห์ผลตอบแทนพอร์ตย้อนหลังมากเกินไป มันคือการคิดถึงสิ่งที่อาจมอบผลลัพธ์ดีๆในวันวาน ไม่ใช่สิ่งที่จะมอบผลตอบแทนดีๆในอนาคต ในระยะสั้นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามกับผลตอบแทนมีน้อยมาก แต่แน่นอนว่าเราควรเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต แม้มันจะไม่ได้รับประกันสิ่งใดในอนาคตเลยก็ตาม

🥊เมื่อผมกำลังวิเคราะห์พอร์ตในภาพรวม ผมจะตั้งคำถามกับตัวเอง 3 ข้อ สั้นๆ คือ

📍พอร์ตการลงทุนนี้ สอดคล้องกับระดับความเชื่อมั่นของเราไหม?

📍พอร์ตการลงทุนนี้ ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงของตนเองไหม?

📍เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น?

🟠พอร์ตหุ้นที่เรามีอยู่ในตอนนี้ กับพอร์ตที่อยากสร้างขึ้นใหม่ สมมติว่าวันนี้เราถือครองเงินสด 100% ควรมีลักษณะเหมือนกัน ในทุกๆเดือนผมจะจัดทำ ‘แบบทดสอบวัดระดับความเชื่อมั่นของตนเอง’ โดยหยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น แบ่งหน้ากระดาษให้ได้ 5 แถว นั่นคือ

🔸ซื้อหุ้นเต็มที่

🔸ซื้อ

🔸ถือครองเอาไว้

🔸ลดการถือครอง

🔸ขาย?

จากนั้นลองมาทบทวนดูหุ้นในพอร์ตที่มีอยู่ว่ามันจัดสรรลงในข้อใด การทำเช่นนี้ช่วยวัดความเชื่อมั่นของตัวเราเองและสามารถบอกได้ว่าหุ้นตัวไหนในพอร์ตที่เราควรทำการบ้านให้มากยิ่งขึ้น

ชีวิตการบริหารเงินลงทุนนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายตลอดเส้นทาง การคิดถูกเพียง 50-60% ก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว ทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าคนส่วนใหญ่ คือ การหลีกเลี่ยงหุ้นแย่ๆ และซื้อหุ้นชั้นเยี่ยมเพียงไม่กี่ตัว จำไว้เลยว่าการตัดสินใจลงทุนโดยเฉลี่ย 2 ใน 5 ครั้ง จะผิด

🚫“มันอาจเป็นเพราะสถานการณ์บางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เราเข้าซื้อหุ้น หรือไม่ก็เพราะว่าเราคิดผิดมาตั้งแต่ต้น”

🟠เกณฑ์การขายหุ้นของผม ข้อแรกเลยคือ จงหลีกเลี่ยงการผูกพันกับหุ้น ซึ่งเหตุผลในการขายมีเพียง 3 ข้อ คือ

🔹หากมีเหตุการณ์เชิงลบ มาหักล้างเหตุผลการลงทุนในตอนต้น

🔹หากราคาหุ้นสูงขึ้นจนล่วงเลยมูลค่าที่ได้ประเมินไว้

🔹หากเจอหุ้นของบริษัทที่ดีกว่า

🟠วิธีทดสอบความเชื่อมั่นที่ดีที่สุดสำหรับการวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่ง คือ ค้นหาบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายกันมาเปรียบเทียบ จะทำให้รู้เลยว่าเราชอบบริษัทไหนมากกว่า ช่วยขจัดหุ้นที่น่าสนใจน้อยกว่าออกไป การทำการบ้านหุ้นมาใส่ใน ‘Watchlist’ นั้นผมจะอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้วแบ่งหุ้นออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

🔹ต้องการข้อมูลเพิ่มก่อนตัดสินใจซื้อ

🔹เก็บไว้ใน ‘Watchlist’ ต่อไป

🔹ตัดออกไปเลย

อย่าลืมว่าเราต้องรักษาสมดุลให้ดีระหว่างการลงทุนเชิงรุกและเชิงรับ เชิงรุกคือการมองหาหุ้นบริษัทใหม่ๆ เชิงรับคือการติดตามข่าวสารของบริษัทที่เราถือครองหุ้นอยู่

🟪การประเมินความเสี่ยงในการลงทุน

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของผม มักเกิดขึ้นจากการลงทุนในบริษัทที่มีงบดุลอ่อนแอ มีปัญหาภาระหนี้สิน งานของนักลงทุนนั้นไม่ใช่เพียงแค่การมองหาหุ้นดีๆ แต่เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงหายนะด้วย บริษัทที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจะมีโอกาสเจอวิกฤตสูงมาก หากสภาพการดำเนินธุรกิจเลวร้ายลง เวลาตรวจสอบหนี้สินต้องดูทั้งเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ รวมถึงภาระผูกพันในอนาคต เราต้องเข้าใจโครงสร้างหนี้สินของบริษัท โดยเฉพาะหนี้สินที่ต้องชำระคืนภายในหนึ่งปี (หนี้ระยะสั้น) และการสังเกตดอกเบี้ยจ่ายจะช่วยยืนยันระดับหนี้สินเฉลี่ยของบริษัท

การซื้อหุ้นที่มีงบดุลแย่คือความผิดพลาดบ่อยที่สุดของผม แน่นอนว่าบริษัทส่วนใหญ่ต้องก่อหนี้ การมีหนี้โดยปกติไม่ใช่เรื่องเลวร้าย การตรวจสอบมันอย่างลึกซึ้งและมีเกณฑ์การลงทุนอันเข้มข้น อาจทำให้ผมพลาดหุ้นเด็ดไปสักสองสามตัว แต่ผมเชื่อว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงหายนะเกือบทั้งหมดได้

ความผิดพลาดเรื่องต่อมาคือ การซื้อหุ้นของบริษัทที่ไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน และผู้บริหารแย่ น่าสงสัย ไม่ตรงไปตรงมา “การซื้อหุ้นของบริษัทคุณภาพต่ำในช่วงตลาดขาขึ้นเป็นเรื่องแสนจะเสี่ยง” การพยายามคิดแบบ ‘นักชอร์ตหุ้น’ เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรฝึกฝน ลองพยายามวิเคราะห์ว่าปัจจัยใดบ้างที่อาจสร้างปัญหาต่อบริษัท พยายามหาจุดอ่อนให้เจอ หากเรารู้ว่าอะไรคือปัจจัยเชิงลบ (รู้เหตุผลหักล้าง) เราจะสามารถรับรู้ได้ก่อนคนอื่น หากมันได้เกิดขึ้นจริงๆ

🗣️เหนื่อยแล้ว วันนี้ขอเพียงเท่านี้ก่อน ยังไม่จบนะครับ แต่เดี๋ยวจะยืดยาวจนเกินไป ร่ำลากันแบบห้วนๆ ดื้อๆ ฝากติดตามตอนที่ 2 (PART: 2) ที่นี่ เร็วๆนี้ครับ

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊

ขอขอบคุณบางส่วนจากหนังสือ

📖ลงทุนสวนกระแสอย่าง…แอนโทนี โบลตัน (Investing Against the Tide) Lessons from a Life Running Money.

🖋️ผู้เขียน : แอนโทนี โบลตัน (Anthony Bolton)

📨ผู้แปล : พรชัย รัตนนนทชัยสุข

🏠สำนักพิมพ์ : วิสดอมเวิร์ค เพรส (พิมพ์ครั้งที่ 1). 244 หน้า. พ.ศ.2554

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

📌บทสรุปบางส่วนจากหนังสือ (น่าจะ) หายาก (มั้ง) “ลงทุนสวนกระแสอย่าง…แอนโทนี โบลตัน”

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน