11 เม.ย. เวลา 04:27 • นิยาย เรื่องสั้น
มหาวิทยาลัยโมนาช

จากบ้านหินกองสู่ Clayton #13/14

[------มีเรื่องอยากเล่ามากกกกกกก------]
เมื่อสามสิบปีที่แล้วเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ในกลุ่มนักเรียนไทยในโมนาชประมาณสิบกว่าคนที่ชอบนำเรื่องนี้มาเสพกัน เป็นเรื่องของสตรีที่ชื่อ “TG”
ผมได้พูดกับน้อง ๆ ตอนนั้นว่าอยากจะเขียนเรื่องราวของ TG ลงหนังสือ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีโซเชียลอินเทอร์เน็ตที่จะเผยแพร่ออกไปได้กว้างขวาง ถ้าจะทำก็ต้องทำแบบพิมพ์เป็นใบปลิวแล้วแจกเอง แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเป็นคนดี ทำให้ไม่อยากจะทำร้ายใคร
ผ่านมาสามสิบปี อาการคันปากยิบ ๆ อยากเล่าเอามันในตอนนั้น ก็กลายเป็นอยากเล่าเพื่อระลึกถึงอย่างมีความสุขในตอนนี้ ในขณะเดียวกัน ความเป็น “คนดี” มันก็หายไปแล้ว
ตอนแรกเวลาที่พวกเรามีเรื่องพูดถึง TG เราก็จะลดเสียงพูดชื่อเธอเบา ๆ แต่พอนานเข้ามันไม่ถนัดปากก็เปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นเรียกว่า “TG” ฟังเหมือนโค้ดสายการบินไทย แต่จริง ๆ แล้วเราหมายถึง Terrible Girl
เธอเป็นสาวไทยอายุยี่สิบกลาง ๆ มาเรียนปริญญาโทที่โมนาชรุ่นหลังผมหนึ่งเทอม
ตอนแรกเธอก็พักอยู่ที่นอมันบี้เหมือนคนอื่น ๆ แล้วเธอกับพรรคพวกที่เรียนรุ่นเดียวกันก็เริ่มหาที่อยู่ใหม่
17 กรกฎาคม 38 โท-สกล กลับจากเมืองไทยแล้วก็มานอนบ้านผม เนื่องจากพลาดการจองที่พักที่นอมันบี้เพราะห้องเต็ม เลยต้องทนลำบากนอนบนโซฟาในห้องรับแขกบ้านผมอยู่ 6 คืน
18 กรกฎาคม 38 ผม-โท TG และเพื่อนชวนกันไปเดินหาบ้าน
เราเดินเข้าไปในถนน Arnott ในถนนนี้มีบ้านที่ สโนว์-ดวงพร เช่าอยู่ด้านซ้าย และ ด้านขวาเป็นบ้านที่ เปิ้ล-พรรณรายณ์ เช่าอยู่กับซอติ่งและมิเชลที่เป็นคนมาเลเซี่ย
Arnott St., บ้านเปิ้ล และ บ้านสโนว์
ไม่รู้ว่าเดินไปเจอเองหรือเพื่อนบอก ก็ไปเจอบ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่เคยมีใครเช่าเลย เป็นบ้านที่สวยที่สุดในละแวกนั้น
บ้านเลขที่ 1/28 และ 5/28
บ้านนี้ปูพรมขนยาวทั้งหลังยกเว้นห้องน้ำและครัว ครัวที่บ้านนี้ทันสมัยใหม่เอี่ยม มีตู้อบ-เตาแก๊สจุดด้วยไฟฟ้าที่เพิ่งมีในสมัยนั้น มีเครื่องดูดควัน, ฮีตเตอร์กลางตัวใหญ่ที่ฝังท่อลมร้อนไว้ที่พื้น
มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แบ่งเป็น 1 ห้องน้ำขนาดใหญ่ส่วนกลางที่มีอ่างอาบน้ำและห้องกระจกอาบน้ำ, ห้องน้ำในห้องนอน, และ ห้องน้ำชั้นล่าง
ค่าเช่าเดือนละ 2,100 AUD พอหาร 3 ก็จะจ่ายคนละ 700 AUD ซึ่งถือว่าแพงมากถ้าเทียบกับบ้านที่ Morton ที่ผมจ่ายเดือนละ 240 AUD เท่านั้น แต่เนื่องจากตัวบ้านก็สวยเพื่อนบ้านก็สวย ผมก็เลยยอมจ่าย
พวกเราจองกัน 2 บ้าน บ้านเลขที่ 5/28 Arnott Street มีผม, โท และ TG ชายสองหญิงหนึ่ง
อีกหลังเลขที่ 1/28 อยู่กัน 3 คน คือ อร. เมย์ และ Popy Pasaribu คนอินโดฯ ที่เรียน Business Systems เหมือนกัน แต่เรียนหลังผม 1 เทอม
ตอนหลัง Popy ย้ายออก แล้วมี Meike Gunawan ที่เรียน MBA สาวสวยอินโดฯ ที่ดูง่วงตลอดเวลา มาอยู่แทน เธอเป็นหมวยคริสเตียน
ที่บ้านผมแต่ละห้องไม่เหมือนกัน ห้องของโทจะหันหน้าออกหน้าบ้าน มีระเบียง ห้องผมอยู่ด้านหลัง ไม่มีระเบียง ส่วนห้อง TG มีระเบียงและหันหน้าออกหน้าบ้านเหมือนกัน และที่พิเศษคือมีห้องน้ำในตัว
ส่วนเครื่องครัวเครื่องใช้ เครื่องดูดฝุ่น อะไรที่เล็กๆ น้อยผมกับโทมีอยู่แล้วเพราะเคยเช่าบ้านอยู่กันก่อนหน้านี้ ส่วน TG ก็เหมือนกับมาตัวเปล่า
มีการซื้อโต๊ะกินข้าวเพิ่มซึ่งผมจำไม่ได้ว่าหารกันยังไงหรือเปล่า และก็มีการซื้อเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าใหม่ แต่ตั้งไว้ที่บ้านของอร-เมย์ที่บ้านเลขที่ 1/28 เวลาพวกเราจะไปซักผ้าก็จะหอบตะกร้าเดินไปซักที่บ้านเขา
[------ความในเรานำออก-----]
เรื่องของ TG มันเกิดทั้งในบ้านและนอกบ้าน
 
ตอนแรกคนในบ้านคือผมกับโทก็ไม่ได้เอาเรื่องไปกระจายแต่อย่างใด แต่พอมีจุดเชื่อมต่อว่าเธอก็มีคดีกับเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันด้วย คราวนี้แหละ เรื่องบันเทิงปากก็บังเกิด
[-----คดีแรก-----]
ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ผมกับโทจะไม่ได้คิดถึงเรื่องจุกจิก ตั้งแต่เรื่องค่าเช่าบ้านของ TG ที่ห้องเธอมีระเบียงและมีห้องน้ำในตัวแต่เธอขอจ่ายค่าเช่าเท่ากัน เราสองคนก็โอเค เรื่องอาหารก็ต่างคนต่างกินไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่เรื่องทำความสะอาดเราจะแบ่งเวรกันทำ มีการเช็ดครัว เช็ดโต๊ะ ดูดฝุ่น
เรื่องดูดฝุ่นเป็นเรื่องต้องทำบ่อย ๆ ก็คือทุกวันได้แหละดี เพราะพื้นทั้งด้านล่างและด้านบนจะปูพรมทั้งหลัง ที่น่ารำคาญคือผนังด้านล่างจะเป็นอิฐเปลือยที่ดูไฮโซดี แต่ผิวของอิฐมันล่อนได้ง่าย บริเวณใกล้ผนังจะมีเศษผงอิฐตกมาทุกวัน
ผนังอิฐเปลือยที่ล่อนตกลงพรมทุกวัน
เราแขวนปฏิทินขนาดใหญ่ไว้ข้างบันไดทางขึ้น และตกลงกันว่าวันไหนเป็นเวรใคร ถ้าทำความสะอาดแล้วให้ติ๊กถูกเอาไว้ตามวันของแต่ละคนลงในปฏิทิน
อยู่มาเป็นเดือนแล้วผมก็เพิ่งรู้สึกผิดสังเกตว่า วันที่เธอเป็นเวร ทั้งผงอิฐ ทั้งคราบที่ครัว ทำไมมันเหมือนไม่ได้ถูกแตะต้อง
ก็เลยมีคืนนึง ผมออกไปข้างนอกกับโทแล้วก็แอบย่องเข้ามา ซึ่งมันเป็นวันที่เป็นเวรของเธอพอดี เราก็เห็นเธอไปที่ติ๊กถูกที่ปฏิทิน แล้วก็ขึ้นห้องไปโดยไม่ได้ทำความสะอาดอะไรทั้งสิ้น
[------คดีที่สอง------]
อีกเรื่องนึงที่เกิดขึ้นกับผม
ในสมัยนั้น Laser Printer เป็นของหรู แพง ทำให้ไม่ค่อยมีคนใช้ แม้แต่ Inkjet Printer ก็ไม่ค่อยมีใครใช้กัน เพราะราคาแพงทั้งเครื่องและหมึก เวลาที่เราต้องการพิมพ์เราก็มักไปใช้ใน Lab ของโมนาชหรือของนอมันบี้
แต่ผมผู้ติดหรูก็ซื้อ Laser Printer มาตัวนึง ยี่ห้อ C. Itoh ราคาประมาณหมื่นกว่าบาท ส่วนมากจะใช้สำหรับพิมพ์พวก coding ที่มันจะดูสบายตากว่าการเพ่งหน้าจอ แต่ก็จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เพราะคิดอยู่เสมอว่าหมึกมันแพง
คืนนึง TG มายืม Laser Printer เครื่องนี้เพื่อไปพิมพ์รายงาน ผมก็ยกเครื่องไปติดตั้งกับ Notebook ของเธอให้เสร็จ ในสมัยนั้นการเพิ่มอุปกรณ์จะต้องมี device driver เสมอ ไม่ได้เป็น plug'n play
ติดตั้งเสร็จก็ใจดีแถมกระดาษให้ด้วย ช่วงนั้นผมก็ไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว คิดว่าเมื่อไหร่เสร็จงานเธอคงเอามาคืน
ผ่านไปสามสี่วัน...
ผมบังเอิญไป union เจอน้องคนนึงที่เรียนชั้นเดียวกับเธอ เขารี่มาหาผมแล้วบอกผมยิ้ม ๆ ว่าเขาได้ปฏิทินใหม่มา ผมอยากได้บ้างไหม
เขายื่นปฏิทินที่แบ่งเป็นช่องวันที่เอาไว้โน้ตได้ 12 แผ่น ๆ ละเดือนให้ผมดู
ผมก็ยังงงๆ เขาก็พูดต่อว่า TG เป็นคนพิมพ์มาแจกเขาและเพื่อนคนอื่นด้วย และถามอีกว่าใครอยากได้บ้าง TG จะพิมพ์มาให้
ป๊าดดดด ป้าด ๆ ๆ มันจี๊ดขึ้นมาเลย เครื่องพิมพ์กู หมึกกู กระดาษกู....
ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่า “แล้วมันก็กลายเป็นไวรัล” ขยายไปสู่เรื่องที่เธอมีคดีต่าง ๆ กับพวกเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน
[------ความนอกให้เพื่อนเล่า------]
เรื่องแรกคือเรื่องยืมเงินเพื่อน
ผมจำไม่ได้ว่าเขายืมเงินใคร แล้วจะคืนเมื่อไหร่ มันเป็นจำนวนเงินที่ไม่เยอะมากแต่ก็เป็นจำนวนที่เราไม่ค่อยจะพกติดกระเป๋ากัน สมมุติว่าสัก 100 AUD
เพื่อนก็ไปกดเงินให้เขา แล้วเขาก็บอกเหตุผลทีหลังว่าเขาก็มีเงินที่กดได้ แต่ถ้าเขากดแล้วอัตราดอกเบี้ยของเขาจะลดลงเพราะเบิกก่อนกำหนด wtf ทำเอาเพื่อนอึ้งไปเลยว่ามันคิดได้ยังไง
เรื่องที่สอง การยืมหนังสือเพื่อนไปถ่ายเอกสาร
นักเรียนไทย MBA จะมีสาวอัจฉริยะที่ทั้งลายมือสวย ทั้งจดได้เร็ว เธอคือ เหมียว-มณีรัตน์ เกิดมณี เด็กอักษร จุฬาฯ ที่ lecture ของเธอจะถูกใช้เป็นต้นฉบับสำหรับเอาไปถ่ายเอกสารบ่อย ๆ
นอกจากนั้นแต่ละวิชาก็มักจะมีตำราประกอบการเรียนซึ่งมักจะมีขนาดหนาหลายร้อยหน้าและราคาแต่ละเล่มคิดเป็นเงินบาทก็เกินพันบาท หนังสือเหล่านี้บางคนอาจจะได้รับมาจากรุ่นพี่ หลายคนก็จะซื้อที่ร้านหนังสือที่ union หรืออาจจะไปหาซื้อในเมือง
การยืมสมุด lecture เล่มเล็กๆ บางๆ เพื่อเอาไปถ่ายเอกสาร มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไร
แต่เรื่องหนังสือ ก็เป็นที่รู้กันว่าต้องซื้อเองหรือได้รับบริจาคมา
เรื่องก็คือ TG มีวิธีประหยัดเงินของเธอ เธอจะขอยืมหนังสือที่เพื่อนซื้อมาเพื่อเอาไปถ่ายเอกสารที่ร้านใน union ทั้งเล่ม มันทำให้ประหยัดเงินได้มาก
แต่คนที่น้ำตาตกก็คือเจ้าของหนังสือที่เธอยืมไปถ่ายเอกสาร
หลังการถ่ายเอกสารหนังสือที่หนาหนักจำนวนหลายร้อยหน้า TG ก็จะได้ปึกเอกสารไปหนึ่งปึกหนา ๆ ในราคาประหยัด ส่วนเจ้าของหนังสือก็จะได้หนังสือที่เยินยับกลับไป
“แล้วจะยืมใหม่นะ” ฮั่นแน่.......
มันมีเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายเรื่องเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แทบทุกเรื่องจะเกี่ยวกับเรื่องเงิน ทั้งเรื่องที่เกิดทางบ้านผม และที่เกิดกับเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียน ยังความสุขในวงสนทนาเป็นวงกว้าง พอเลิกเรียนเราก็มักจะมีเรื่องเธอมาเล่าให้คนที่ยังไม่รู้ฟังกันอย่างมีความสุข
[------ต้อง “สอย” แล้วหละ------]
และแล้วก็ถึงวันนั้น วันที่ความชั่วร้ายของผมตกผลึก
เย็นวันนึง ผมกับโทและเพื่อนที่เรียนด้วยกันกับ TG อีกสามคนก็จับกลุ่มกินข้าวคุยกันตามปกติ และเราก็วกมาเรื่อง TG แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ผมกับโทจะไม่ทนกับการปฏิบัติตัวของเธอต่อไปอีกแล้ว เราต้องทำให้เธอย้ายออกไปอยู่ที่อื่นให้ได้
แผนก็คือเราจะบอกเธอว่า เพื่อนเราคนนึงจะย้ายมาเรียนโมนาช แล้วผมกับโทก็อยากอยู่กับเพื่อนคนนี้ เราจึงอยากบอกเธอว่า เราให้เธอเลือกได้สองทาง
ทางเลือกแรกคือ ผมกับโทจะย้ายออกจากบ้านนี้ไปหาบ้านอยู่ใหม่พร้อมกับเพื่อนที่กำลังมา เมื่อเราสองคนย้ายออกแล้ว เธอจะต้องหาคนมาเช่าบ้านนี้อีกสองคนเพื่อจะได้ครบสามคน
ทางเลือกที่สองคือ ให้เธอย้ายออกไปหาบ้านใหม่อยู่เอง
[------6 กันยายน 38 วันปฏิบัติการสอย TG------]
อย่าแปลกใจว่าทำไมผมถึงจำวันที่ได้
ก็เพราะมันเป็นเหตุการณ์อันน่าอภิรมย์ที่คู่ควรกับการ "จด" ลงในไดอารี่ไง
หัวค่ำในคืนนั้น หลังอาหารเย็น
ตอนนั้น TG อยู่บนห้องนอนของเธอ เวลาน่าจะไม่เกิน 2 ทุ่ม คณะเสนาธิการทั้ง 5 คนก็เริ่มปฏิบัติการ
เนื่องจากเรื่องของ TG เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจในหมู่เพื่อน ๆ นับสิบคน ผมจึงเตรียมเครื่องบันทึกเทป+ไมโครโฟนใส่ไว้ที่กางเกงวอร์มสีดำเพื่อจะอัดเสียงตอนพูดคุย
สามสิบปีผ่านไป วัตถุพยานเหลือแค่ไมโครโฟนตัวเดียว
เมื่อทดสอบเสียงอัดจนแน่ใจแล้ว ผมกับโทก็เดินขึ้นไปคุยกับ TG ที่ห้องของเธอ
พอเข้าไปในห้องเธอ โทก็เป็นคนเริ่มก่อน
มันเป็นเรื่องของการฝากของจากครอบครัว TG ที่เมืองไทยผ่านป๊า-ม้าของโทซึ่งกำลังเดินทางจากเมืองไทยมาเยี่ยมโท ซึ่งป๊า-ม้า ไม่ยอมรับฝาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับผม เพราะจากที่ป๊ากับม้าเคยมาจากเมืองไทย มาค้างกับโทแล้วม้าจะทำกับข้าวบ้าง ขนมบ้าง บำรุงบำเรอโทและเพื่อน ๆ อย่างผมได้กินของอร่อยด้วย ทั้งคู่ดูใจดีมาก แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับการฝากของ
รายละเอียดนั้นผมจำไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นอะไรที่มัน “มากไป” หรือ “ไม่เกรงใจ” อะไรประมาณนั้น แล้วดูเหมือนว่า TG เอาเรื่องนี้มาบ่นกับเพื่อน ๆ ฟัง ทำให้โทอยากอธิบาย
แล้วก็จบเรื่องของโท จากนั้นก็ถึงตอน “สอย”
เรื่อง “สอย” นี้ผมได้รับเกียรติให้เป็นคนดำเนินการในฐานะผู้อาวุโส
ผมดำเนินเรื่องด้วยเสียงโมโนโทน แต่ก็เน้น ๆ ให้ดังพอที่ไมโครโฟนที่กำลังบันทึกเสียงอยู่จะจับเสียงได้ โดยมีโทคอยส่งสายตาและพยักหน้าเป็นลูกคู่ ผมก็พูดตามที่วางเรื่องมา
เขาก็เงียบฟัง แล้วก็ตกลงกันว่าจะให้คำตอบภายใน 2 สัปดาห์ว่าเขาจะย้ายออก หรือจะให้เราสองคนย้ายออก
จบเรื่องก็โล่ง แต่ก็รู้สึกว่าดูเป็นคนใจร้ายนะ
นอกจากจะใจร้ายในการบีบเธอให้ออกจากบ้านแล้ว ผมยังชั่วร้ายด้วยการเอาเทปเสียงมาเปิดให้ฝ่ายร่วมวางแผนผู้กระหายข่าวที่นั่งรออยู่ด้านล่างฟังอีกด้วย
สำหรับ TG การหาคนมาหารบ้านด้วยอีก 2 ห้องน่าจะยากกว่าการย้ายออก เพราะผมคิดว่าคนไทยที่เรียนด้วยกันน่าจะไม่มีใครอยากอยู่ด้วย และค่าเช่าก็แพงอีกด้วย สำหรับเขาเองก็อาจจะดีใจก็ได้ที่ย้ายออกเพราะเขาเป็นคนประหยัด
[------ขอให้พระคุ้มครองน้องผู้มาใหม่------]
ไม่ถึงสองสัปดาห์เขาก็บอกว่าเขาหาบ้านได้แล้ว อยู่ซอยอื่นไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่ ทางพวกผมก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก มีการเคลียร์เงินกัน ถึงเวลาก็จำไม่ได้ว่าพวกเราช่วยเขาขนของไปบ้านใหม่หรือเปล่า ก็เป็นไปได้ว่าเราจะช่วยเขาขนของไป เพราะโทก็มีรถอยู่แล้ว และอีกอย่างหนึ่งหน้าฉากของเราก็เป็นคนดี
พวกเรามักจะถามไถ่ข่าวของเธออยู่เสมอ และเธอก็ยังเรียนอยู่กับเพื่อนคนไทยเหมือนเดิม ทำให้ผมกับพวกที่ไม่ได้เจอเธอก็ยังได้ข่าวเธออยู่บ้าง
อีกไม่ถึงเดือนก็มีข่าวเด็ดของเธอมาเข้าหู
ข่าวนี้มาจากคนที่แชร์บ้านใหม่ร่วมกับ TG น้องคนนี้เป็นเด็กสาวคนไทยที่มาเรียนภาษา เพิ่งมาใหม่ แล้วไม่รู้มาเจอ TG ได้ยังไง
น้องถูก TG ชักชวนให้ร่วมแชร์บ้านซึ่งน้องก็คงอยากออกจากหอนอมันบี้มาอยู่บ้านอยู่แล้วก็เลยตกลง
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
TG เป็นคนติดต่อกับเจ้าของบ้านที่เป็นฝรั่ง ในฐานะที่เธอเป็นพี่ที่แก่กว่า และก็อยู่มานานแล้ว น้องคนใหม่ก็ย่อมจะให้เธอจัดการให้ทุกอย่างเป็นธรรมดา
บ้านนั้นเป็นบ้านค่อนข้างเก่า แต่มีเฟอร์นิเจอร์ครบ ถ้วยจานชามหม้อครบ มีทีวี 1 เครื่องอยู่ในห้องรับแขก ทั้งหมดเป็นของเจ้าของบ้านที่รวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว เหมือนกับว่าบ้านนี้ให้เช่ามาหลายรุ่นแล้วก็เลยมีของครบ
พอย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน TG ก็ย้ายทีวีเข้าไปดูในห้องนอนเธอ ส่วนจานชามที่ได้มาพร้อมกับตัวบ้านนั้นเธอก็ตีราคาเป็นเงิน แล้วคิดราคาเอากับน้องคนนั้น
เรื่องนี้ผมก็ว่าไม่ถึงกับเลวร้ายอะไร แต่รู้สึกว่ามันเค็มไปนะ
ส่วนเรื่องทำความสะอาดนี่ไม่มีข้อมูล ไม่รู้ว่าไอ้น้องคนนั้นจะเจออะไรบ้าง
[------เธอยังคิดถึงผม------]
ยังมีเรื่องอีกนิดนึง หลังจากเธอย้ายไปแล้ว กลางวันวันหนึ่ง ตอนนั้นพวกเราอยู่ในบ้านกัน 4 คน โดยปกติเราจะปิดประตูบ้านอยู่แล้วเพราะอากาศหนาว พวกเราก็เห็น TG เดินมาแต่ไกล
พวกเราก็วิ่งกันพล่านเลย พากันไปแอบลึกเข้าไปในครัวซึ่งจะมองจากข้างนอกเข้ามาไม่เห็นเพราะเรามีมู่ลี่ปิด
TG ก็มากดกริ่งอยู่สองรอบแล้วรออยู่ราว 5 นาที พวกเราก็แอบคิกคัก ๆ กันเบา ๆ แล้วเธอก็ไป คงนึกว่าเราไม่อยู่
เท่าที่รู้ก็ไม่ค่อยมีใครสนิทกับเธอ บางทีเธอยิงมุกมา พวกเราก็จะรู้สึกว่ามันแป้กทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะอคติ แต่พวกที่เรียนด้วยกันมันก็ต้องเจอกันทุกวัน ก็ต้องคุยกันเท่าที่จำเป็น เพื่อน ๆ คงเข็ดกับการยืมเงินและยืมหนังสือ ส่วนผมที่ต้องแอบอยู่ในบ้านก็เพราะกลัวว่าเธอจะยืมเครื่องพิมพ์ไปทำปฏิทินแจกอีก
กลับไทยมาแล้วก็มีคนเจอเธอนะ เหมือนจะมีอะไรมาเล่าเล็กน้อยแต่ผมจำไม่ได้แล้ว
โฆษณา