7 เม.ย. เวลา 13:25 • ประวัติศาสตร์

เมื่อกองทัพพม่าเข้าในกำแพงพระนครศรีอยุธยา

ได้แล้ว ก็จุดเพลิงเผาสังหารพระมหาราชธานี
พินาศด้วยอิทธิอัคนีผลาญ
รำลึกเหตุมหาวิปโยค 2️⃣5️⃣8️⃣ ปี
แห่งความสูญเสีย 7 เมย. 2310
บันทึกแห่งความเจ็บปวด🖋️
วันที่ 7 เมษายน พุทธศักราช 2310 คือวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของแผ่นดินสยาม เมื่อกองทัพพม่าภายใต้การนำของแม่ทัพเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธาบุกฝ่ากำแพงเมืองพระนครศรีอยุธยาเข้ามา
ได้สำเร็จ กรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงแห่งความรุ่งเรืองที่ยืนหยัดมายาวนานกว่า 400 ปี ต้องล่มสลายลง
ท่ามกลางเปลวเพลิงและเสียงกรีดร้องของผู้คน
เปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นจากพระราชวัง วัดวาอาราม และบ้านเรือน มิได้เพียงเผาผลาญสิ่งปลูกสร้าง
หากแต่กลืนกินหัวใจของแผ่นดิน ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา อารยธรรมที่บ่มเพาะมายาวนาน ศิลปะอันงดงาม บทประพันธ์อันทรงคุณค่า และบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองล้วนถูกทำลายลงในพริบตา
ประชาชน ขุนนาง และเชื้อพระวงศ์จำนวนมากถูกสังหารหรือกวาดต้อนไปยังแผ่นดินพม่า ชีวิตนับแสนสิ้นสุดลงอย่างไร้ความเมตตา ภาพความโหดร้ายในครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของลูกหลาน แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนาน
แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการล่มสลายของเมืองเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความแตกแยกภายใน ความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชนชั้นปกครองและประชาชน ความละเลยในการป้องกันภัย และการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ทั้งหมดคือปัจจัยที่เปิดทางให้ภัยพิบัติใหญ่หลวงเข้าครอบงำ
โศกนาฏกรรมของกรุงศรีอยุธยาจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ หากแต่คือเสียงเตือนจากอดีตที่ดังก้องมาถึงปัจจุบันและอนาคต ให้เราตระหนักว่า ชาติจะดำรงอยู่ได้ด้วยหัวใจที่แน่นแฟ้นของผู้คน การปกป้องบ้านเมืองไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นพันธะสัญญาของทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน
กรุงศรีอยุธยาอาจล่มสลายลงเป็นเพียงซากปรัก
หักพัง หากแต่เกียรติภูมิและบทเรียนจากวันแห่งความพินาศยังคงส่องสว่างดุจประทีปแห่งปัญญา เตือนใจลูกหลานชาวไทยให้รู้คุณค่าแห่งสันติภาพ ความกลมเกลียว และการไม่ประมาท
คราใดที่รำลึกถึงวันเสียกรุงฯ จงอย่าหวนนึก
ถึงเพียงความโศกเศร้า แต่จงนำความเจ็บปวด
นั้นมาเป็นแรงผลักดันให้ร่วมกันรักษาแผ่นดินนี้ไว้ ด้วยสติ ปัญญา และความเสียสละ
เพื่อให้โศกนาฏกรรมเช่นนั้น▪️▪️▪️💢
ไม่มีวันหวนกลับมาอีกครั้ง
โฆษณา