Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Unheard Words | เสียงในหมอก
•
ติดตาม
8 เม.ย. เวลา 10:56 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
น้ำทะเลสูงขึ้นทุกปี กรุงเทพจะจมน้ำ ถ้าเราไม่ขยับตรงจุด
กรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนระดับ
ไม่ใช่เพราะอาคารสูงขึ้น แต่เพราะดินใต้เมืองทรุดลง และน้ำทะเลขยับสูงขึ้นทุกปี นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ฉับพลัน แต่เป็นการขยับแบบเงียบ ๆ ของทั้งระบบ ทะเลสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 3–4 มิลลิเมตร
ดินทรุดลงอีกเฉลี่ยปีละ 1–2 เซนติเมตร และที่สำคัญ ไม่มีแนวโน้มว่าทั้งสองจะหยุดลงในเร็ววัน ในขณะที่เมืองยังใช้ชีวิตปกติ ตัวเมืองจริง ๆ กำลังต่ำลงทุกวัน แต่ยังไม่มีใครพูดชัดว่า ถ้าเรายังไม่ขยับ
กรุงเทพฯ ในอีก 20 ปีจะอยู่ตรงไหน
คนส่วนใหญ่มองน้ำท่วมเหมือนภัยฤดูฝน พอพ้นหน้าฝน ก็คิดว่าพ้นปัญหา แต่น้ำทะเลหนุนไม่ใช่แบบนั้น มันไม่ได้ขึ้นแล้วลง แต่มันขึ้น แล้วอยู่ตรงนั้น และปีหน้าก็จะขึ้นอีก ปัญหาจริงจึงไม่ใช่ “น้ำท่วม”
แต่คือ “การไม่วางน้ำทะเลไว้ในสมการการพัฒนาเมืองเลย” วันนี้เราวางถนน วางคอนโด วางระบบไฟ โดยไม่ได้คำนวณว่าอีก 15 ปี ที่ตรงนี้อาจอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้ แต่เพราะเราไม่เคยนับมันเป็นตัวแปรหลักในการตัดสินใจ
น้ำทะเลไม่เคยถามเราว่าพร้อมหรือยัง มันแค่ขึ้น ตามแรงของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ธารน้ำแข็งละลาย ฝนตกถี่ขึ้น ท่อระบายไม่ทัน ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นแรงที่กำลังกดกรุงเทพฯ ลงไปทีละชั้น ขณะเดียวกัน เมืองกลับมีแรงต้านแปลก ๆ ที่ซ่อนอยู่
ไม่ใช่ต้านน้ำ แต่เป็นแรงต้านการเปลี่ยนวิธีคิด เพราะการยอมรับว่าเมืองจะอยู่ไม่ได้ในบางพื้นที่ เท่ากับต้องทบทวนแผนพัฒนา เท่ากับบางโครงการอาจเดินต่อไม่ได้ เท่ากับบางคนจะเสียประโยชน์
แรงต้านจึงมาในรูปของความเงียบ ของคำว่า "ยังไม่ถึงเวลา" หรือ "อย่าทำให้คนแตกตื่น" แต่ในความนิ่งนั้น น้ำยังขยับอยู่ทุกวัน
ผลกระทบจากการนิ่งเฉยไม่ได้มาทีเดียว แต่มาทีละชั้น ลึกขึ้นเรื่อย ๆ ระยะแรก เราจะเห็นน้ำขังที่ไม่เคยขัง ถนนบางสายเริ่มทรุดเร็วกว่าที่ควร บ้านบางหลังมีน้ำซึมเข้ามาทางพื้น ไม่ใช่หลังคา
ระยะกลางคือการเสื่อมของพื้นที่ ทรัพย์สินในบางเขตจะเริ่มขายยาก บริษัทประกันจะตั้งเงื่อนไขเพิ่ม การลงทุนใหม่จะเริ่มเว้นโซน
ระยะยาวคือเมืองที่อยู่ไม่ได้แบบเดิม โรงเรียนบางแห่งต้องย้าย โรงพยาบาลบางแห่งต้องสร้างทางหนี และเขตบางเขต อาจกลายเป็นจุดที่ ไม่มีใครดูแลเพราะไม่มีใครอยู่
คนกรุงเทพฯ เคยคิดว่าแค่มีคลอง ก็รับน้ำได้ แต่วันนี้ คลองหลายสายต้องใช้ปั๊มช่วยดึง เพราะน้ำจากทะเลไม่ยอมลง
บางขุนเทียนกำลังเสียชายฝั่งปีละหลายเมตร สมุทรปราการมีชุมชนที่น้ำทะเลหนุนเข้าทุกปี ฝั่งธนบุรี มีซอยที่ใช้ชั้นล่างไม่ได้มาหลายปีแล้ว แม้จะยังไม่มีคำว่า "ภัยพิบัติ" อย่างเป็นทางการ แต่คนที่อยู่ตรงนั้นเขารู้อยู่แล้วว่า น้ำมันมา และไม่เคยกลับระดับเดิม
เราเคยชินกับภาพเมืองที่ต่อสู้กับน้ำ สร้างเขื่อน สร้างปั๊ม สร้างถนนยกระดับ แต่ถึงจุดหนึ่ง เมืองที่ดีไม่ใช่เมืองที่สู้จนชนะ แต่คือเมืองที่รู้ว่า ควรรับ ควรปล่อย หรือควรถอย ตอนไหน
น้ำไม่ใช่ศัตรู แต่มันเป็นเงื่อนไขของโลกที่เปลี่ยน ถ้าเรายังใช้กรอบคิดเดิม เราจะหมดแรงก่อนที่น้ำจะหยุด กรุงเทพฯ ต้องเลิกมองน้ำเป็นแค่ปัญหาชั่วคราว และเริ่มวางระบบที่อยู่กับมันให้ได้ แบบที่ไม่ต้องอธิบายทุกปีว่าทำไมปีนี้น้ำยังมาอยู่
1
จุดเดียวที่ถ้าขยับแล้วพลิกทั้งเกม คือ การใส่ภัยทะเลหนุนเข้าไปในผังพัฒนาเมืองระดับชาติ ไม่ใช่แค่ข้อมูลประกอบ แต่คือตัวแปรหลัก เหมือนแผ่นดินไหว เหมือนแนวไฟฟ้าแรงสูง
ถ้ามันอยู่ในผังจริง ๆ ถนนจะวางใหม่ ระบบระบายน้ำจะต้องเปลี่ยน โครงการอสังหาฯ จะต้องคิดใหม่ตั้งแต่การออกแบบ ทุกอย่างจะเริ่มเปลี่ยนจากจุดนี้ แต่ถ้ามันยังไม่ถูกนับ เมืองจะเดินต่อแบบไม่รู้เลยว่ากำลังไปสู่ที่ต่ำ
ถ้าเราไม่ขยับ กรุงเทพฯ จะไม่ได้หายไปในคืนเดียว แต่มันจะค่อย ๆ เหลือแค่บางจุด ที่รอดเพราะสูงพอ หรือรอดเพราะมีงบพอจะสร้างกำแพงของตัวเอง ใน 5 ปีข้างหน้า
เราจะเริ่มเห็นความแตกต่างของเมืองชัดขึ้น ระหว่าง เขตที่จัดการน้ำได้ กับ เขตที่ถูกทิ้ง ใน 10 ปี บางชุมชนอาจอยู่ไม่ได้ แม้จะไม่มีภัยพิบัติรุนแรง เพราะคุณภาพชีวิตจะลดลงจนไม่มีใครอยากอยู่
ใน 15–20 ปี เมืองจะเริ่มเปลี่ยนฟังก์ชัน บางที่ใช้ไม่ได้ บางที่ยังอยู่ได้ และบางที่ แค่เหลืออยู่ในแผนที่ แต่ไม่อยู่ในใจใครแล้ว
เราไม่ได้ไปถึงจุดเสี่ยงเพราะน้ำทะเลขึ้นปีเดียว แต่เป็นเพราะเราไม่เคยวางมันไว้ในแผนเลยต่างหาก น้ำทะเลสูงขึ้น น้ำหนุนถี่ขึ้น พื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำไม่ทัน ระบบระบายน้ำล้น ถนนเสียหายบ่อย การเดินทางติดขัด ระบบสาธารณสุขหยุดชะงัก คนเริ่มย้ายออก ธุรกิจปิดตัว พื้นที่เสื่อมค่า ความเชื่อมั่นหาย เมืองพัฒนาไม่ได้ ทิ้งพื้นที่เปราะไว้ข้างหลัง วงจรนี้ไม่ได้เริ่มที่คลื่น แต่มันเริ่มที่ การไม่ใส่คลื่นน้ำไว้ในแผน
กรุงเทพฯ ไม่ใช่เมืองแรกที่เผชิญแรงกดจากทะเล แต่เราจะเป็นหนึ่งในไม่กี่เมือง ที่เลือกจะไม่ขยับ ถ้าเราไม่เริ่มคิดใหม่ ทางรอดของกรุงเทพฯ ไม่ได้เริ่มที่ งบประมาณ แต่มันเริ่มที่ การเปลี่ยนบทบาทของเมือง
จากผู้รอรับน้ำ เป็นเมืองที่วางตำแหน่งของน้ำอย่างมีกลยุทธ์ สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คือการ กล้าทำ สิ่งที่คนอื่นทำแล้วได้ผล หนึ่งในนั้นอาจ คือ แนวกันน้ำแบบเคลื่อนไหวได้
ประเทศอย่างอังกฤษใช้ Thames Barrier มานานกว่า 40 ปี ไม่ใช่เขื่อนแบบปิดถาวร แต่เป็นประตูกั้นน้ำที่ลอยขึ้นเฉพาะเวลาน้ำทะเลหนุน เสร็จแล้วก็ลดตัวลง เปิดให้แม่น้ำไหลเหมือนเดิม เมืองไม่ถูกตัดขาดจากทะเล แต่ทะเลก็ไม่ข้ามเข้ามาเมื่อมันไม่ควร
แนวคิดแบบนี้สามารถปรับใช้กับปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยออกแบบให้สอดคล้องกับกระแสน้ำ ลม และเส้นทางเดินเรือ ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตตั้งแต่ต้น แต่ออกแบบเผื่อขยายในอนาคตได้ ให้เหมือนวางแผนกับเวลา ไม่ใช่ฝืนเวลา
สอง คือ พื้นที่รับน้ำที่ยอมท่วมได้ ไม่ใช่พื้นที่ที่ปล่อยท่วมเพราะจำใจ แต่คือพื้นที่ที่ ยอมเสียก่อน เพื่อรักษาเมืองส่วนใหญ่ไว้ได้
สิงคโปร์ทำแบบนี้ใน Bishan Park จุฬาฯ ก็เริ่มทำในสวน 100 ปี ที่นั่น สวนคือลานกิจกรรมในวันที่ฟ้าใส และกลายเป็นแอ่งรับน้ำทันทีเมื่อฝนตกหนัก
ไม่ต้องสร้างระบบใต้ดินราคาแพง แค่ใช้ภูมิประเทศให้ฉลาด และวางให้ถูกตำแหน่งในแผนเมือง
สาม คือ ทีมเมือง-น้ำ ที่อยู่ยาวกับปัญหา ไม่ใช่หน่วยเฉพาะกิจ ไม่ใช่คณะกรรมการที่ตั้งตอนท่วมแล้วหายตอนน้ำลด แต่เป็นกลไกถาวรที่มีอำนาจ ใช้ข้อมูลจริง จำลองสถานการณ์ได้ และเชื่อมโยงแผนผังเมืองกับการบริหารน้ำจริงจัง
โคเปนเฮเกนเคยมีหน่วยแบบนี้หลังเจอน้ำท่วมใหญ่ โตเกียวมี Urban Flood Team ที่ไม่เคยถูกยุบแม้ 30 ปีจะไม่มีวิกฤต เพราะพวกเขาเชื่อว่า การเตรียมตัวในวันที่ไม่มีภัย สำคัญกว่าการพูดเก่งในวันที่เกิดเหตุแล้ว
และสุดท้าย ถ้าจะคิดในระยะยาวแบบทะเยอทะยานจริง เราต้องกล้าพูดถึงแนวคิดอย่าง เกาะเทียมในอ่าวไทย ไม่ใช่แค่เพื่อถมที่ แต่เพื่อสร้างแนวกันน้ำแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่กำแพง แต่เป็น เมืองที่ลอยอยู่หน้าชายฝั่ง ทำหน้าที่ป้องกันน้ำทะเล ทำหน้าที่รับแรงคลื่น
และในบางช่วง… อาจกลายเป็นย่านใหม่ของกรุงเทพฯ ที่พ้นจากความเสี่ยง
โครงการลักษณะนี้เคยถูกเสนอในไทย ในชื่อโครงการสร้อยไข่มุก สร้างเกาะเรียงกันจากบางขุนเทียนถึงชลบุรี แต่ไม่เคยเดินหน้า เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นฝันกลางวัน ทั้งที่ดูไบเคยทำ
เนเธอร์แลนด์ใช้แนวคิดคล้ายกัน ญี่ปุ่นสร้างเกาะสนามบินกลางทะเล ตั้งแต่ 30 ปีก่อน เราไม่ได้ขาดเทคโนโลยี เราแค่ยังไม่มีเมืองที่กล้าใช้มันจริงจัง
ถ้าต้องเลือกแค่จุดเดียว ที่จะเป็นคันโยกเปลี่ยนทั้งระบบ คำตอบคือ ยกระดับภัยทะเลหนุน ให้เทียบเท่ากับภัยพิบัติระดับชาติในทุกแผนแม่บท ไม่ใช่แค่ในกรมทรัพยากรน้ำ แต่ในผังเมือง ในกรมโยธา ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และในแผนลงทุนของรัฐและเอกชน
เมื่อมันถูกนับว่า “คือความเสี่ยงระดับระบบ” มันจะถูกใส่ไว้ตั้งแต่ตอนคิด ไม่ใช่แค่ตอนแก้ เมืองจะเปลี่ยนจากการ ตอบสนองเมื่อเกิดเรื่อง ไปสู่การ ป้องกันก่อนมันเกิดอย่างมีระบบ
เราอาจไม่มีทางหยุดน้ำทะเล แต่เรามีทางเลือกที่จะอยู่กับมัน… อย่างฉลาด อย่างมีศักดิ์ศรี และอย่างมีแผนระยะยาวที่ไม่ฝากอนาคตไว้กับคำว่า “เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
1
#น้ำท่วมกรุงเทพ #กรุงเทพจมน้ำ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย