24 มิ.ย. เวลา 03:00 • ธุรกิจ

การวิเคราะห์ธุรกิจด้วย Five Forces Model, Business Model Canvas และ SWOT Analysis

การจะทำความเข้าใจว่าธุรกิจที่เราเลือกลงทุน มีโอกาสการเติบโตในระยะยาวหรือไม่นั้น นอกจากการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณ เช่น Revenue growth, Net profit margin, ROE, D/E หรือ อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์แล้ว การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) เป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจ “โครงสร้างการแข่งขัน” และ “จุดแข็งจุดอ่อน” ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์ธุรกิจตามลำดับชั้นโดยใช้เครื่องมือต่างๆกันคือ
# เลือกอุตสาหกรรมที่เหมาะสมผ่าน Five Force Model
Five Force Model เป็นโมเดลที่วิเคราะห์โครงสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรม เพื่อประเมินว่าอุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นอยู่ “น่าสนใจหรือน่าลงทุน” แค่ไหน โดยดูจาก
1. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม (Industry Rivalry)
ลักษณะตลาดเป็นการแข่งขันสมบูรณ์ มีคู่แข่งมีจำนวนมาก? มีการแข่งขันด้านราคาหรือโปรโมชันรุนแรงไหม? หรือเป็นตลาดผูกขาดที่มีคู่แข่งน้อยรายหรือไม่?
เพราะยิ่งการแข่งขันสูง กำไรของบริษัทจะยิ่งถูกกดดัน
2. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ (Buyer Power)
ลูกค้ามีอำนาจตัดสินใจมากน้อยแค่ไหน เช่น เปลี่ยนใจง่าย กดราคาง่าย หรือมีตัวเลือกอื่นๆทดแทนได้
หากบริษัทไม่มีอำนาจกำหนดราคา เช่นเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาถูกกำหนดโดยตลาด จะทำให้กำไรที่ได้รับไม่แน่นอน
3. อำนาจต่อรองของผู้ขาย (Supplier Power)
ซัพพลายเออร์มีอำนาจต่อรองควบคุมราคาวัตถุดิบได้หรือไม่? ถ้าบริษัทพึ่งพา supplierเพียงไม่กี่ราย อาจมีความเสี่ยงให้ต้นทุนสูงขึ้นได้
4. ภัยคุกคามจากผู้เข้ามาใหม่ (Threat of New Entrants)
อุตสาหกรรมนี้มี “กำแพงกั้น” มากน้อยแค่ไหน เช่น เงินลงทุนสูง, กฎหมายควบคุม, ใบอนุญาตเฉพาะ
ถ้าเข้ามาได้ง่าย บริษัทเปิดใหม่ได้ง่าย ทำให้กำไรของทุกบริษัทจะถูกเฉลี่ยลดลง
5. ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitutes)
มีสินค้าหรือบริการอื่นที่ตอบโจทย์ได้เท่าเทียมกันหรือไม่?
มีโอกาสที่ธุรกิจจะถูก Disruption หรือไม่?
ซึ่งหากบริษัทมีความเสี่ยงจะถูก Disruption แล้วไม่สามารถปรับตัวได้ทัน สุดท้ายอาจต้องปิดกิจการในที่สุด
# เข้าใจธุรกิจด้วย Business Model Canvas
Business Model Canvas (BMC) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างธุรกิจในมุมมองแบบองค์รวม ผ่าน 9 องค์ประกอบหลัก ซึ่งทำให้เรามองภาพได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นด้านหนึ่งด้านใด ทำให้สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
1. Value Propositions – คุณค่าที่บริษัทส่งมอบ
นักลงทุนควรสนใจว่า “ทำไมลูกค้าต้องเลือกสินค้าหรือบริการของบริษัทนี้?”
บริษัทมีจุดขายเฉพาะ (Unique Selling Point) ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของผู้บริโภคได้อย่างไร และมีจุดเด่นเหนือคู่แข่งอย่างไร
2. Customer Segments – กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
การรู้ว่าบริษัทขายสินค้า/บริการให้ใคร เป็นแบบ B2B, B2C หรือ B2G กลุ่มลูกค้ามีพฤติกรรมแบบไหน จะช่วยให้ประเมินความเสี่ยงของรายได้ได้ เช่น
บริษัท A มีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานราชการ อาจมีความเสี่ยงเรื่องการพึ่งพิงภาครัฐ
บริษัท B ขายสินค้าให้กลุ่มวัยรุ่น มีโอกาสเติบโตหากจับเทรนด์ได้ดี
3. Channels – ช่องทางการจัดจำหน่าย
การประเมินว่าบริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลายหรือไม่ เช่น Online, Offline, ห้างสรรพสินค้า,ร้านสะดวกซื้อ , ร้านค้าพันธมิตร ฯลฯ
หากบริษัทพึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากเกินไป อาจมีความเสี่ยงเมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป
4. Customer Relationships – ความสัมพันธ์กับลูกค้า
แบรนด์ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับลูกค้า สามารถสร้าง Brand loyalty จะได้เปรียบในระยะยาวเพราะสามารถรักษาฐานลูกค้าได้ดี
ส่วนสินค้าหรือบริการที่มี Switching costสูง สามารถช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้สินค้าหรือบริการของคู่แข่งได้
5. Key Resources – ทรัพยากรหลัก
บริษัทที่มีทรัพยากรเฉพาะ เช่น ความชำนาญเฉพาะด้าน สิทธิบัตร ทีมวิจัยเฉพาะทาง มักมีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
6. Key Activities – กิจกรรมหลัก
เข้าใจว่ากิจกรรมหลักเพื่อส่งมอบคุณค่าของบริษัทคือ อะไร เช่น วิจัย พัฒนา ผลิต จำหน่าย และบริษัทมุ่งเน้นไปในแนวทางที่ส่งเสริมกิจกรรมหลักหรือไม่ เช่น บริษัทเทคโนโลยีเน้น R&D ขณะที่บริษัทค้าปลีกเน้น supply chain และการจัดการสต๊อก
7. Key Partnerships – พันธมิตร
การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เช่น โรงงานผลิต แฟรนไชส์ หรือแพลตฟอร์มดิจิทัล ช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
8. Cost Structure – โครงสร้างต้นทุน
เข้าใจว่าต้นทุนหลักอยู่ที่ใด เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าโฆษณา บริษัทที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี จะมี margin สูง และมีกำไรมากขึ้น
9. Revenue Streams – แหล่งรายได้
โครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจากแหล่งใดบ้าง มีความหลากหลายหรือไม่ มีการพึ่งพิงสินค้าใดหรือลูกค้ารายใดรายหนึ่งมากเกินไปหรือไม่
# มองหาโอกาสผ่าน SWOT Analysis
SWOT ใช้วิเคราะห์ปัจจัยภายในและภายนอกของบริษัท เพื่อหาว่าธุรกิจมีความพร้อมในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน
  • ​จุดแข็ง (Strengths)
ความได้เปรียบของบริษัท เช่น แบรนด์แข็งแกร่ง, เทคโนโลยีเฉพาะด้าน, ฐานลูกค้าขนาดใหญ่, ต้นทุนต่ำ
  • ​จุดอ่อน (Weaknesses)
พิจารณาสิ่งที่บริษัทด้อยกว่าคู่แข่ง เช่น หนี้สูง, ขาดนวัตกรรม, การพึ่งพาลูกค้ารายใหญ่ และศึกษาว่าบริษัทมีแผนจัดการความเสียเปรียบนั้นหรือไม่อย่างไร
  • ​โอกาส (Opportunities)
แนวโน้มตลาดที่บริษัทอาจเติบโตได้ เช่น เทรนด์ผู้บริโภค, การขยายต่างประเทศ, การใช้ AI ซึ่งจะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
  • ​อุปสรรค/ความเสี่ยง (Threats)
ปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลลบ เช่น กฎหมายใหม่, คู่แข่งรายใหญ่, ต้นทุนวัตถุดิบขึ้นราคา ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบกดให้ราคาหุ้นของบริษัทต่ำลง
การวิเคราะห์ Five Forces จะช่วยให้เรา “เลือกสนามแข่งที่ดี” การใช้ BMC จะช่วยให้เรา "เข้าใจนักแข่งของเรา" ส่วน SWOT จะช่วยให้เรา “เลือกนักแข่งที่พร้อมลงสนาม” การผสานเครื่องมือทั้งหมดกับงบการเงิน จะทำให้นักลงทุนมองบริษัทได้รอบด้านและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
โฆษณา