Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Unheard Words | เสียงในหมอก
•
ติดตาม
9 เม.ย. เวลา 13:56 • ความคิดเห็น
ตึก สตง. ถล่ม: เสียงของแรงที่ไม่มีใครออกแบบไว้รับ
เสียงที่ยังไม่หายไป
ไม่ใช่เสียงระเบิด ไม่ใช่เสียงแผ่นดินไหว ไม่ใช่เสียงตะโกนเตือน
แต่มันคือเสียง "วูบ"... แล้วตามด้วยเงียบ
ก่อนตึกถล่ม ไม่มีใครรู้ว่าชั้นไหนรับแรงมากเกินไป
ไม่มีใครรู้ว่าจุดต่อแข็งแรงแค่ไหน แค่ “ดูเหมือนต่อ” แต่ไม่ได้ “ต่อแรงจริง”
ไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังอยู่ใต้โครงสร้างที่กำลังถ่ายแรงผิดทาง
สิ่งที่ตึก สตง. ทำให้เราต้องยอมรับคือ
> แรงที่พังตึก… ไม่ใช่แค่แรงภายนอก แต่คือแรงภายในที่ไม่มีใครรับไว้เลย
---
เมืองที่ตั้งอยู่บนชั้นที่สั่นง่าย
กรุงเทพฯ คือหนึ่งในไม่กี่มหานครในโลกที่ตั้งอยู่บนดินอ่อนระดับ ultra-soft clay
เมื่อคลื่นแผ่นดินไหวจากเมียนมามาถึง
ความถี่ของคลื่นจะถูกลดลง แต่ amplitude จะขยายตัวแบบ non-linear amplification
→ นี่คือเหตุผลที่เราพบแรงสั่นไหว “คลื่นยาว” ที่อาคารสูงสะเทือนแม้แผ่นดินไหวห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
> แต่สิ่งที่เราทำต่อมันคือ… ใส่มาตรฐานลงในกระดาษ แต่ไม่ใส่ลงไปใน “รายละเอียดทางโครงสร้าง”
การออกแบบต้านแผ่นดินไหววันนี้ อาจยังเป็นแค่เพียงการทำให้แบบผ่านตามกฎ ไม่ใช่หลักคิดที่ฝังลงในเส้นทางการถ่ายแรงของโครงสร้าง
---
จุดที่ต่อตามแบบได้ แต่ต่อรับแรงจริงไม่ได้
เมื่อแรงสั่นมาถึง อาคารที่ใช้ระบบพื้นไร้คาน (flat slab system)
ต้องรับแรงเฉือน (shear) รอบจุดต่อพื้น–หัวเสา แบบกระจาย
แต่ในภาพวิเคราะห์ความเสียหายที่เห็นชัด:
> จุดต่อเหล่านี้ ถูกเฉือนขาดโดยไม่มี deformation นำหน้า
นั่นคือ signature ของ punching shear failure —
พฤติกรรมการพังแบบทะลุพื้น ซึ่งมักเกิดในโครงสร้างไร้คานที่ไม่ได้เสริมเหล็กกันเฉือน (shear stud or drop panel) อย่างพอเพียง
และที่สำคัญคือ...
มันพังแบบฉับพลัน – ไม่มีการเปลี่ยนรูป ไม่มีสัญญาณเตือนก่อนโครงสร้างจะล้ม = ไม่มีใครมีโอกาสหนี
---
4 สมมุติฐานหลัก: เหตุที่ตึกพังในแบบที่ไม่มีใครทันได้รู้ตัว
สมมุติฐาน A: Punching Shear Failure (เฉือนทะลุจุดรองรับ)
คำอธิบาย:
พื้นไร้คาน (flat slab) วางบนหัวเสาโดยตรง
เมื่อเกิดแรงเฉือนในแนวดิ่งมากเกินกว่าที่พื้นที่รอบหัวเสารับไหว →
แรงจะ เจาะทะลุพื้น โดยไม่ต้องให้คอนกรีตหักงอ
เงื่อนไขที่สนับสนุน:
แบบอาคารใช้ flat slab (มีภาพยืนยันการพังในแนวตั้งชัดเจน)
ไม่มี drop panel หรือ shear reinforcement รอบจุดพัง
พฤติกรรมพังแบบฉับพลัน แทบไม่มีการบิดงอ
→ พฤติกรรมนี้พบได้ใน collapse ที่ “แรงมาไม่เยอะ แต่ load transfer ไม่สม่ำเสมอ”
คำศัพท์เสริม:
Punching shear = แรงเฉือนทะลุจุดรองรับ
Drop panel = พื้นหนาบริเวณหัวเสา เพื่อกระจายแรงเฉือน
Shear stud = เหล็กเสริมเพื่อรับแรงเฉือนเฉพาะที่
---
สมมุติฐาน B: Soft Storey Collapse (พังเฉพาะชั้นล่างสุด)
คำอธิบาย:
โครงสร้างมี “ชั้นล่าง” ที่มี stiffness (ความแข็ง) น้อยกว่าชั้นอื่นอย่างมาก
เมื่อแรงสั่นมา → แรงจะสะสมที่ชั้นนี้ → พังเฉพาะจุดนั้นก่อน
หลักฐานสนับสนุน:
ภาพวิดีโอแสดง collapse เริ่มจากกลางล่าง
ความเสียหายของเสาชั้นล่างแบบ “หักกลาง” (buckling)
ลักษณะการใช้งานอาคารเป็นสำนักงาน + ล็อบบี้ → มักเปิดโล่งด้านล่าง = stiffness ต่ำ
คำศัพท์เสริม:
Soft storey = ชั้นที่มีความแข็งน้อยกว่าชั้นอื่น จนเกิด deformation ได้มาก
Buckling = การพับงอของเสาภายใต้แรงอัดเฉียงเกินจุดวิกฤต
Unbalanced stiffness = ความไม่สมดุลในการกระจายความแข็งต้านแรงของอาคาร
---
สมมุติฐาน C: Diaphragm Disconnection (พื้นกับเสาไม่ถ่ายแรงร่วม)
คำอธิบาย:
พื้นและเสาควรจะ “ผูกแรง” เข้าด้วยกันผ่าน connection
แต่ในอาคารกึ่ง–prefab หรือระบบ precast–cast-in-place
อาจเกิด “รอยต่อหลอก” ที่ต่อแบบได้ แต่แรงไม่เดิน
หลักฐานสนับสนุน:
ภาพรอยต่อพื้นกับเสาแยกออกแบบแนวดิ่ง (ไม่ใช่ shear failure ธรรมดา)
ลักษณะโครงสร้างที่ใช้ precast บางส่วน
ปล่องลิฟต์ที่ยังอยู่–แต่มวลรอบพัง = บ่งชี้ว่า rigid core อาจ “detach” จาก diaphragm
คำศัพท์เสริม:
Diaphragm = พื้นที่กระจายแรงด้านข้างในอาคาร
Rigidbody detachment = การแยกออกของแกนแข็ง (เช่น ปล่องลิฟต์) จากโครงสร้างโดยรอบ
Interface failure = ความล้มเหลวที่เกิดที่จุดเชื่อมระหว่างสองวัสดุ
---
สมมุติฐาน D: Mixed-System Collapse Initiation (ระบบผสมที่แรงไม่ผสาน)
คำอธิบาย:
อาคารนี้เป็นระบบผสมระหว่าง precast กับ cast-in-place
→ จุดต่อของสองระบบมีความต่างใน stiffness, strain capacity, และ timing ของ curing
ถ้าไม่มีการออกแบบ joint เฉพาะ → จะเกิด stress concentration ที่ interface
และที่แย่กว่านั้น… มันอาจขยายแบบ progressive collapse คือ พังจุดหนึ่ง ลากทั้งระบบ
หลักฐานสนับสนุน:
แบบก่อสร้างที่มีทั้งส่วนเทพื้นภายนอก–precast–cast onsite
การพังแบบไหลต่อทั้งโครงโดยไม่มีแรงกระทำเพิ่มเติม
ไม่มี shear wall หรือ transverse tying เพียงพอให้ force redistribution
คำศัพท์เสริม:
Progressive collapse = การพังต่อเนื่องจากจุดหนึ่งสู่ระบบทั้งหลัง
Strain mismatch = ความไม่สอดคล้องของการยืด–หดตัวระหว่างวัสดุ
Tie reinforcement = เหล็กเสริมตามแนวขวางที่ป้องกันการล้มเป็นลูกโซ่
> และในระหว่างที่เราพูดถึงจุดต่อ ที่ต่อแบบแค่ได้ต่อ แต่ต่อแรงไม่ได้
ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่ลอยอยู่ในวงวิศวกรเงียบ ๆ
วัสดุที่ใช้… เป็นวัสดุที่ออกแบบไว้ในแบบหรือเปล่า?
เพราะต่อให้ระบบถูกต้อง โครงสร้างดี รายละเอียดครบ
แต่ถ้าวัสดุที่ใช้ ไม่เคยมีแรงออกแบบจริงไหลผ่านมันมาก่อน —
มันก็จะล้มในแบบที่แรงไม่ได้เยอะ แต่ “เนื้อวัสดุไม่เคยถูกเตรียมให้รับมันจริง”
นี่ไม่ใช่ข้อกล่าวหา
แต่คือ คำถามที่วิศวกรหลายคนไม่กล้าพูดออกมาในที่แจ้ง
ว่าในวันที่แบบดี แต่วัสดุไม่ใช่...
แรงจะไม่เดินตามเส้นที่ออกแบบไว้
มันจะเดินหาเนื้อที่อ่อนที่สุด และเจาะทะลุที่ตรงนั้น
และถ้าเราไม่กล้าตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง “แรงที่อยู่ในแบบ” กับ “แรงที่วัสดุรับได้จริง”
เราก็จะไม่มีวันรู้เลยว่า
> ตึกพังเพราะแรงเกินไป… หรือเพราะวัสดุที่เราไม่เคยกล้าพูดว่ามัน “น้อยเกินไป”
---
ความเป็นไปได้เบื้องต้น (ไม่ใช่การตัดสิน):
> D + A คือแรงหลักที่ ประเมินว่ามีโอกาสมากที่สุด
เพราะพฤติกรรมการพังแบบฉับพลัน + ทั้งระบบ collapse แทบจะพร้อมกัน
และพฤติกรรมการพังไม่ได้เริ่มจากด้านข้าง แต่เริ่มจากภายใน → แรงไม่เดินร่วมกัน
---
แรงที่ไม่มีใครออกแบบไว้รับ: บทสรุปของตึก สตง.
---
กฎที่ไม่ได้รับแรงจริง
ประเทศไทยมี “กฎหมายต้านแผ่นดินไหว” บังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2564
แต่มาตรฐานนี้ไม่ได้ย้อนบังคับใช้กับอาคารที่สร้างก่อนหน้า
และในหลายกรณี…
> กฎหมายมีอยู่ แต่ไม่มีคนออกแบบ, ไม่มีคนตรวจสอบ, และไม่มีใคร ขอให้ต้านแรงจริง
ยิ่งไปกว่านั้น…
แม้แบบจะผ่านผู้ตรวจ
แต่ไม่มีระบบใด ๆ ตรวจสอบว่า
> “แรงในแบบนั้น… เดินผ่านวัสดุได้จริงไหม?”
สิ่งที่การพังทลายของตึกนี้ตอกหน้าเราคือ:
เราอาจไม่ได้ออกแบบให้รับแรง… เราออกแบบเพื่อผ่านการอนุมัติเท่านั้น หรือ เรามีวัสดุที่ “น้อยเกินไป” ซ่อนอยู่
---
ระบบที่ไม่เรียนรู้จากตึกที่ล้ม
ทุกครั้งที่มีตึกพัง… มีแต่ภาพ
แต่น้อยครั้งจะมีการยอมรับว่า “ระบบ structural approval ของประเทศ”
ยังไม่มีรอยต่อกับ real-world structural behavior
> ไม่มีการทบทวนแบบก่อสร้างของอาคารคล้ายกัน
ไม่มีการบังคับอบรมวิศวกรรุ่นใหม่ด้วยเคสที่ใกล้ตัว
และไม่มีการทบทวนว่า
“เราจะป้องกันแรงที่เราไม่เคยยอมรับว่ามันจะมาได้ยังไง?”
---
ผลกระทบที่พังออกไปนอกตึก
สิ่งที่พังไม่ใช่แค่โครงสร้าง
แต่คือความเชื่อมั่นของทั้งระบบ —
ประชาชน, นักออกแบบ, เจ้าหน้าที่รัฐ, และวิศวกรเอง
มันคือ moment ที่ทุกคนรู้พร้อมกันว่า
“เราไม่ได้อยู่ในเมืองที่รับแรงได้อย่างที่คิด”
และคำถามไม่ใช่แค่ว่า "ใครผิด"
แต่คือ “ตึกข้าง ๆ มันรับแรงได้จริงหรือเปล่า?”
---
ไม่มีใครเซ็นรับแรง
ในโครงสร้างวิศวกรรม… ทุกแบบต้องมีคนเซ็น
แต่ในระบบที่พังนี้
แรงที่ไหลเข้ามา… ไม่มีใครเซ็นรับมันเลย
> ไม่ใช่เพราะไม่มีคนผิด
แต่เพราะไม่มีใครเห็นว่า "แรงนั้นมีอยู่"
→ และเมื่อไม่มีใครรับแรง… มันก็ไหลไปหา “จุดอ่อนสุดในระบบ”
และถ้าจุดนั้นคือคน...
นั่นแปลว่า เราไม่ได้แค่ทำตึกพัง — เราทำให้ “มนุษย์รับแรงแทน”
---
ความเสียหายที่ไม่มีในภาพ
หลังจากนี้… อาคารจะถูกรื้อ
หน้าข่าวจะถูกปิด
แต่สิ่งที่อยู่ในใจวิศวกรหลายคนคือความกลัวที่ไม่เคยมีในตำรา
กลัวว่าตึกที่เรากำลังออกแบบวันนี้
> จะมีแรงที่ “เราไม่ได้รับรู้ว่ามันจะมา”
หรือรู้... แต่ไม่มีระบบให้เราใส่แรงนั้นลงในแบบได้จริง
และนั่นคือรอยร้าวที่ไม่อยู่ในภาพ
แต่สะเทือนลึกกว่าที่เหล็กเสริมจะรับไว้ได้
---
แรงนี้ ไม่ใช่ของใครคนเดียว
บทความนี้ไม่ได้ตั้งใจชี้ผิด
แต่มันตั้งใจชี้แรง
แรงที่ไม่มีชื่ออยู่ในแบบ
แรงที่ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในมาตรฐาน
แรงที่ไม่มีหน่วยงานไหนรับไว้
และแรงที่... ถ้าเราไม่ยอมรับว่ามันมีอยู่ — มันจะพังทุกอย่างที่เราเชื่อว่าแข็งแรง
---
บทส่งท้ายที่ไม่ต้องส่งเสียง
> ตึก สตง. ถล่ม เพราะแรงที่ไม่มีใครออกแบบให้รับ
แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ: มีอีกกี่ตึก ที่แรงนั้นยังไหลวนอยู่
โดยไม่มีใครเซ็นไว้แม้แต่ชื่อเดียว
---
# ตึก สตง.
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย