12 เม.ย. เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์

“Fake It, But Can't Make It" บทเรียน 'โลกหรูลวงตา' ทายาทเศรษฐีกำมะลอ ‘แอนนา โซโรคิน’

ท่ามกลางแสงสีของมหานครนิวยอร์กที่เต็มไปด้วยเหล่าเศรษฐีและผู้ดีมีสกุล ปรากฏตัวหญิงสาวลึกลับคนหนึ่งผู้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าราวกับเป็นทายาทตระกูลผู้มั่งคั่งจากยุโรป
เธอแนะนำตัวเองในแวดวงไฮโซว่า “แอนนา เดลวีย์” (Anna Delvey) ทายาทมหาเศรษฐีชาวเยอรมันผู้มีทรัพย์สินนับล้านอยู่ต่างแดน บุคลิกอันมั่นใจและไลฟ์สไตล์ที่หรูหราของเธอทำให้ผู้คนรอบข้างหลงเชื่อสนิทว่าเธอคือหนึ่งในคนชั้นสูงอย่างแท้จริง
แต่เบื้องหลังฉากหน้าที่สวยหรูนั้น แอนนา เดลวีย์ ไม่ได้เป็นทายาทผู้ร่ำรวยอย่างที่กล่าวอ้าง – แท้จริงแล้วเธอคือ แอนนา โซโรคิน นักต้มตุ๋นมากเล่ห์ที่กำลังเล่นละครครั้งใหญ่เพื่อหลอกลวงทุกคนรอบตัวของเธอ
[ ที่มาของ “ทายาทเศรษฐี” กำมะลอ 🏆 ]
แอนนา โซโรคิน เกิดเมื่อปี 1991 ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยครอบครัวของเธอเป็นชนชั้นกลางธรรมดา พ่อเคยทำงานขับรถบรรทุกและต่อมาเปิดธุรกิจเล็ก ๆ เกี่ยวกับระบบทำความร้อน ส่วนแม่เคยเป็นเจ้าของร้านขายของชำ
ครอบครัวโซโรคินย้ายไปอยู่ประเทศเยอรมนีเมื่อแอนนาอายุได้ 16 ปี และเธอได้รับการศึกษาที่นั่น แม้ภายนอกเธอจะดูเป็นเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่แอนนามีความใฝ่ฝันถึงชีวิตหรูหราในเมืองใหญ่ ตั้งแต่วัยรุ่นเธอชอบติดตามนิตยสารแฟชั่นอย่าง Vogue และบล็อกด้านไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด
ความใฝ่ฝันนี้นำพาให้เธอย้ายมาอยู่ยุโรปตะวันตกช่วงวัยรุ่นตอนปลาย และในปี 2013 ขณะที่อายุประมาณ 22 ปี แอนนาได้ตัดสินใจเดินทางข้ามมหาสมุทรสู่มหานครนิวยอร์ก
1
เมื่อมาถึงนิวยอร์ก แอนนาได้ฝึกงานกับนิตยสารแฟชั่น Purple ของฝรั่งเศส และเริ่มซึมซับบรรยากาศสังคมศิลปะและผู้ดีมีฐานะในเมืองใหญ่ แอนนาเริ่มสร้างเรื่องราวใหม่ให้ตัวเอง – เธอหันมาใช้ชื่อสกุล “เดลวีย์” แทนสกุลเดิม และอ้างกับคนรู้จักว่าเธอมาจากตระกูลเศรษฐีเยอรมันที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาลรออยู่ในทรัสต์กองทุนที่ยุโรป (ตามข่าวจาก BBC คือเธออ้างว่ามีมรดกราว 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 2 พันล้านบาท)
เมื่อได้คลุกคลีในวงการแฟชั่นและศิลปะระดับสูง เธอผุดไอเดียอยากตั้ง “มูลนิธิแอนนา เดลวีย์” (Anna Delvey Foundation) ซึ่งจะเป็นทั้งคลับส่วนตัวและศูนย์แสดงงานศิลป์สุดเอ็กซ์คลูซีฟใจกลางนิวยอร์ก โดยเธอเล็งเช่าอาคารใหญ่โตเพื่อทำโครงการนี้ให้จงได้
2
ภาพของหญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ ที่พูดจาฉะฉานถึงโครงการธุรกิจหรูหราและพื้นเพตระกูลผู้ดี ทำให้ไม่มีใครเอะใจเลยว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องที่เธอกุขึ้นมา
[ กลยุทธ์หลอกลวง: ชีวิตหรูที่กลวงเปล่า 🥂 ]
เพื่อเข้าถึงสังคมชั้นสูงที่เธอใฝ่ฝัน แอนนาใช้กลยุทธ์แนบเนียนหลายอย่างในการสร้างภาพลักษณ์ความร่ำรวยและน่าเชื่อถือของตัวเอง
สิ่งแรกที่เธอทำคือการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเกินตัวเพื่อให้คนรอบข้างตายใจ เธอใช้เวลาพักอาศัยตามโรงแรมหรูระดับห้าดาวในนิวยอร์กโดยที่ความจริงแล้วไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง เธอมักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรู ตั้งแต่แว่นกันแดด Celine ไปจนถึงรองเท้า Gucci และจะปรากฏตัวตามงานปาร์ตี้และร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์อยู่เสมอ
นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความใจป้ำในการให้ทิป: ไม่ว่าเป็นพนักงานยกกระเป๋าหรือคนขับรถ Uber หากใครบริการเธอ เธอก็ควักธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,500 บาท) แจกเป็นสินน้ำใจอย่างไม่เสียดาย
การโปรยทิปด้วยธนบัตรใบใหญ่เป็นว่าเล่นเช่นนี้เองที่ทำให้พนักงานโรงแรมและคนใกล้ชิดต่างปักใจเชื่อว่าเธอเป็นทายาทเศรษฐีของจริงที่ “เงินเหลือใช้” จนมองข้ามพิรุธอื่น ๆ ไปโดยปริยาย
1
แอนนาใช้ *คำโกหกที่แนบเนียน* เพื่อปิดช่องโหว่ในเรื่องราวของเธอ เวลามีคนถามถึงที่มาความร่ำรวย เธอจะตอบเลี่ยง ๆ ไม่ซ้ำกันไปในแต่ละโอกาส บางครั้งอ้างว่าพ่อเป็นนักการทูต บางครั้งก็บอกว่าเป็นเจ้าพ่อน้ำมันหรือไม่ก็ทำธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์
คำบอกเล่าที่เปลี่ยนไปมาเช่นนี้กลับไม่น่ากังขาในสายตาคนฟัง เพราะทุกคนหลงเชื่อภาพลักษณ์ไฮโซของเธออยู่แล้ว ที่สำคัญกว่านั้น แอนนายังหาเหตุผลมารองรับเวลาที่เธอ**เบี้ยวค่าใช้จ่าย**หรือขอความช่วยเหลือทางการเงินชั่วคราวจากคนใกล้ชิดอยู่เนือง ๆ
1
ยกตัวอย่างเช่น เธอมักอ้างว่าทรัพย์สินของเธอยังโอนมาจากยุโรปไม่สำเร็จ ทำให้รูดบัตรเครดิตไม่ได้ในขณะนี้ พร้อมขอให้เพื่อนหรือคนรอบข้างช่วยจ่ายค่าบริการต่าง ๆ ไปก่อน ไม่ว่าจะค่าแท็กซี่หรือค่าตั๋วเครื่องบิน แล้วสัญญาว่าจะคืนให้ทีหลัง
ด้วยบุคลิกท่าทางที่น่าเชื่อถือและเหตุผลเรื่อง “เงินกำลังจะโอนมา” ทำให้หลายคนไม่ได้ติดใจอะไรเมื่อเธอขอผัดผ่อนหรือค้างชำระ พวกเขาคิดว่าเธออาจแค่หลงลืมหรือมีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อยเท่านั้น จึงยังคงยอมช่วยเหลือเธอต่อไป
ในขณะเดียวกัน แอนนาก็เริ่มปฏิบัติการหลอกลวงในระดับที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือการตบตาสถาบันการเงินเพื่อหาเงินทุนก้อนโตสำหรับโครงการในฝันของเธอ ภายใต้ชื่อ Anna Delvey เธอเข้าพบธนาคารและบริษัทการเงินหลายแห่งเพื่อขอกู้เงินจำนวนมหาศาล (ว่ากันว่าเธอเล็งกู้ถึง 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยแสดงเอกสารปลอมที่ทำขึ้นมาอย่างแนบเนียนเพื่อ “ยืนยัน” ว่าเธอมีทรัพย์สินในต่างประเทศหลายสิบล้านดอลลาร์ค้ำประกันอยู่
2
เธอยังเขียนเช็คหลอกลวงจำนวนมากแล้วรีบนำไปขึ้นเงินก่อนเช็คเด้ง เพื่อนำเงินสดมาใช้จ่ายจริงไปพลาง ๆ ระหว่างที่การหลอกลวงยังดำเนินอยู่ นอกจากนี้ แอนนายังหลอกล่อเพื่อนสนิทและคนใกล้ชิดให้ช่วยออกเงินให้เธอในกิจกรรมฟุ่มเฟือยต่าง ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเธอชวนเพื่อนสาวคนหนึ่งเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่เมืองมาร์ราเกช ประเทศโมร็อกโก โดยรับปากว่าจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เป็นทริปสุดหรู แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับปล่อยให้เพื่อนคนดังกล่าวรูดบัตรจ่ายค่าโรงแรมหรูและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทบทั้งหมด สุดท้ายทริปโมร็อกโกครั้งนั้นสร้างภาระหนี้สินสูงถึง 62,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2 ล้านบาท) ให้กับเพื่อนผู้โชคร้ายของแอนนา ซึ่งเธอไม่มีทีท่าว่าจะใช้คืน
“มันเหมือนมายากล” เรเชล วิลเลียมส์ เพื่อนที่ไปทริปโมร็อกโกด้วยกัน เขียนไว้ในนิตยสาร Vanity Fair “ฉันรู้สึกอายที่จะบอกว่า ฉันเป็นทั้งอุปกรณ์ประกอบฉาก และก็เป็นผู้ชมด้วย ฝันของแอนนานั้นงดงาม ราวกับนิวยอร์กในคืนที่ไม่มีวันจบสิ้น — แล้วบิลก็ถูกยื่นมา”
พฤติกรรมลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายโรงแรมต้องเสียหายจากบิลค่าห้องและบริการที่แอนนาไม่ยอมจ่าย ร้านอาหารหรูหลายแห่งก็ไม่เคยได้รับเงินค่าอาหารจากเธอเช่นกัน
ตลอดระยะเวลาประมาณ 10 เดือนที่แอนนาออกตระเวนหลอกลวงนั้น เธอสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 275,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับบรรดาเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรู้จัก ธนาคาร หรือธุรกิจต่าง ๆ ที่เธอต้มตุ๋นสำเร็จ
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตาม “แผนการ” ของเธอในการใช้ชีวิตไฮโซด้วยเงินคนอื่น และหวังว่าสักวันจะตั้งตัวได้จริงตามคำกล่าวอ้างที่ว่า “Fake it until you make it” หรือ “ปลอมจนกว่าจะทำได้จริง” ตามที่ทนายของเธอได้กล่าวไว้ในภายหลัง
1
แต่สำหรับแอนนา สุดท้ายเธอ ‘Fake it, But Can’t Make It’ และไปไม่ถึงฝั่งฝันไว้ซะแล้ว
[ จุดจบเรื่องหลอกลวง: การจับกุมและการพิจารณาคดี ]
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา – ในที่สุดเครือข่ายคำโกหกของแอนนา โซโรคินก็เริ่มพังทลายลงในช่วงปี 2017 เมื่อหลายฝ่ายเริ่มระแคะระคายว่าเธออาจไม่ใช่ทายาทเศรษฐีอย่างที่พูดไว้
บรรดาโรงแรมและธนาคารที่เธอค้างชำระเริ่มดำเนินการทางกฎหมายเพื่อตามทวงเงินคืน ขณะเดียวกันเพื่อนสนิทที่ถูกหลอกให้แบกรับหนี้สินก้อนโตจากทริปโมร็อกโกก็รู้สึกตัวว่าเธอตกเป็นเหยื่อเข้าเต็มเปา ความสัมพันธ์อันดีระหว่างแอนนากับคนรอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นความเคลือบแคลงใจและความโกรธเคือง เมื่อเธอไม่มีเงินมาคืนตามสัญญาและเรื่องราวที่เคยเล่าก็เริ่มพิรุธจับได้
ปลายปี 2017 แอนนา โซโรคินพยายามหนีปัญหาที่ก่อตัวขึ้น โดยเดินทางออกจากนิวยอร์กไปยังแคลิฟอร์เนีย แต่เธอก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือกฎหมาย ในเดือนตุลาคม 2017 เธอถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กจับกุมในปฏิบัติการล่อซื้อ (sting operation) ที่วางแผนร่วมกับวิลเลียมส์ (เพื่อนคนเดิมจากทริปโมร็อกโก) ซึ่งยอมร่วมมือกับตำรวจหลังจากถูกเธอโกงเงินก้อนโต
การจับกุมเกิดขึ้นที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยาแห่งหนึ่งในลอสแอนเจลิสที่ซึ่งแอนนาแวะไปพักหลบซ่อนตัวอยู่ ชีวิตไฮโซกำมะลอของ “แอนนา เดลวีย์” สิ้นสุดลงตรงนั้น และตัวจริงของเธอในฐานะนักต้มตุ๋นก็ต้องเผชิญกับผลของการกระทำในชั้นศาล
1
ช่วงการพิจารณาคดีในปี 2019 เหตุการณ์ของแอนนา โซโรคินได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชนและสาธารณชน นิวยอร์กไทมส์และสื่อใหญ่ต่างพากันขนานนามเธอว่า “นักต้มตุ๋นทายาทกำมะลอ” (fake heiress) และ “นักต้มตุ๋นแห่งโซโห” (Soho scammer) เนื่องจากหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในเขตโซโหอันหรูหราของนิวยอร์ก
คดีของเธอถูกยกเป็นตัวอย่างของการหลอกลวงในยุคใหม่ที่อาศัยรูปลักษณ์และเรื่องแต่งอย่างแนบเนียน ในศาล แอนนาถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและลักทรัพย์หลายกระทงจากการหลอกลวงทั้งเพื่อนและธุรกิจต่าง ๆ หลังการไต่สวนอย่างอื้ออึง
1
คณะลูกขุนมีคำตัดสินในเดือนเมษายน 2019 ว่าแอนนา โซโรคินมีความผิดในข้อหาใหญ่ 8 กระทง รวมถึงความผิดฐานลักทรัพย์โดยฉ้อโกง (grand larceny) และลักทรัพย์ระดับสองและสาม รวมถึงข้อหาฐานเบี้ยวไม่ชำระค่าบริการ (theft of services)
เดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเธอเป็นเวลา 4 ถึง 12 ปี และให้ชำระค่าปรับ 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งชดใช้เงินแก่เหยื่อผู้เสียหายรวมเกือบ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ
แน่นอนว่าโลกอิสระอันหรูหราที่เธอเคยเสพสุขต้องแปรเปลี่ยนเป็นชีวิตหลังกำแพงเรือนจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
[ แรงกระเพื่อมต่อสังคมและผู้เสียหาย 🧐 ]
คดีหลอกลวงอันน่าทึ่งของแอนนา โซโรคินส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วสังคมและฝากบทเรียนราคาแพงแก่หลายฝ่าย *สำหรับตัวเหยื่อผู้เสียหายโดยตรง* ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่ถูกหลอกให้ต้องเป็นหนี้ก้อนโต หรือโรงแรมกับธนาคารที่สูญเงินไปโดยไม่ได้อะไรคืนมา
ความเสียหายเหล่านี้มีทั้งมูลค่าทางการเงินและผลกระทบทางจิตใจ หลายคนรู้สึกสูญเสียความไว้วางใจที่มีต่อผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อพบว่าคนใกล้ตัวที่ตนเชื่อใจกลับกลายเป็นนักต้มตุ๋น หลายธุรกิจที่ตกเป็นเหยื่อก็ได้รับบทเรียนให้ระมัดระวังยิ่งขึ้นในการตรวจสอบประวัติลูกค้าวีไอพีทั้งหลาย แม้บางส่วนของเงินที่สูญไปจะได้รับการชดใช้คืนภายหลังตามคำสั่งศาล แต่ความรู้สึกถูกหักหลังและชื่อเสียงที่เสียไปไม่อาจฟื้นคืนมาได้โดยง่าย
“ในมุมของสังคมวงกว้าง” กรณีของแอนนาได้จุดประกายการถกเถียงถึงคุณค่าที่คนเราให้กับภาพลักษณ์ภายนอกและความมั่งคั่ง รายละเอียดชีวิตหรูเกินจริงของหญิงสาวธรรมดาที่หลอกโลกไฮโซได้สำเร็จ ทำให้หลายคนต้องย้อนมองสังคมชนชั้นสูงว่าเหตุใดจึง “หลงเสน่ห์เงินทองและเปลือกนอก” ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
ดังที่ทนายของแอนนาให้เหตุผลในศาลว่า เธอเพียงแค่ฉวยใช้ประโยชน์จากระบบที่ “พร้อมจะเคลิบเคลิ้มไปกับความหรูหราโอ่อ่า”
คดีนี้สะท้อนให้เห็นจุดอ่อนในสังคมที่มักยกย่องคนจากเปลือกนอกโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงมากพอ ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าบางครั้ง อาชญากรก็อาศัยช่องโหว่ตรงนี้ในการแฝงตัวอยู่ในที่สูง ได้อย่างแนบเนียน
แน่นอนว่าสิ่งที่แอนนาทำไม่ถูกต้อง แต่มันก็สะท้อนเป็นคำถามเช่นกันว่าสังคมนั้นให้คุณค่ากับคนที่เปลือกนอกมากเกินไปจริงๆ รึเปล่า?
เรื่องราวของแอนนา โซโรคินยังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงวัฒนธรรมสื่อและวงการบันเทิง กรณีอื้อฉาวของเธอกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชนอย่างมาก บทความเล่าประสบการณ์ของเพื่อนผู้ตกเป็นเหยื่อถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Vanity Fair ตั้งแต่ปี 2018 ตามมาด้วยสื่อเจ้าอื่น ๆ ที่เจาะลึกชีวิตของเธออย่างต่อเนื่อง
ข่าวคราวของ “ทายาทกำมะลอ” รายนี้แพร่สะพัดไปทั่วโลก กระทั่งในปี 2022 Netflix ได้นำเรื่องของเธอมาสร้างเป็นมินิซีรีส์ชื่อ Inventing Anna ที่โด่งดังและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนให้ความสนใจเพียงใดกับเรื่องราวของหญิงสาวที่หลอกลวงวงสังคมไฮโซได้อย่างแยบยลเช่นนี้
นอกจากนี้ กรณีของเธอยังถูกนำไปอ้างถึงในรายการข่าว สารคดี พ็อดคาสต์ และบทความวิเคราะห์ด้านสังคมอีกมากมาย บ้างก็ประณามการกระทำของเธอ ขณะที่บางส่วนก็ตั้งคำถามกับค่านิยมในสังคมที่อาจมีส่วนทำให้การหลอกลวงนี้เกิดขึ้นได้ง่ายดาย
[ บทเรียนที่ได้จากกรณีแอนนา โซโรคิน 📚 ]
หากเรื่องนี้จะมีบทเรียนอะไรสอนเราได้ ก็คงเป็น :
รู้เท่าทันคน: กรณีนี้เตือนใจว่าเราไม่อาจเชื่อใจใครเพียงเพราะคำพูดหรือบุคลิกที่ดูน่าไว้วางใจภายนอก จำเป็นต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนที่เข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายพยายามสร้างภาพว่าตนพิเศษหรือเหนือกว่าปกติอย่างผิดสังเกต
ไม่ตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก: ความหรูหราและฐานะที่อีกฝ่ายแสดงออกอาจเป็นเพียงภาพลวงตาอย่างเช่นกรณีของแอนนา สังคมควรมองคนที่เนื้อแท้และข้อเท็จจริงมากกว่าจะด่วนสรุปจากเปลือกนอก เพราะคนธรรมดาก็แต่งตัวเป็นเศรษฐีได้ และเศรษฐีจริง ๆ บางทีก็อาจไม่ได้โอ้อวดความรวย
ตั้งคำถามกับเรื่องราวที่ฟังดูดีเกินจริง: หากมีใครเล่าเรื่องชีวิตหรือเสนอสิ่งใดที่ดูดีเลิศเกินกว่าจะเป็นจริง จงอย่ารีบหลงเชื่อ ควรตรวจสอบที่มาที่ไปอย่างรอบคอบ ระลึกไว้เสมอว่า “ของฟรีมีในโลกหรือ ของดีที่ดูเหลือเชื่ออาจไม่มีอยู่จริง” ดังเช่นที่หลายคนรอบตัวแอนนาได้เรียนรู้เมื่อความจริงเปิดเผยออกมาในที่สุด
แอนนา โซโรคิน ในคราบ “แอนนา เดลวีย์” ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การตัดสินคนจากเปลือกนอกนั้นอาจนำไปสู่บทเรียนที่เจ็บปวด สังคมได้ตระหนักว่าความคลั่งไคล้ในชื่อเสียงและความร่ำรวยสามารถถูกนักต้มตุ๋นใช้เป็นช่องทางแสวงหาประโยชน์ได้อย่างแยบยล เรื่องราวชีวิตจริงที่ฟังดูราวกับบทภาพยนตร์ของเธอไม่เพียงสะท้อนจุดอ่อนของธรรมชาติความเป็นมนุษย์ แต่ยังเตือนเราทุกคนให้มีสติและวิจารณญาณเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ “ดีเกินจริง” ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
#aomMONEY #รู้ทัน #การเงิน #การเงินส่วนบุคคล #ไฮโซเก๊
โฆษณา