Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วินทร์ เลียววาริณ
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
6 ชั่วโมงที่แล้ว • หนังสือ
บทความ Blockdit ตอน เรื่องที่เราจะไม่รู้ก่อนตาย
เมื่อ ชาร์ลส์ ดาร์วิน คิดทฤษฎีวิวัฒนาการขึ้นมาได้นั้น เขาไม่กล้าตีพิมพ์งาน เพราะรู้ดีว่าอะไรจะตามมา
ดาร์วินต้องตรวจสอบงานของเขานานมาก จนแน่ใจจริงๆ ว่าทฤษฎีนี้รัดกุม ไร้ช่องโหว่ จึงกล้าตีพิมพ์
ไม่แปลก ในอดีตมีคนถูกเผาตายทั้งเป็นเพราะคิดทฤษฎีตรงข้ามกับคำสอนของศาสนา
เราทุกคนเกิดมาพร้อมกรอบคิดมากหรือน้อย หลายอย่างมาตามสถานที่เกิด สิ่งแวดล้อม ความเชื่อ วัฒนธรรม ค่านิยมของสังคม มันหลอมเหลาเราให้เป็นรูปปั้นแบบหนึ่ง ไม่ว่าเราบอกว่าเรามีเจตจำนงอิสระที่จะเชื่ออะไรก็ได้ แต่มันฝังหรือโปรแกรมเราในระดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
หากเราเกิดในเมืองพุทธ เราก็มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นชาวพุทธ และเราอาจเถียงสุดขีดหากคนอื่นแย้งแนวคิดพุทธ
หากเราเกิดในโลกคริสต์ เราก็มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นชาวคริสต์ และจะปฏิเสธความเห็นอื่น เพราะเราเชื่อเรียบร้อยแล้วว่า พระเจ้าอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง สมมุติว่าวันหนึ่งเราพบข้อมูลเกี่ยวกับจักรวาลที่ชี้ไปในทางที่ว่าไม่น่าจะมีพระเจ้า เช่น จักรวาลกว้างใหญ่เกินกว่าที่สิ่งทรงภูมิปัญญาหรืออำนาจใดจะเดินทางข้ามมากำหนดชีวิตมนุษย์ เราก็อาจปฏิเสธข้อมูลนั้น ดังที่คนจำนวนมากปฏิเสธทฤษฎีของดาร์วิน เพราะมันค้านกับความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นธรรมชาติของคนเรา เรามีอคติและกรอบคิดเสมอ
แต่จะก้าวพ้นจากอคติและกรอบคิดใดๆ ก็ต้องว่ากันด้วยตรรกะ เหตุผล หลักฐาน ก็คือวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์นักคิดนักเขียน อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เข้าโบสถ์จนเป็นวัยรุ่น ก็เลิก ไม่ได้เลิกเพราะเทวดามาเข้าฝัน แต่เลิกเพราะศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับจักรวาลแล้ว ชี้ไปในทิศทางที่ว่าไม่น่าจะมีพระเจ้าแบบที่คริสตศาสนิกชนบูชาในโบสถ์
คลาร์กในวัยเด็กอาศัยในไร่ที่อังกฤษ ชอบดูดาว ชอบเก็บซากฟอสซิล นอกจากนี้ก็ชอบอ่านนิยายวิทยาศาสตร์จากนิตยสารอเมริกัน
เขาบอกว่าเขากลายเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เพราะอ่านหนังสือสามเล่มคือ นิตยสาร Amazing Stories ฉบับเดือนพฤศจิกายน 1928
Last and First Men โดย Olaf Stapledon
และ The Conquest of Space โดย David Lasser
หนังสือเหล่านี้เปิดโลกกว้างกว่าคำสอนในโบสถ์ มันทำให้เขาเข้าหาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเปลี่ยนโลกทัศน์ของเขาโดยสิ้นเชิง
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ตีความคำว่าพระเจ้าต่างจากศาสนา
เขาบอกว่า “หนทางใดที่นำไปสู่ความรู้ก็คือหนทางสู่พระเจ้า หรือความจริง แล้วแต่ว่าอยากใช้คำไหน”
1
ความจริงคลาร์กบอกว่าตนเองเป็นคนที่ ‘ทึ่งกับแนวคิดเรื่องพระเจ้า’
เขาเขียนเรื่องต้านความคิดเรื่องพระเจ้าบ่อยจนเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ J. B. S. Haldane กล่าวว่าคลาร์กสมควรได้รับรางวัลในเทวนิยม เพราะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถเขียนเรื่องนี้ในมุมมองใหม่ๆ เสมอ
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก บอกว่าเขาเป็น atheist และ “ผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าและชาติหน้า”
เขาบอกว่า “มันมีความเป็นไปได้ที่มนุษยชาติจะโตข้ามพ้นภาวะเด็กอมมือ เหมือนที่ผมนำเสนอในเรื่อง Childhood’s End แต่มันเป็นเรื่องน่าทึ่งที่มนุษย์สามารถเชื่อง่ายอย่างเด็กๆ ได้ขนาดนี้ ยกตัวอย่าง เช่น มีศาสนามากมายที่แตกต่างกัน แต่ละศาสนาก็บอกว่านำเสนอความจริง ทุกเจ้าบอกว่าความจริงของพวกเขาเหนือกว่าความจริงของศาสนาอื่น เราจะเชื่อได้ยังไง? ผมหมายถึง มันบ้าไปแล้ว...”
คำถามคือเราสามารถใช้วิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์หรืออธิบายเรื่องศาสนาได้หรือ?
คำตอบคือได้ เพราะคำว่าวิทยาศาสตร์แปลโดยนัยว่า ‘กระบวนการค้นหาความจริง’
1
กระบวนการค้นหาความจริงก็ย่อมเป็นเครื่องมือค้นหาความจริง
ผมอยากรู้หลายเรื่อง เช่น จักรวาลเกิดมาจากไหน มีใครสร้างมันขึ้นมา มันจะขยายตัวไปถึงจุดไหน มีมิติที่สูงกว่า 4 มิติที่เรารู้จักหรือไม่ และมันเป็นอย่างไร โลกคู่ขนานมีจริงๆ หรือไม่ สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวเป็นอย่างไร ฯลฯ ผมอยากรู้คำตอบของเรื่องเหล่านี้มาก แต่ก็รู้ว่าผมน่าจะไม่รู้ในวันที่ผมตาย
ความรู้ของเรา ณ วันนี้ยังไม่พอทำให้เราตอบคำถามเหล่านั้น
เป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่มันก็เป็นอย่างนี้ คนโบราณก็อาจอยากรู้คำตอบของเรื่องที่สมัยนั้นไม่มีคำตอบ แต่ในศตวรรษนี้เรารู้แล้ว
สมมุติว่าเราเดินทางข้ามเวลาได้ เราเดินทางไปในยุคหิน บอกมนุษย์ยุคหินว่า ตอนนี้โลกเรามีสมาร์ทโฟน ถ่ายรูปได้ แชทได้ สั่งอาหารได้ มีแผนที่ถนนหนทาง ฯลฯ มนุษย์ยุคหินอาจจะอิจฉาเรา
ผมเชื่อว่าถ้ามนุษย์ไม่ทำลายตัวเองไปก่อน อีกสัก 300-500 ปี เราอาจพบคำตอบหลายเรื่องที่ผมอยากรู้
1
ผมอาจจะอิจฉาพวกเขาที่รู้สิ่งที่ผมไม่รู้ในตอนนี้
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็อาจอิจฉาคนในโลกห้าหมื่นปีข้างหน้า ที่อาจรู้คำตอบว่าจักรวาลเกิดมาจากไหน มีใครสร้างมันขึ้นมา มันจะขยายตัวไปถึงจุดไหน มีมิติที่สูงกว่า 4 มิติที่เรารู้จักหรือไม่
2
ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
มองโลกในแง่ดีก็คือ เรารู้มากพอที่จะทำให้เราสามารถมีความสุข ความพอใจที่เกิดมาในยุคนี้
2
โลกในอนาคตอีกร้อยปี พันปี แสนปี ล้านปีเป็นอย่างไร เราไม่รู้ ดังนั้นอาจดีกว่าหากเราใช้ชีวิตในมุมนี้ของดาราจักรให้ดีที่สุด
2
เราทำได้แค่นั้นเอง
1
4 บันทึก
28
6
4
28
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย