7 ชั่วโมงที่แล้ว • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน หมากลางถนน

เสียงวัตถุสองชนิดปะทะกันดังสนั่นจนผมสะดุ้งตื่น ไฟหน้ารถสองดวงวูบไหวผ่านความมืดไปมา ในความสลัวของทางหลวงเบื้องหน้า ร่างหนึ่งกระดอนไปไกลหลายเมตร รถตู้คันเก่าเฉออกนอกเส้นแบ่งถนนไปมาจนเราทุกคนตื่นจากความงัวเงีย ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น โดยไม่อาจแน่ใจว่า มันเป็นเสียงในความฝันหรือความจริง คนขับหักพวงมาลัยรถยนต์กลับเข้าที่และยึดเกร็งไว้เช่นนั้น
เสียงยางล้อกรีดพื้นถนนยางมะตอยดังเสียดแก้วหู ร่างของผู้โดยสารบางคนกลิ้งหลุดจากที่นั่งลงนอนบนพื้นรถตู้ ในที่สุดคนขับก็ควบคุมสถานการณ์ได้ เบนรถกลับสู่ลู่วิ่งเดิม พาหนะคันเก่าเคลื่อนต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลายคนร้องออกมาพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“รถชนอะไร ชนคนรึเปล่า?”
“ไม่ใช่คน” เสียงลุงสมบุญคนขับรถตอบในความมืด ผมได้ยินเสียงหลายคนถอนใจโล่งอก เมื่อนั้นผมตื่นขึ้นเต็มตัว สติหายจากความสัปหงก ผมมองหน้าลุงสมบุญข้างกายผมผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีมาตลอดทาง แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างรถอาบใบหน้าเขา
เสียงคุณชำนาญผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มของเราถามคนขับ “รถชนอะไร?”
“ชนหมา”
“เฮ้อ! ค่อยโล่งอก นึกว่าชนคนซะแล้ว” เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหลังผม เป็นเด็กรุ่นน้องผม ชื่อสุภา เป็นข้าราชการระดับ 5 และผู้ช่วยของคุณชำนาญ หล่อนเป็นคนรักการสมาคม แม้เพิ่งมาร่วมงานกับเราได้เพียงสามเดือน แต่สนิทสนมกับคนอื่นๆ ในกองมากกว่าผมซึ่งทำงานมาก่อนหล่อนสิบกว่าปีเสียอีก
“แล้วมันเป็นอะไรรึเปล่า?” คุณชำนาญถามต่อ ยังมีร่องรอยงัวเงียบนหน้าของข้าราชการระดับ 10 วัยห้าสิบกว่าผู้นี้
ลุงสมบุญว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เห็นนิ่งไปแต่ก็ขยับตัวได้”
“งั้นก็ไม่เป็นไร” ผู้โดยสารสตรีด้านหลังผมเสริมขึ้นเป็นครั้งแรก คุณสาวิตรีเป็นข้าราชการระดับ 10 เช่นกัน อาชีพผู้ตรวจราชการที่ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดเสมอไม่เปิดโอกาสให้หล่อนมีเวลาส่วนตัวมากนัก
“โล่งอกไปที ดีที่เป็นแค่หมา” สายตาหล่อนคล้ายมีรอยยิ้ม
“ทำไมเราไม่จอดดูมัน...” ผมเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก สายตาทุกคู่หันมาที่ผมพร้อมกันและต่างคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง
“กลับไปดูมันดีกว่าครับ” ผมกล่าวต่อ
ผู้ตรวจราชการหญิงว่า “ดูทำไม? ก็มันไม่เป็นไรนี่คะ”
“ไม่มีใครรู้แน่หรอกว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า จอดดูซักหน่อยคงไม่เสียเวลามาก”
หล่อนมองหน้าผม “เราเสียเวลาไม่ได้ซักนาทีเดียว คุณก็รู้ดี”
“แต่มันอาจพิการ”
คุณชำนาญแทรกว่า “มันไม่ตายก็บุญแล้ว”
ผมเริ่มสับสนในใจ “อ้าว! เป็นความรับผิดชอบของเราไม่ใช่หรือ ชนหมาแล้วก็ต้องจอดเอามันไปหาหมอ”
“ช่างมันเหอะ แค่หมาตัวเดียว” สุภาว่าตามเจ้านาย
“...อีกอย่างแถวนี้จะไปหาสัตวแพทย์ได้ที่ไหน”
“แต่...” ผมพูดได้เพียงแค่นั้น
“ไปต่อเถอะ อย่าหยุดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้เลย เสียเวลาไม่เข้าท่า”
รถตู้คันเก่าวิ่งต่อไปในความมืด ไฟหน้ารถสองดวงพุ่งนำทาง แต่แสงจันทร์หลบหายไปซ่อนในหมู่เมฆแล้ว
นี่คือเรื่องสั้น หมากลางถนน (รวมเรื่องสั้น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน) โครงเรื่องคือข้าราชการกลุ่มหนึ่งเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อไปงานสำคัญต่ออาชีพของพวกเขา ระหว่างทางรถชนหมาตัวหนึ่ง ไม่รู้เป็นหรือตาย และพวกเขาก็คุยกันว่าควรกลับรถไปดูอาการหมาตัวนั้นหรือไม่
ในที่สุดเสียงส่วนใหญ่ในรถก็บอกว่า ไม่ต้องกลับไป เพราะงานของพวกเขาสำคัญกว่า อีกประการ “มันก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่ง”
เราอาจสงสารหมาบาดเจ็บ แต่เรารักอนาคตการงานของเรามากกว่า
ในชีวิตเราทุกคน ย่อมมีสักครั้งหรือหลายครั้งที่เจอ ‘หมาตัวหนึ่ง’ เรื่องที่เราไม่น่าให้ความสำคัญ แต่มันค้างคาในใจเราถ้าไม่จัดการ
1
มันมีตั้งแต่เรื่องเล็กหน่อยเช่น พบท่อน้ำประปารั่วริมถนน จะโทร.ไปแจ้งทางการหรือไม่
1
คนยากไร้ที่ดูน่าสงสารมาขอเงินค่ารถกลับต่างจังหวัด แต่เราไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ให้เงินก็คาใจ ไม่ให้เงินก็คาใจ
ฯลฯ
ไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่ขึ้น เช่น ทำหญิงสาวคนหนึ่งที่พบกันครั้งเดียวท้อง
นี่คือเรื่องความรับผิดชอบ
มันเป็นเครื่องวัดว่าเราเป็นคนแบบไหน มันตั้งคำถามว่า เราอยากเป็นคนแบบไหน
1
บางเรื่องไม่มีบทลงโทษทั้งทางกฎหมายและทางสังคม บางเรื่องมีแต่เรารู้คนเดียว บางเรื่องเป็นการต่อสู้กับมโนธรรมของตนเอง
1
โลกแห่งความจริงนั้นเป็นโลกสีเทา ไม่มีส่วนดำสนิทหรือขาวสว่าง มันปนกัน แต่นี่ทำให้การรักษามโนธรรมให้สะอาดนั้นทำยาก
1
โฆษณา