14 เม.ย. เวลา 02:58 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

‘Design Thinking’ = เครื่องมือที่ต้องใช้ให้ถูก ไม่ใช่แค่ตามกระแส

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา “Design Thinking” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการธุรกิจและองค์กรในประเทศไทย หลายบริษัทพยายามนำแนวคิดนี้มาใช้เพื่อหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้ Design Thinking จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่การนำไปใช้จริงในบริบทขององค์กรใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “Corporate” นั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย และบางครั้งอาจไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์
บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า Design Thinking คืออะไร เหตุใดจึงได้รับความนิยม และข้อจำกัดที่ทำให้มัน “จับต้องได้ยาก” เมื่อถึงเวลานำไปปฏิบัติจริงในองค์กร
====
อะไรคือ Design Thinking และทำไมถึงฮิต?
Design Thinking เป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่เน้นการคิดเชิงออกแบบ โดยให้ความสำคัญกับผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง ผ่านขั้นตอนหลัก เช่น การเข้าใจความต้องการ (Empathize), การกำหนดปัญหา (Define), การระดมไอเดีย (Ideate), การสร้างต้นแบบ (Prototype) และการทดสอบ (Test) แนวคิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่สตาร์ทอัพและองค์กรที่ต้องการความคล่องตัว เพราะช่วยให้เกิดนวัตกรรมที่ตรงใจผู้ใช้จริงๆ
ในประเทศไทย ความนิยมของ Design Thinking เริ่มต้นจากกระแสที่องค์กรต่างๆ มองว่าเป็นเครื่องมือทันสมัยที่ช่วยสร้างความแตกต่าง หลายแห่งจัดอบรมหรือเวิร์กชอปเพื่อให้พนักงานเรียนรู้ แต่ปัญหาคือ การนำไปใช้จริงหลังจากนั้นมักไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และบางครั้งกลายเป็นแค่ “กระแส” ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป
====
ข้อจำกัดของ Design Thinking ในองค์กรใหญ่
แม้ Design Thinking จะมีข้อดี แต่เมื่อนำมาใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อน มักเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ ดังนี้
1. ประยุกต์ใช้ในแต่ละฟังก์ชันงานได้ยาก - การอบรม Design Thinking ในเวลาเพียง 2-3 วัน ไม่เพียงพอที่จะทำให้พนักงานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกหน่วยงาน เพราะแต่ละฟังก์ชันงานมีความแตกต่างและซับซ้อนเกินกว่าที่หลักการทั่วไปจะครอบคลุมได้ทั้งหมด
2. คนสอนไม่เข้าใจทุกบริบท - ผู้สอน Design Thinking มักขาดความเชี่ยวชาญในทุกด้านของธุรกิจหรือกระบวนการทำงานขององค์กร การสอนแบบครอบจักรวาลจึงไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ และบางครั้งดูเหมือนเป็นการ “ขายความ Cool” มากกว่าการถ่ายทอดความรู้เชิงลึก
3. ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความตรงไปตรงมา - ในงานที่ต้องยึดตามมาตรฐานหรือกรอบเวลาชัดเจน เช่น การทดลองสูตรยา การจัดการสภาพแวดล้อมสำหรับสัตว์ หรือการทำงานตาม SLA (Service Level Agreement) การคิดนอกกรอบอาจกลายเป็นการเสียเวลา เพราะงานเหล่านี้ต้องการความแม่นยำมากกว่าการทดลองไอเดียใหม่ๆ
4. เมื่อผู้บริหารมีธงในใจ - ในองค์กรที่ใช้แนวทาง Top-Down หรือผู้บริหารมีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว Design Thinking อาจไม่ได้ผล เพราะพนักงานอาจรู้สึกว่าการระดมความคิดเป็นเพียงพิธีกรรม โดยไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง โดยเฉพาะในองค์กรที่มีลำดับขั้นสูง
5. ปัญหาความไม่เท่าเทียมของข้อมูล - องค์กรใหญ่ที่มีคนจำนวนมาก มักเผชิญกับปัญหาความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูล (asymmetry of information) ทำให้การตัดสินใจหรือการจัดสรรทรัพยากรไม่สอดคล้องกับความต้องการของโครงการ Design Thinking จึงต้องเริ่มจากระดับบนลงล่าง ไม่ใช่จากล่างขึ้นบนเพียงอย่างเดียว
6. แรงกดดันจาก KPI - องค์กรที่เน้นการตั้งเป้าหมายแบบรายปีหรือครึ่งปี มักไม่มีเวลาสำหรับการพัฒนาไอเดียอย่างเป็นธรรมชาติ การเร่งรีบเพื่อให้ทัน KPI ทำให้ Design Thinking กลายเป็นแค่ขั้นตอนที่ “ต้องทำ” โดยขาดผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ
7. Corporate vs Startup: บริบทที่แตกต่าง - Design Thinking เหมาะกับสตาร์ทอัพที่เริ่มต้นจากศูนย์และไม่มีภาระจากระบบเดิม แต่ในองค์กรใหญ่ที่มีสินทรัพย์ถาวร ค่าใช้จ่ายคงที่ และระบบที่ฝังรากลึก การเปลี่ยนแปลงหรือทดลองสิ่งใหม่ๆ มีข้อจำกัดมากกว่า ทำให้แนวคิดแบบ “คิดไวทำไว” ไม่เหมาะสมเสมอไป
8. เปลี่ยนระบบเดิมยากและแพง - การปรับเปลี่ยนระบบเดิม เช่น ระบบ ERP ที่ใช้งานมานาน ต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณมหาศาล การระดมไอเดียในขั้น Ideate อาจดูง่าย แต่การนำไปปฏิบัติจริงต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องของธุรกิจ ซึ่งทำให้การ “ทิ้งของเก่า” ไม่ใช่เรื่องง่าย
9. ธุรกิจแข่งขันสูงไม่มีที่ว่างให้ลองผิดลองถูก - ในธุรกิจที่แข่งขันรุนแรงหรือมีงบจำกัด การทดลองแบบ Design Thinking ที่เน้น “ลองผิดลองถูก” อาจเป็นความเสี่ยงที่รับไม่ได้ เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจส่งผลกระทบรุนแรง
10. ต้องทำในกรอบให้ดีก่อน - บางองค์กรยังไม่สามารถบริหารจัดการในกรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่กลับพยายามคิดนอกกรอบ ซึ่งอาจไม่นำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง เพราะวิธีคิดที่ถูกต้องสำคัญกว่าการใช้เครื่องมือใหม่ๆ เสมอ
====
กรณีที่ Design Thinking ไม่เหมาะสม?
จากข้อจำกัดข้างต้น จะเห็นว่า Design Thinking ไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะกับทุกงานหรือทุกองค์กร โดยเฉพาะในกรณีดังนี้
* งานที่ต้องการความแม่นยำสูงและมีมาตรฐานตายตัว
* โครงการที่ผู้บริหารกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้ว
* องค์กรที่มีโครงสร้างแบบลำดับขั้นเข้มงวด
* ธุรกิจที่มีทรัพยากรจำกัดและไม่สามารถรับความเสี่ยงได้
ทางเลือกอื่นในการแก้ปัญหา
เมื่อ Design Thinking ไม่เหมาะสม องค์กรสามารถพิจารณาเครื่องมืออื่นๆ เช่น
* Lean Six Sigma เพื่อปรับปรุงกระบวนการและลดความสูญเสีย
* Agile Methodology สำหรับงานที่ต้องการความคล่องตัว
* Project Management แบบดั้งเดิมสำหรับโครงการที่มีขอบเขตชัดเจน
* การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ เป็นต้น
การเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับบริบทจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น
====
สรุป คือ องค์กรต้องรู้จักตัวเองก่อน
Design Thinking เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่คำตอบของทุกปัญหา องค์กรต้องเข้าใจตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมาย โครงสร้าง หรือข้อจำกัด เพื่อเลือกใช้เครื่องมือนี้ให้ถูกที่ถูกเวลา การส่งพนักงานไปอบรมหรือตามกระแสเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากขาดการปรับกระบวนการให้สอดคล้องกัน
สุดท้ายแล้ว ความสำเร็จไม่ได้มาจากการใช้เครื่องมือทันสมัย แต่มาจากการที่องค์กรรู้ว่าต้องการอะไร และออกแบบวิธีการทำงานให้เหมาะสมกับโจทย์ของตัวเอง
Design Thinking จึงไม่ใช่แค่ “วิชา” ที่เรียนแล้วจบ แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและปรับใช้ในบริบทที่เหมาะสมเท่านั้น
#วันละเรื่องสองเรื่อง
โฆษณา