Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
OnThisDay
•
ติดตาม
18 เม.ย. เวลา 12:31 • ประวัติศาสตร์
"ไข่" หลายคนอาจจะรู้แล้ว แต่สำหรับอีกหลายๆ คนที่อาจยังไม่รู้
นานมาแล้ว ณ แดนไกลโพ้นแห่งจักรวรรดิโรมัน หลังจากเหตุการณ์อันสั่นสะเทือนโลก การตรึงกางเขนของชายผู้ชื่อว่า "เยชู" แห่งนาซาเร็ธ แผ่นดินก็ปกคลุมด้วยความเงียบเหงาและความเศร้าหมอง ชายผู้นั้นได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทว่าเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์กลับเชื่อมั่นว่า พระองค์จะไม่ถูกกาลเวลากลืนกิน
...
ค่ำคืนอันมืดสนิทในคืนหนึ่ง หลังจากที่ เยซูถูกตึงกางเขน เป็นคืนที่ท้องฟ้าไร้ซึ่งดวงดาวส่องแสง มารีย์ได้นอนอยู่ภายในบ้านของเธอ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอก็ไม่อาจที่จะนอนหลับได้ สิ่งที่รบกวนจิตใจเธออยู่ตลอดคือ "เยซู" นามนี้ที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ความรู้สึกอันแสนประหลาดที่ถาโถมเข้ามา และความรู้สึกนั้นบ่งบอกกับเธอว่า เยซู พระองค์ยังทรงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน
เมื่อรุ่งเช้า มารีย์ได้ออกเดินทางมายังสุสาน พร้อมเครื่องหอมเพื่อชำระพระศพ แต่สิ่งที่นางเห็นกลับไม่ใช่ความตาย สุสานว่างเปล่า ศิลาใหญ่ที่ขวางทางเข้าถูกกลิ้งพ้น ทันใดนั้น นางได้พบชายผู้หนึ่งยืนอยู่กลางสวน เมื่อเขาเรียกชื่อเธอ "มารีย์" ด้วยน้ำเสียงที่เธอไม่อาจลืม เธอจึงรู้ทันที พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์แล้วจริงๆ
หลายวันต่อมา..
ข่าวการฟื้นคืนชีพแพร่สะพัดในแคว้นยูเดียและกาลิลี แต่สำหรับมารีย์ นั่นยังไม่เพียงพอ เธอรู้ดีว่า "ความจริงที่ยิ่งใหญ่ ไม่ควรถูกฝังอยู่ในผืนทรายของเยรูซาเล็ม หากแต่ต้องส่งเสียงถึงบัลลังก์แห่งอำนาจสูงสุดของโลก"
มารีย์ได้คิดจะนำไข่ ที่เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และการฟื้นคืนชีพ ข้ามผื่นแผ่นดินทะเลทราย ข้ามผ่านภูเขา ไปยังกรุงโรมเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ และกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ
วันต่อมาเธอได้ออกเดินทางผ่านเมืองเล็กๆ เป็นเมืองที่หวาดกลัว และเกลียดทหารโรมันเป็นอย่างมาก มารีย์เห็นผู้ในเมืองมีสายตาที่หดหู่ จึงได้เล่าเรื่องราวการคืนชีพของพระเยซู จนทำให้ชาวเมืองหลายคนเปิดใจยอมรับ
เมื่อเธอผ่านหมู่บ้านคาปัว ในขณะนั้นหมู่บ้านนี้มีผู้ป่วยอยู่มากมาย เธอจึงหยุดดูแลและช่วยเหลือเยี่ยวยา พร้อมทั้งบอกคำสอนเรื่องความรักและการให้อภัย เธอพักที่อยู่หลายคืน และในคืนสุดท้ายก่อนที่เธอจะออกเดินทางต่อนั้น มีนักปราชญ์เฒ่าคนหนึ่งกล่าวกับนางว่า
"เจ้ามีสิ่งใดอยู่ในมือจึงหวงแหนนัก"
มารีย์เพียงยิ้ม และตอบว่า
"ชีวิตที่ยังไม่ถูกเชื่อ"
และที่สุดแล้ว เธอได้เดินทางมาถึงกรุงโรม และมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังพระราชวังจักรพรรดิ ท่ามกลางอิฐหิน หอคอย และเสาแกะสลักสูงตระหง่าน
นางยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ทองคำของ จักรพรรดิทิเบริอุส ซีซาร์
ผู้เยือกเย็นและเคร่งในเหตุผล มากกว่าศรัทธา ด้วยความไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด มารีย์ยื่นไข่ให้พระองค์ พร้อมเอ่ยอย่างมั่นคงว่า
"ข้าแต่องค์จักรพรรดิ พระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขน บัดนี้ทรงฟื้นคืนชีพแล้วจากความตาย ดังเช่นชีวิตที่อยู่ภายในเปลือกไข่ใบนี้ ทรงหลุดพ้นจากความตาย สู่อิสรภาพนิรันดร์"
ทิเบริอุสหัวเราะเสียงต่ำ
"หากคนตายจะฟื้นคืนชีพได้ ไข่นี้ก็คงกลายเป็นสีแดง"
วินาทีนั้น..
ทุกอย่างเงียบลง
แล้วไข่ในมือของมารีย์ก็ค่อยๆ เปล่งแสงจางๆ สีขาวซีดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็น แดงสด ราวโลหิตแห่งชีวิตใหม่ ราวกับย้อมด้วยความศรัทธาและพลังศักดิ์สิทธิ์
ขุนนางมากมายต่างที่ได้เห็นเหตุการณ์ ต่างดวงตาเบิก ทหารยามจับดาบแน่น
บางคนล้มลงคุกเข่า บางคนร่ำไห้
และจักรพรรดิผู้ไม่เคยศิโรราบต่อสิ่งใด นิ่งเงียบแม้ริมฝีปากขยับ แต่เปล่งเสียงไม่ออก
...
ตั้งแต่นั้นมา ไข่สีแดง ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นคืนชีพ และเรื่องราวของมารีย์ก็ถูกเล่าขานในทุกแดนดิน ไข่ ถูกใช้เป็น สัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และการฟื้นคืนชีพ ที่เวลาต่อมากลายเป็นศรัทธาที่ไม่มีใครพรากไปได้
...
"ไข่อัศจรรย์ของนักบุญมารีย์ มักดาลา" เป็นเรื่องที่มีรากฐานใน ประเพณีคริสเตียน โดยเฉพาะใน ศาสนจักรออร์โธดอกซ์ ซึ่งสืบทอดมายาวนานในรูปของ เรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ และตำนานศรัทธา (pious legend) มากกว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ตามหลักฐานเอกสารที่ยืนยันชัดเจนได้
ถึงแม้เหตุการณ์ไข่เปลี่ยนสีแดง ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือในเอกสารโบราณระดับศาสนจักร แต่ก็มีบันทึกภาพนักบุญมารีย์ มักดาลา ถือ ไข่สีแดง ไว้ในศิลปะคริสเตียน โดยเฉพาะในภาพเขียนไอคอนแบบ Byzantine
...
EASTER วันอีสเตอร์ 20 เมษายน หรือ (Easter Sunday) ถือเป็นวันที่เฉลิมฉลอง การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ จากความตาย หลังถูกตรึงกางเขน
วันอีสเตอร์นั้นจะมีการเปลี่ยนไปทุกปี โดยคำนวณจาก วันอาทิตย์แรก หลังจากพระจันทร์เต็มดวงแรก ที่เกิดหลังวันวสันตวิษุวัต (Spring Equinox) และในวันนี้นั้น เปลี่ยบความหมายเชิงศาสนาไว้ว่า เป็นจุดสูงสุดของ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Week) ที่เริ่มจากวัน Palm Sunday → Good Friday → Easter
.
ธรรมเนียมในวันอีสเตอร์
- การจัด พิธีมิสซาอีสเตอร์ ในโบสถ์
- การตกแต่งและเล่น ไข่อีสเตอร์ (สัญลักษณ์ของชีวิตใหม่)
- การเฉลิมฉลองด้วย อาหารพิเศษ เช่น ขนมปัง, แฮม, ขนมอีสเตอร์
- เด็กๆ มักร่วมกิจกรรม ล่าหาไข่อีสเตอร์ (Easter egg hunt)
...
จากตำนานไข่อัศจรรย์ สู่เมนูไข่จากทั่วโลก
ไข่เมนูทีรังสรรค์ได้มากมาย แต่หากเป็นเมนูที่ติดระดับโลกแล้วละก็ ไม่ว่าใครเห็นก็ยากที่จะห้ามใจไม่ให้อยากกินได้ลำบากแน่ๆ
1. Shakshuka (ตะวันออกกลาง/แอฟริกาเหนือ)
ไข่ลวกในซอสมะเขือเทศร้อนฉ่า หอมเครื่องเทศ รสชาติจัดจ้านราวไฟแห่งความศรัทธาในทะเลทราย เหมาะกินกับขนมปังอบร้อนๆ ในเช้าศักดิ์สิทธิ์
2. Huevos Rancheros (เม็กซิโก)
ไข่ดาวบนแผ่นตอร์ติญ่า ราดด้วยซัลซ่าร้อนแรง เป็นอาหารของชาวไร่ เป็นพลังของคนทำงาน เป็นชีวิตที่ยังลุกขึ้นทุกเช้า แม้โลกจะหนักหนา
3. Menemen (ตุรกี)
ไข่กวนกับมะเขือเทศ พริกหยวก และหัวหอมละมุนละไมแต่แฝงด้วยความร้อนจากตะวันออกเมนูแห่งการแบ่งปัน เสิร์ฟในกระทะสำหรับหลายคน
4. Egg Curry (อินเดีย)
ไข่ต้มในแกงร้อนฉ่ารสเผ็ดหอมจากเครื่องเทศเปลือกอาจถูกทิ้ง แต่เนื้อในกลับดูดซึมทุกเรื่องราว เหมือนวิญญาณที่ผ่านกรรมแล้วกลายเป็นรสชาติใหม่
5. Frittata (อิตาลี)
ไข่เจียวหนานุ่มสไตล์อิตาเลียน ใส่ผัก เนื้อ ชีสอบในเตาแทนการทอด สวยงามดุจงานศิลป์ คือศิลปะของบ้านและความรักของครอบครัว
6. ไข่ลูกเขย
ไข่ต้มทอดกรอบนอกนุ่มใน ราดน้ำซอสรสเปรี้ยวหวานตำนานรัก ความโกรธ และการคืนดี ถูกซ่อนไว้ในรสชาติเดียวเป็นเครื่องเตือนใจว่า "ไข่" ก็เล่าเรื่องได้
.
ว่าแต่เพื่อนๆ ชอบเมนูไข่แบบไหนกันบ้างครับ มีสูตรทำกินเองแบบง่ายๆ แต่ออกมาอร่อยเหาะ ส่งความคิดเห็นมาแบ่งปันกันนะครับผม
ปล. ไม่เอาไข่ต้มน๊า กินจนหัวและหน้าจะเป็นรูปไข่แล้วครับผม
ปล2. ส่วนที่มีกระต่ายได้อย่างไรนั้น เป็นเนื้อหาอีกเรื่องนึง ซึ่งเกี่ยวกับ "ตำนานเยอรมันโบราณเล่าว่า เทพี Ostara เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ" ครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: oxfordreference
: biography
: goarch .org
: stmarymagdalenechurch .org
: tasteatlas
เรื่องเล่า
เมนูอาหาร
ประวัติศาสตร์น่ารู้
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย