18 เม.ย. เวลา 15:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ

‼️ทฤษฎีสมคบคิดสุดปั่น: สหรัฐฯ 'จงใจ' สร้างวิกฤตเศรษฐกิจ... เพื่อหนีตายคลื่นหนี้ $9 ล้านล้าน

⚠️ คำเตือน ยาวมาก ใครไม่ว่างอ่าน ให้ข้ามไปอ่านสรุปช่วงท้ายก่อน (แต่ควรอ่านทั้งหมดอยู่ดีนะ)
ในช่วงเวลานี้ หากนักลงทุนติดตามข่าวสารเศรษฐกิจหรือแวดวงโซเชียลมีเดีย อาจเคยได้ยิน "ทฤษฎี" ที่กำลังเป็นกระแสพูดถึงกันหนาหู บ้างก็ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจกำลัง "จงใจ" สร้างภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือทำให้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก
ทำไมถึงคิดเช่นนั้น? ผู้เสนอทฤษฎีนี้อ้างว่ามีเป้าหมายแอบแฝง นั่นคือการกดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ให้ต่ำลง ก่อนที่ "คลื่นยักษ์" ของการรีไฟแนนซ์หนี้ (Refinancing) มูลค่ามหาศาลจะถาโถมเข้ามาในปี 2025
ฟังดูเผินๆ อาจมีเหตุผลอยู่บ้าง เพราะเป็นความจริงที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้ากับภารกิจรีไฟแนนซ์หนี้ก้อนโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการประมาณการกันว่าอาจสูงถึงกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 ท่ามกลางภาวะที่อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่วงที่หนี้เหล่านี้ถูกก่อขึ้น
คำถามสำคัญคือ ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง หรือเป็นเพียงแค่การคาดเดาที่ไร้มูล?
ก่อนที่เราจะไปสำรวจความเป็นไปได้ของทฤษฎีดังกล่าว เราต้องไปสำรวจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์หนี้ของสหรัฐฯ เจาะลึกตัวเลขสำคัญ ทำความเข้าใจว่าเหตุใดต้นทุนการกู้ยืมจึงสูงขึ้น กลไกการบริหารจัดการหนี้ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (US Treasury) ว่าเป็นอย่างไร
รวมถึงมุมมองของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนทั่วไปสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างรอบด้านและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
💰 เจาะลึกตัวเลข: ภูเขาหนี้ของอเมริกา
เพื่อให้เห็นภาพรวมสถานการณ์ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจขนาดและโครงสร้างหนี้ของสหรัฐฯ ค่ะ
👉🏻 ภาพรวมหนี้สาธารณะ: ณ ต้นปี 2025 หนี้สาธารณะรวม (Gross National Debt) ของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตัวเลขมหาศาลนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ
1️⃣ หนี้ที่ถือโดยสาธารณะ (Debt Held by the Public): ประมาณ 29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็คือ หนี้ที่รัฐบาลกู้ยืมจากนักลงทุนทั่วไป กองทุน สถาบันการเงิน รวมถึงรัฐบาลต่างประเทศ เพื่อใช้ในนโยบายต่างๆ ที่เกินกว่ารายได้ภาษีจะครอบคลุม โดยหนี้ส่วนนี้คือจุดที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุด
2️⃣ หนี้ระหว่างหน่วยงานรัฐบาล (Intergovernmental Debt): ประมาณ 7.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็คือ หนี้ที่หน่วยงานรัฐบาลหนึ่งเป็นหนี้อีกหน่วยงานหนึ่ง เช่น หนี้ที่กระทรวงการคลังออกพันธบัตรให้กับกองทุนประกันสังคม (Social Security) หรือกองทุน Medicare
👉🏻 สัดส่วนหนี้ต่อ GDP: ตัวชี้วัดสำคัญคือ สัดส่วนหนี้สาธารณะที่ถือโดยสาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจ หรือ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ)
มีการคาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2025 สัดส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 100% ของ GDP ซึ่งหมายความว่าปริมาณหนี้ที่รัฐบาลกู้จากภายนอกจะมีขนาดเท่ากับมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดที่ประเทศผลิตได้ในหนึ่งปี
2
ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ (เฉลี่ยราว 50% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา) และที่น่ากังวลกว่านั้นคือ CBO (Congressional Budget Office - หน่วยงานวิเคราะห์งบประมาณของสภาคองเกรส) คาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึง 118% ในปี 2035 และทะลุ 156% ในปี 2055 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังครั้งใหญ่
‼️กำแพงรีไฟแนนซ์ที่รออยู่: จุดที่น่าจับตามองที่สุดในระยะสั้นคือ ปริมาณหนี้ที่ซื้อขายได้ในตลาด (Marketable Debt - เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรระยะกลางและยาว) ที่จะครบกำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งหนี้ตรงนี้มีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 33% ของหนี้สาธารณะที่ซื้อขายได้ทั้งหมด
ดังนั้นเมื่อคำนวณจากฐานหนี้สาธารณะที่ถือโดยสาธารณะราว 29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี่จะหมายถึงเม็ดเงินประมาณ 9.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่รัฐบาลต้องหาเงินมาจ่ายคืน หรือส่วนใหญ่คือต้อง "รีไฟแนนซ์" หรือกู้ใหม่มาจ่ายคืนหนี้เก่า ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีข้างหน้าค่ะ
3
💸 ภาระดอกเบี้ยที่พุ่งสูง: ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การหาเงินกู้ใหม่เท่านั้น แต่คือ "ต้นทุน" ของการกู้ยืมที่สูงขึ้นกว่าเก่ามาก
CBO คาดการณ์ว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (Net Interest Cost) ในปีงบประมาณ 2025 จะสูงถึง 952,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตัวเลขนี้คิดเป็นประมาณ 3.2% ของ GDP ซึ่งใกล้เคียงหรือเทียบเท่าระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2020
1
ที่สำคัญคือ งบประมาณส่วนนี้มีขนาดใหญ่กว่างบประมาณด้านกลาโหมและงบประมาณสำหรับโครงการ Medicare (โครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ) ทั้งหมดในปี 2025 เสียอีก
ภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนี้กำลังกัดกินสัดส่วนรายได้ของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 18% ของรายได้ในปีงบประมาณ 2025 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 22-28% ในทศวรรษหน้า ซึ่งจะทำให้เหลืองบประมาณน้อยลงสำหรับใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ที่จำเป็น
1
นอกจากนี้ ภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนี้ไม่ได้คงที่ แต่มันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการรีไฟแนนซ์หนี้เก่าที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และการกู้ยืมใหม่เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
มีการคาดการณ์กันว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอาจแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2026 และเกือบ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2035 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
⚠️ เพดานหนี้ที่ใกล้เข้ามา: อีกปัจจัยที่สร้างความกังวลคือ เพดานหนี้ (Debt Ceiling) ซึ่งเป็นข้อจำกัดทางกฎหมายที่สภาคองเกรสกำหนดไว้สำหรับยอดหนี้รวมที่รัฐบาลสามารถก่อได้
เพดานหนี้ปัจจุบันถูกกำหนดไว้ที่ 36.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2025 ซึ่งในขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ชนเพดานหนี้แล้ว และกำลังใช้ "มาตรการพิเศษ" (Extraordinary Measures) ซึ่งเป็นเทคนิคทางบัญชีเพื่อบริหารจัดการให้สามารถกู้ยืมต่อไปได้ชั่วคราวโดยไม่ผิดกฎหมาย
1
อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้มีขีดจำกัด โดย CBO คาดการณ์ว่า "X-Date" หรือวันที่มาตรการพิเศษเหล่านี้จะหมดลง และรัฐบาลจะไม่สามารถชำระหนี้ได้เต็มจำนวนและตรงเวลาหากไม่มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ จะมาถึงในช่วง สิงหาคม หรือ กันยายน 2025
ทั้งนี้ วันดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน หากรัฐบาลมีความต้องการกู้ยืมมากกว่าที่คาดการณ์ X-Date ก็อาจเลื่อนมาเร็วขึ้นเป็นช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนได้
สถานการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของความเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่การขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ทำให้หนี้สินเพิ่มสูงขึ้น เมื่อรวมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระดอกเบี้ยที่หนักอึ้งนี้ทำให้สถานะการคลังดูย่ำแย่ลง เพิ่มแรงกดดันทางการเมืองระหว่างการเจรจาเรื่องเพดานหนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรต่อไปอีก
1
⁉️ ทำไมแพงจัง? ปัจจัยที่ดันต้นทุนกู้ยืมของสหรัฐฯ ให้สูง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "ดอกเบี้ย" ที่รัฐบาลต้องจ่ายให้นักลงทุน) ที่อยู่ในระดับสูงขณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายๆ แรงกดดันประกอบกันค่ะ
1️⃣ การขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง (Persistent Budget Deficits)
อย่างที่กล่าวไป รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายมากกว่ารายรับมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่อชดเชยส่วนต่าง โดยในปีงบประมาณ 2025 คาดว่าจะขาดดุลถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 6.2% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก
1
การที่รัฐบาลต้องออกพันธบัตรใหม่ๆ มาขายในตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อระดมทุน ทำให้ปริมาณพันธบัตร (Supply) มีมาก กดดันให้ราคาพันธบัตรต่ำลง และผลักดันให้อัตราผลตอบแทน (Yield) สูงขึ้น เพื่อจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อ
2️⃣ ผู้ซื้อต่างชาติรายใหญ่ลดบทบาท (Shifting Foreign Buyers)
ในอดีต ประเทศอย่างจีนและญี่ปุ่นถือเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่ ซึ่งเข้ามาช่วยดูดซับอุปทานและกดดันให้อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ แต่แนวโน้มนี้กำลังเปลี่ยนไป
1
แม้ว่ายอดรวม การถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติจะขยับขึ้นเป็น ราว 8.51 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2024 (เพิ่มเล็กน้อยจาก 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปลาย ปี 2023)
แต่ “สัดส่วน” การถือครองเมื่อเทียบกับหนี้สาธารณะ ที่ถือโดยสาธารณชนกลับลดลงต่อเนื่อง จาก 42 % ใน ปี 2019 เหลือเพียง 29.5 % ใน ปี 2024 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 15 ปี
โดยเฉพาะ จีน ซึ่งเคยถือครองสูงสุดกว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ได้เป็นผู้ขายสุทธิมาตลอด 5 ปีหลัง จนเหลือยอดถือครองประมาณ 7.59 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้น ปี 2024 (ลดลงจาก 8 แสนล้านดอลลาร์ในสิ้นปี 2023)
ขณะที่ ญี่ปุ่น ซึ่งยังคงเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ที่สุด ก็ปรับลดลงเช่นกันมาอยู่ที่ประมาณ 1.06 ล้านล้านดอลลาร์ ณ ปลายปี 2024 (เทียบกับ 1.10 ล้านล้านดอลลาร์ ณปลายปี 2023)
1
การหายไปของความต้องการจาก “ผู้ซื้อรายใหญ่เดิม” เหล่านี้ ทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จำเป็นต้องเสนอผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาเติมช่องว่างการรีไฟแนนซ์หนี้มหาศาลในปี 2025‑26 นี้
1
3️⃣ เงินเฟ้อเหนียวหนึบและนโยบายเฟด (Sticky Inflation & Fed Policy)
แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในปี 2022-2023 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่อัตราเงินเฟ้อก็ยังคง "เหนียวหนึบ" (Sticky Inflation) หรือ ลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ และยังอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด
สถานการณ์นี้ ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ (เช่น ภาษีนำเข้า) ทำให้เฟดอาจไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงได้มากหรือเร็วอย่างที่ตลาดเคยคาดหวัง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น และการคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะยังคงสูงอยู่อีกระยะหนึ่ง ส่งผลโดยตรงต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคตยังเพิ่มความผันผวนให้กับอัตราผลตอบแทนอีกด้วย
4️⃣ กระแสข่าวสงครามการค้าและภาษีนำเข้า (Trade War Drums & Tariff Fears)
นโยบายภาษีนำเข้า (Tariffs) ที่เข้มงวดขึ้นภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน กำลังสร้างความกังวลระลอกใหม่ ภาษีนำเข้าไม่เพียงแต่จะทำให้ราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นเงินเฟ้อให้สูงขึ้นไปอีก
แต่ "ความไม่แน่นอน" เกี่ยวกับขอบเขต ระยะเวลา และการตอบโต้ทางการค้า ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงได้
ขณะที่ประธานเฟดเองก็ยอมรับว่าภาษีนำเข้าอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาด
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเรียกร้องอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ/ภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้บางส่วนก็กังวลว่ารัฐบาลต่างชาติอาจเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้อีกเช่นกัน
5️⃣ สัญญาณเตือนจากบริษัทจัดอันดับเครดิต (Credit Rating Agency Warnings)
1
แม้สหรัฐฯ จะยังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ แต่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ต่างส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับสถานะการคลัง
โดย Fitch Ratings ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงจาก AAA เหลือ AA+ ในเดือนสิงหาคม 2023 โดยให้เหตุผลเรื่องสถานะการคลังที่เสื่อมถอย หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น และธรรมาภิบาลที่ถดถอย
2
ขณะที่ Moody's ยังคงอันดับเครดิตสูงสุดที่ Aaa แต่ได้ปรับ "แนวโน้ม" (Outlook) เป็น "เชิงลบ" (Negative) ในเดือนพฤศจิกายน 2023 และยืนยันมุมมองนี้อีกครั้งในเดือนมีนาคม 2025 โดยชี้ไปที่ปัญหาการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก ความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง และปัญหาความแตกแยกทางการเมืองที่ทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้น
1
แม้การปรับลดอันดับหรือแนวโน้มไม่ได้ทำให้อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นทันที แต่มันสะท้อนความกังวลพื้นฐานเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลัง และอาจทำให้นักลงทุนเรียกร้องค่าชดเชยความเสี่ยง (Risk Premium) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระยะยาว
👉🏻 ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ไม่ได้ถูกกำหนดโดยปัจจัยภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับปัจจัยระดับโลกอย่างแยกไม่ออก การลดการซื้อของจีนและญี่ปุ่น แนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลก และการรับรู้ของนักลงทุนต่างชาติต่อเสถียรภาพนโยบายของสหรัฐฯ (เช่น ภาษี การเมืองเรื่องเพดานหนี้) ล้วนมีบทบาทสำคัญ
นอกจากนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังสร้างแรงกดดันที่ขัดแย้งกันเอง เงินเฟ้อที่สูงและการขาดดุลผลักดันให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ความกลัวเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบของภาษีหรือนโยบายการเงินที่เข้มงวดเกินไป อาจทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงได้ (จากการที่นักลงทุนวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย หรือคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในอนาคต)
ผลลัพธ์สุทธิจึงขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยใดมีน้ำหนักเหนือกว่าในความเชื่อมั่นของตลาด ณ เวลานั้นๆ
🇺🇸 เบื้องหลังม่าน: กลไกบริหารหนี้ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ไม่ได้เพียงแต่นั่งรอรับมือ แต่มีกลไกและเครื่องมือต่างๆ ในการบริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบค่ะ
1️⃣ กลไกการประมูล (The Auction Engine)
หัวใจหลักของการระดมทุนคือการ "ประมูล" พันธบัตรประเภทต่างๆ ทั้งตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills - อายุไม่เกิน 1 ปี), พันธบัตรระยะกลาง (Treasury Notes - อายุ 2-10 ปี), พันธบัตรระยะยาว (Treasury Bonds - อายุ 20-30 ปี) รวมถึงพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (TIPS) และพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRNs)
โดยในปี 2024 มีการจัดประมูลถึง 440 ครั้ง ระดมทุนได้ราว 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การประมูลเหล่านี้มีตารางเวลาค่อนข้างแน่นอน (เช่น ตั๋วเงินคลังประมูลรายสัปดาห์, พันธบัตรระยะกลางรายเดือน, พันธบัตรระยะยาวรายไตรมาส) และมีการประกาศรายละเอียดล่วงหน้าเสมอ
👉🏻 กระบวนการประมูลจะใช้ระบบ "ราคาเดียว" (Single-price auction) โดยจะรับคำสั่งซื้อแบบไม่ระบุอัตราผลตอบแทนทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงพิจารณาคำสั่งซื้อแบบระบุอัตราผลตอบแทน โดยเริ่มรับจากผู้ที่เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุดไปหาผู้ที่เสนอสูงสุด จนกระทั่งครบตามวงเงินที่ต้องการประมูลในครั้งนั้น
จุดเด่นคือ ผู้ชนะการประมูลทุกคน ไม่ว่าจะเสนอราคาเท่าใด (ตราบใดที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาปิด) จะได้รับพันธบัตรในอัตราผลตอบแทนเดียวกัน คืออัตราผลตอบแทนสูงสุดที่ได้รับการจัดสรร (เรียกว่า "Stop-out yield")
👉🏻 การประกาศแผนระดมทุนรายไตรมาส (Quarterly Refunding) ซึ่งจะเกิดประมาณช่วงกลางของทุกไตรมาส โดยกระทรวงการคลังจะเปิดเผยแผนการออกพันธบัตรระยะกลางและยาวสำหรับไตรมาสถัดไป รวมถึงอาจมีการปรับเปลี่ยนขนาดการประมูลตามความต้องการกู้ยืมและภาวะตลาด
กระบวนการนี้จะมีการปรึกษาหารือกับกลุ่มสถาบันการเงินตัวกลาง (Primary Dealers) และคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการกู้ยืม (Treasury Borrowing Advisory Committee - TBAC) ก่อน การประกาศครั้งล่าสุดยังคงขนาดการประมูลพันธบัตรส่วนใหญ่ไว้เท่าเดิม แต่มีการเพิ่มขนาดการประมูล TIPS
2️⃣ โครงการซื้อคืนพันธบัตร (The Buy-Back Program)
นอกจากออกพันธบัตรใหม่แล้ว กระทรวงการคลังยังสามารถ "ซื้อคืน" พันธบัตรเดิมที่ยังไม่ครบกำหนดอายุได้ด้วย โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ
👉🏻 เสริมสภาพคล่อง (Liquidity Support) โดยการสร้างกลไกให้นักลงทุนสามารถขายคืนพันธบัตรรุ่นเก่าๆ ที่อาจซื้อขายไม่คล่องตัวนัก (เรียกว่า Off-the-run securities) ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ตลาดโดยรวมมีสภาพคล่องดีขึ้น
👉🏻 บริหารกระแสเงินสด (Cash Management) ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของเงินคงคลัง (โดยเฉพาะช่วงที่มีรายได้ภาษีเข้ามามาก) และบริหารปริมาณตั๋วเงินคลังในตลาด ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมในระยะยาวได้
3️⃣ วัดพลังซื้อด้วยอัตราส่วน Bid-to-Cover (Measuring Demand: The Bid-to-Cover Ratio)
หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ตลาดจับตาในการประมูลแต่ละครั้งคือ อัตราส่วน Bid-to-Cover
หรือ อัตราส่วนระหว่าง "มูลค่ารวมของคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ได้รับ" เทียบกับ "มูลค่ารวมของพันธบัตรที่ขายได้จริง (จัดสรรให้)" ในการประมูลครั้งนั้นๆ
1
โดยสูตรคือ: มูลค่า Bids ทั้งหมด ($) / มูลค่า Bids ที่รับ ($)
👉🏻 ตัวเลขนี้สะท้อนถึง "ความต้องการ" (Demand) พันธบัตรในการประมูลนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ยิ่งอัตราส่วนสูง แสดงว่ามีความต้องการซื้อมากกว่าปริมาณที่เสนอขายมาก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี
โดยทั่วไป อัตราส่วนที่สูงกว่า 2.0 ถือว่าแข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น หากประมูลพันธบัตร 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มีคำสั่งซื้อเข้ามาถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราส่วน Bid-to-Cover จะเท่ากับ 2.0
อย่างไรก็ตาม การจะบอกว่าอัตราส่วนดีหรือไม่ดี จะต้องมีการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของการประมูลพันธบัตรประเภทเดียวกันในช่วงก่อนหน้าด้วย บางครั้งอัตราส่วนที่ต่ำอาจไม่ได้แปลว่าความต้องการอ่อนแอเสมอไป แต่อาจเกิดจากการที่ครั้งนั้นมีการประมูลวงเงินที่ใหญ่เป็นพิเศษก็ได้
โดยข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าอัตราส่วน Bid-to-Cover ของพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ดี (เช่น ตั๋วเงินคลัง 4 สัปดาห์ 2.8, พันธบัตร 10 ปี 2.56, พันธบัตร 30 ปี 2.4)
การดำเนินงานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากระทรวงการคลังไม่ได้เพียงแค่ตั้งรับกับการรีไฟแนนซ์หนี้ แต่มีการบริหารจัดการเชิงรุก โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย
ทั้งการปรับขนาดและประเภทของพันธบัตรที่ออกในการประกาศแผนรายไตรมาส การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ (เช่น ตั๋วเงินคลัง 6 สัปดาห์) และการใช้โครงการซื้อคืน เพื่อบริหารโครงสร้างหนี้ เสริมสภาพคล่อง และพยายามควบคุมต้นทุน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
นอกจากนี้ ผลการประมูลแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอัตราส่วน Bid-to-Cover และอัตราผลตอบแทนสุดท้าย ยังเปรียบเสมือน "สัญญาณ" จากตลาด ที่บ่งบอกถึงความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ ณ ระดับราคาปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจวางแผนการออกพันธบัตรในครั้งต่อๆ ไปอีกด้วยค่ะ
🔎 ชีพจรตลาด: มุมมองผู้เชี่ยวชาญ
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญในตลาดการเงินต่างจับตามองสถานการณ์หนี้ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และมีมุมมองที่น่าสนใจดังนี้ค่ะ
✅ ยอมรับความท้าทายในการรีไฟแนนซ์: ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าการรีไฟแนนซ์หนี้จำนวนมหาศาล ในภาวะดอกเบี้ยสูงถือเป็นความท้าทายสำคัญ ขนาดของหนี้ที่ครบกำหนดทำให้ระบบการคลังมีความอ่อนไหวต่อระดับอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น แม้จะยังไม่มีความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ แต่ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
2
✅ ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายคือปัจจัยเสี่ยงหลัก: ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งคือ "ความไม่แน่นอน" ของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายภาษีนำเข้า การตัดสินใจเกี่ยวกับภาษี (เช่น การต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีจาก Tax Cuts and Jobs Act ที่จะหมดอายุ) และทิศทางการคลังโดยรวม
1
ความไม่แน่นอนเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงในตัวเอง ที่สามารถส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และสร้างความผันผวนในตลาดการเงินได้ค่ะ
1
✅ มุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตร: ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yields) ค่อนข้างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง หรือเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด มากกว่าที่จะกลับไปสู่ระดับต่ำเหมือนช่วงก่อนเกิดโรคระบาด
1
ปัจจัยสนับสนุนมุมมองนี้คือ เงินเฟ้อที่ยังคงเหนียวหนึบ, การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง, ความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย/ภาษีนำเข้า และค่าชดเชยความเสี่ยง (Term Premium) ที่อาจสูงขึ้น
บางส่วนมองว่ายังมีโอกาสที่ Yields จะปรับตัวสูงขึ้นได้อีก แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย แต่จังหวะและความเร็วในการลดยังคงเป็นที่ถกเถียง และขึ้นอยู่กับข้อมูลเงินเฟ้อ/การเติบโต รวมถึงความเสี่ยงจากนโยบายต่างๆ
✅ แนวโน้มเศรษฐกิจ: โดยทั่วไปคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2024 อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แต่ก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะหากมีการใช้มาตรการภาษีนำเข้าที่รุนแรง ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนชี้ว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อาจส่งผลให้เงินเฟ้อและหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นกว่าแนวทางอื่น
✅ แยกแยะความเสี่ยง: ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำความสำคัญของการแยกแยะระหว่าง "ความท้าทายในการรีไฟแนนซ์" กับ "ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้" (Default Risk) ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลกู้ยืมในสกุลเงินของตนเองและไม่เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้
ความเสี่ยงที่แท้จริงที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญคือ ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นซึ่งกระทบงบประมาณ, ความผันผวนของตลาดที่เกิดจากการเผชิญหน้าทางการเมือง (เช่น เรื่องเพดานหนี้) และผลกระทบต่อนโยบายต่อเงินเฟ้อและการเติบโต
⚠️ ทฤษฎีสมคบคิดปะทะความจริง: “จัดฉากเศรษฐกิจถดถอย”
กลับมาที่ทฤษฎีสมคบคิดที่กล่าวหาว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจจงใจสร้างภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำ เพื่อกดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้ต่ำลงก่อนการรีไฟแนนซ์หนี้ก้อนใหญ่
1
โดยอ้างว่ากลไกคือ การทำให้คนตื่นตระหนกเทขายหุ้น แล้วหันไปซื้อพันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน ส่งผลให้ราคาพันธบัตรสูงขึ้นและอัตราผลตอบแทน (Yield) ลดลง แม้จะฟังดูเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อนและขาดหลักฐานสนับสนุนหลายประการ เช่น
1️⃣ ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง (Fed Independence)
เฟดดำเนินนโยบายการเงินโดยเป็นอิสระจากทำเนียบขาวและสภาคองเกรส มีพันธกิจหลักคือการรักษาเสถียรภาพราคา (เงินเฟ้อเป้าหมาย 2%) และการจ้างงานสูงสุด
ทำให้การจงใจสร้างภาวะถดถอยจะขัดแย้งโดยตรงกับเป้าหมายด้านการจ้างงาน และเสี่ยงต่อผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรง โดยปกติเฟดจะ "ลด" อัตราดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเพื่อ "กระตุ้น" เศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นคนทำให้แย่ลง
2️⃣ ความไม่แม่นยำของการควบคุมเศรษฐกิจ
การสร้างภาวะถดถอยไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการกดปุ่ม ระบบเศรษฐกิจมีความซับซ้อนสูง ผลกระทบของนโยบายต่างๆ (เช่น ภาษีนำเข้า หรือการปรับดอกเบี้ย) ทั้งขนาดและจังหวะเวลายากที่จะคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
1
ทำให้การพยายามสร้าง "การชะลอตัวแบบควบคุมได้" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ (Yield ต่ำลง) โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและการเมืองมากเกินไปนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แถมยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลลัพธ์ที่รุนแรงเกินคาด (ถดถอยลึก) หรือไม่ได้ผลตามที่ต้องการ (Yield ไม่ลด)
3️⃣ คำอธิบายอื่นที่เป็นไปได้มากกว่า (Alternative Explanations)
ความผันผวนของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนล่าสุด สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลอื่นที่มีน้ำหนักและหลักฐานรองรับมากกว่า โดยไม่จำเป็นต้องอ้างทฤษฎีสมคบคิด เช่น
👉🏻 ข้อมูลเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าคาด
👉🏻 ความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย
👉🏻 ปฏิกิริยาปกติของตลาดที่นักลงทุนจะเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย (เช่น พันธบัตร) เมื่อเกิดความกังวลในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นกลไกตลาดโดยทั่วไป
👉🏻 ปัจจัยภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อของนักลงทุนต่างชาติ หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
👉🏻 ข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัว ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนในอนาคตจะลดลงตามธรรมชาติ
4️⃣ พลวัตของอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Dynamics)
แม้ภาวะถดถอยมักทำให้อัตราผลตอบแทน "ระยะยาว" ลดลง แต่ความสัมพันธ์ไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป บางครั้งเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) จะกลับทิศทาง (Inverted - ดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว) "ก่อน" เกิดภาวะถดถอย เพื่อสะท้อนการคาดการณ์ของตลาด
2
แถมเฟดควบคุมดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นหลัก การจะควบคุมอัตราผลตอบแทนทั้งเส้นกราฟให้ได้ตามต้องการเป็นเรื่องยาก และการรีไฟแนนซ์หนี้ให้ได้ประโยชน์จริง ต้องอาศัยอัตราผลตอบแทน "ระยะยาว" ที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การลดลงแค่ชั่ววูบ
5️⃣ ความเสียหายและต้นทุนทางการเมือง (Collateral Damage & Political Risk)
การจงใจสร้างภาวะถดถอยจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนหลายล้านคน ทั้งการตกงานและความมั่งคั่งที่ลดลงจากตลาดหุ้น ซึ่งจะทำลายคะแนนนิยมของรัฐบาลอย่างมหาศาล และอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั่วโลกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสถานะของเงินดอลลาร์
ผลประโยชน์ที่อาจได้จากการรีไฟแนนซ์ที่ต้นทุนถูกลงเล็กน้อย ดูไม่คุ้มค่าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและความเสียหายเหล่านี้
🎯 โดยสรุป แม้ความท้าทายในการรีไฟแนนซ์หนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่ทฤษฎี "จัดฉากเศรษฐกิจถดถอย" ยังขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และมีคำอธิบายอื่นที่สมเหตุสมผลกว่าสำหรับปรากฏการณ์ในตลาด
ทฤษฎีนี้อาจได้รับความสนใจเพราะมันให้คำอธิบายที่ "ง่าย" สำหรับปัญหาที่ซับซ้อนและน่ากังวล (หนี้สูง ดอกเบี้ยแพง ตลาดผันผวน) ซึ่งเข้าใจง่ายกว่าการอธิบายปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเงินเฟ้อ กระแสเงินทุนโลก นโยบายการคลัง และการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง
2
นอกจากนี้ ทฤษฎีนี้ยังมักประเมินอำนาจควบคุมโดยตรงที่ฝ่ายบริหารมีต่อเฟด และความสามารถในการควบคุมผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจสูงเกินไป โดยมองข้ามความเป็นอิสระของสถาบันและข้อจำกัดต่างๆ
🎯 สรุปสำหรับนักลงทุน: เตรียมรับมือความเสี่ยงรีไฟแนนซ์ (ไม่ใช่ล้มละลาย)
เมื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมดแล้ว ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจคือ
📌 แยกแยะความเสี่ยง “รีไฟแนนซ์ ไม่ใช่ ล้มละลาย”
1
ความเสี่ยงหลักที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญคือ ความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ (Refinancing Risk) ซึ่งหมายถึงความท้าทายและต้นทุนที่สูงขึ้นในการกู้ยืมเงินใหม่เพื่อชำระคืนหนี้เก่าที่ครบกำหนด
ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่องบประมาณของสหรัฐฯ ผ่านภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และสามารถสร้างความผันผวนในตลาดการเงินได้ แต่นี่ ไม่ใช่ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk)
1
รัฐบาลสหรัฐฯ กู้ยืมในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตนเองสามารถพิมพ์ได้ (แม้การพิมพ์มากเกินไปจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ) และไม่เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นการผิดนัดชำระหนี้จะเป็นหายนะที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นเอง และมีผลกระทบรุนแรงทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้
1
💡ข้อคิดส่งท้าย
สถานการณ์หนี้ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นและพลวัตทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การจับตามองอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ความกลัวเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ หรือทฤษฎีเรื่องการจงใจสร้างภาวะถดถอยนั้น ดูเหมือนจะไม่มีมูลความจริงจากหลักฐานที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน
1
สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญคือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง นั่นคือความผันผวนของตลาดที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูลเศรษฐกิจ นโยบายของเฟด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความไม่แน่นอนทางการเมือง"
การตัดสินใจทางการเมืองในวอชิงตัน ดี.ซี. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพดานหนี้ หรือนโยบายภาษี มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดที่สำคัญไม่แพ้ข้อมูลเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมในปี 2025
ขณะที่คลื่นการรีไฟแนนซ์ในปี 2025 เป็นจุดสนใจเฉพาะหน้า แต่ปัญหาพื้นฐานที่แท้จริงคือแนวโน้มหนี้และการขาดดุลในระยะยาวของสหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมสูงวัย (กระทบต่อค่าใช้จ่ายประกันสังคมและ Medicare) และความไม่สมดุลระหว่างรายจ่ายและรายรับของรัฐบาล
สถานการณ์ปัจจุบันเพียงแค่ตอกย้ำถึง "ผลลัพธ์" ของแนวโน้มระยะยาวเหล่านี้ เมื่อต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การรับมือกับการรีไฟแนนซ์ในปี 2025 จึงไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาการคลังระยะยาวโดยพื้นฐาน
ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ เข้าใจปัจจัยขับเคลื่อนที่แท้จริง และรักษาแนวทางการลงทุนระยะยาวที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง ยังคงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนในการรับมือกับสภาวะตลาดที่ท้าทายเช่นนี้ค่ะ
โฆษณา