20 เม.ย. เวลา 13:09 • ศิลปะ & ออกแบบ

'Chuck Taylor Converse All Star' รองเท้าผ้าใบไม่มีวันตาย !

ถ้าจะให้พูดถึงรองเท้าผ้าใบคู่แรก (ที่ไม่ใช่รองเท้านักเรียน 🤣) ในยุคที่เทรนด์การใส่สนีคเกอร์ในชีวิตประจำวันยังไม่เข้ามา เชื่อว่ารองเท้าคู่นั้นของใครหลายคนก็คงหนีไม่พ้นรองเท้า 'CONVERSE' รองเท้าหัวยาง พื้นยาง มีตรารูปดาวอยู่ตรงข้อเท้า
แม้ว่าวันเวลา และเทรนด์ต่างๆ จะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่รองเท้าคู่นี้ก็ยังมีคนใส่อยู่ไม่หายไป และหากสังเกตให้ดีบนโลโก้ที่ข้อเท้า หรือที่พื้นรองเท้าเราก็จะพบชื่อ Chuck Taylor คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของรองเท้า Converse ผู้ที่ทำให้รองเท้าผ้าใบนี้คงอยู่มายาวนานมากกว่า 100 ปี
ในวันนี้ Art of จะขอเล่าเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของผลงานการออกแบบรองเท้าผ้าใบพื้นยางรุ่นบุกเบิกที่ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกาลเวลาอันยาวนานมากกว่าศตวรรษ รองเท้าผ้าใบที่จะฆ่ายังไงก็ไม่ตายอย่าง “Chuck Taylor All Star” ผลงานการออกแบบประจำตัวอักษร C ในซีรี่ย์ Design A – Z กันเลย
รองเท้าที่ถูกพัฒนาโดยผู้ใช้จริง เริ่มต้นจากวงการบาส
Converse Chuck Taylor หรือ Converse All Star ถูกออกแบบในปี 1922 เป็นผลงานการพัฒนาต่อยอดจากรองเท้าบาสเก็ตบอลของ Converse รุ่นปี 1917 โดย Chuck Taylor อดีตนักบาสเก็ตบอลสังกัดทีม Akron Firestone Non-Skids จากรัฐ Ohio
หนึ่งในทีมบาสเก็ตบอลยุคบุกเบิกของ NBL National Basketball League (ภายหลังถูกรวมเข้าเป็น NBA National Basketball Association) ที่ได้ผันตัวมาทำงานด้านการขายให้กับ Converse ซึ่งในยุคแรกนั้นรองเท้า Converse ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นรองเท้าสำหรับบาสเก็ตบอลอย่างจริงจัง ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์แบบที่เรารู้จัก
ด้วยความที่ชัคเคยเป็นอดีตนักบาสเก็ตบอล เขาจึงรู้ว่ารองเท้านี้ยังขาดอะไรจากประสบการณ์การเป็นผู้ใช้จริง .
ว่ากันว่าเขาใส่ Non-Skid รองเท้าบาสรุ่นแรกจาก Converse มาตั้งแต่ปี 1918 โดยเป็นรองเท้าพื้นยางหุ้มผ้าสีน้ำตาลเดินขอบด้วยเส้นสีดำ
ซึ่งชัคได้ทำการออกแบบให้ตัวรองเท้ามีความยืดหยุ่น และแข็งแรงคงทน เพื่อให้รองเท้าคู่นี้เหมาะสมกับการเล่นบาสเก็ตบอลมากที่สุด
กำเนิด Chuck Taylor All Star รองเท้า Endorsement คู่แรกของโลก
ชัคได้เสริมความแข็งแรงด้านข้างของรองเท้าโดยเฉพาะด้านในเท้าเพราะกีฬาบาสเก็ตบอลมีการเคลื่อนไหวรอบทิศทาง ทั้งซ้าย ขวา กระโดด และหมุนตัว
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มแผ่นป้องกันที่ข้อเท้าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของนักกีฬา ในส่วนพื้นรองเท้าเขาก็เลือกที่จะเก็บหน้าตาของดอกยางลายเพชรเอาไว้ (ลายแบบที่ยังเห็นกันในปัจจุบันเนี่ยแหละ) เพราะมันทำให้ผู้เล่นหยุด และเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วในสนาม
นอกเหนือไปจากการพัฒนาลักษณะทางกายภาพของรองเท้าแล้ว ชัคก็ได้ขอเปลี่ยนโลโก้ตรงแผ่นป้องกันข้อเท้า จากตัวอักษร C แบบเดิมมาเป็น All Star โลโก้รูปดาวแบบที่เราคุ้นตาเพื่อเพิ่มความโดดเด่น และแสดงถึงคุณภาพที่เป็นเลิศ
ก่อนที่หลังจากนั้นในปี 1934 ลายเซ็นของชัคจะถูกเพิ่มลงไปบนโลโก้ จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Chuck Taylor All Star” และเป็นรองเท้าคู่แรกของโลกที่มีชื่อเรียกรุ่นตามนักกีฬาที่ให้การรับรอง (เหมือน Nike Air Jordan ในเวลาต่อมา)
ขาว-แดง-น้ำเงิน ก้าวสู่การเป็นรองเท้าบาสประจำชาติ
สาเหตุที่ Converse เพิ่มชื่อของชัคลงไปบนโลโก้ก็มาจากการทำงานหนัก และแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของเขาที่ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างก้าวกระโดด ชัคใช้ชีวิตหลายปีในโรงแรมพร้อมกับรองเท้าเต็มท้ายรถ เขาเดินทางไปทั่วอเมริกาจัดทำคลีนิกสอนบาสเก็ตบอลฟรีตามโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ร่วมกับขายรองเท้าไปด้วย
หลังจากนั้นเขาได้ก่อตั้งทีมบาสเก็ตบอล Converse All Star ที่ร่วมเดินทางไปกับเขาเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าจากการแข่งขันกับทีมท้องถิ่น และเก็บข้อมูลจากการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่าย และผู้ใช้อย่างใกล้ชิดในแต่ละพื้นที่ นอกจากนั้นเขายังได้จัดทำนิตยสารรายปีเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลเพื่อประชาสัมพันธ์กีฬาชนิดนี้ให้กว้างขวาง และเสริมภาพลักษณ์ของ แบรนด์แฝงไปด้วย
จากความมุ่งมั่น ตั้งใจของชัคนี้เองทำให้ Converse ได้กลายเป็นรองเท้าบาสแห่งชาติอย่างแท้จริง ในปี 1936 เมื่อบาสเก็ตบอลได้ถูกบรรจุเป็นกีฬาในโอลิมปิก Chuck Taylor All Star ได้ถูกเลือกให้เป็นรองเท้าประจำทีมชาติ โดยเขาได้ออกแบบรองเท้ารุ่น High-Top สีขาวที่เดินเส้นเป็นสีแดง และน้ำเงินแทนที่เส้นสีดำในรุ่นปกติ
ซึ่ง Converse เป็นรองเท้าบาสประจำชาติอเมริกาจนถึงปี 1968 เลยทีเดียว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ในรุ่นคลาสสิคทุกวันนี้เราจะเห็นเป็นรุ่นเดินเส้นสีดำล้วน กับ แดง-น้ำเงินนั่นเอง
#เกร็ดเพิ่มเติม
นอกจากรองเท้าแล้วชัคยังได้พัฒนาอีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวงการบาสเก็ตบอลครั้งใหญ่นั่นก็คือ การสร้าง “ลูกบาสแบบไร้ตะเข็บ” ขึ้นมาในปี 1935 โดยใช้การติดกาวไปบนลูกโดยตรงเลย ทำให้ผู้เล่นควบคุมลูกบาสได้ง่ายขึ้น และตอบสนองการเด้งกลับไปมาจากมือถึงพื้นได้ดีกว่าเดิม เจ้าเส้นสีดำที่เราเห็นบนลูกบาสทุกวันนี้นั้นในสมัยก่อนก็คือตำแหน่งเดินเส้นเย็บแผ่นหนังแต่ละแผ่นบนลูกบาสนั่นเอง
เปิดตัว Converse All Star Low-Cut การแผ่ขยายความนิยมไปสู่นอกสนาม
Converse Chuck Taylor มีบทบาทอีกมากมายในประวัติศาสตร์อเมริกาทั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รองเท้า Converse ได้ถูกเลือกให้เป็นรองเท้าสำหรับฝึกในกองทัพสหรัฐ และหลังจากสงครามที่กลายเป็นรองเท้ามาตรฐานในหมู่ผู้เล่นบาสเก็ตบอลตั้งแต่ระดับมัธยม ไปจนถึงอาชีพ
เรียกได้ว่าในยุค 60 Converse ครองส่วนแบ่งตลาดรองเท้าบาสถึง 70-80% โดย Chuck Taylor All Star เป็นรองเท้าที่นักบาสระดับมหาวิทยาลัย และอาชีพเลือกใช้ถึง 90% บริษัทจึงขยายกิจการและเปิดโรงงานผลิตมากขึ้นหลายต่อหลายแห่ง
ในปี 1949 Converse ได้ปล่อย All Star ข้อสั้นแบบ Oxford สีขาว-ดำ ตามคำแนะนำของผู้เล่น และโค้ชที่ต้องการรองเท้าที่ช่วยให้เคลื่อนไหวได้เป็นอิสระมากขึ้น
แต่หลังจากนั้นมาวงการรองเท้าบาสก็ได้เริ่มเปลี่ยนไป การมาของเทคโนโลยีต่างๆ และความต้องการรองเท้าบาสที่ทำจากหนัง ทำให้ Chuck Taylor ที่ทำมาจากผ้าค่อยๆ ลดลงจากสนาม แต่ภายนอกสนามนั้นกลับตรงกันข้ามโดยเฉพาะรุ่นข้อต่ำที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนทั่วไป
เกือบหลับแต่กลับมาได้ รองเท้าในตำนานที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย
แต่หลังจากนั้นในช่วง 70 Converse ก็เริ่มประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาด และความนิยมในหมู่นักกีฬาที่ลดลง โดยนักกีฬาส่วนใหญ่หันมาใช้รองเท้าหนังบนพื้นยางที่แข็งกว่า ซึ่งในปี 1980 คือปีสุดท้ายที่มีผู้เล่น NBA ที่ใช้รุ่น Chuck Taylor All Star แบบผ้าใบตลอดฤดูกาล
ถึงแม้ว่าประตูฝั่งกีฬาอาชีพจะปิดลง แต่ประตูบานใหม่ของการเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์ที่ใส่ในชีวิตประจำวันก็ได้เปิดออก Chuck Taylor All-Stars กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงปี 80-90
โดยเป็นตัวเลือกรองเท้าของกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีความชอบที่แตกต่างจากสังคมโดยเฉพาะในหมู่ศิลปิน และนักดนตรี กลายเป็นลักษณะเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มหัวขบถ และเหล่าคนที่แปลกแยก
ซึ่งคนมีชื่อเสียงที่ใส่ Chuck Taylor จนกลายเป็นภาพจำในยุคนั้นก็คือ James Dean, Elvis Presley นักร้อง นักแสดง และ Kurt Cobain นักร้องนำวง Nirvana
สานต่อตำนานภายใต้ร่มของ Nike
จนมาถึงปี 2000 Converse All Star ขายไปมากกว่า 600 ล้านคู่ตลอดระยะเวลา 80 ปี แต่ถึงแม้ว่าในจะเคยเป็นอดีตตำนานรองเท้าบาสแห่งยุค 20 – 70 ด้วยคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้น การตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาด และการขาดเงินสนับสนุนทำให้ Converse ต้องตัดสินใจยื่นล้มละลาย
จนในปี 2003 Nike ก็เข้ามาซื้อกิจการในราคาประมาณ 305 ล้านดอลลาร์ และดำเนินการผลิต Chuck Taylor All Star ซึ่งย้ายฐานการผลิตไปที่จีน อินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซียแทน
ทำไม Converse Japan ถึงไม่เหมือนที่อื่น ?
อย่างไรก็ตาม Converse Japan นั้นไม่ได้อยู่ใต้สังกัดของ Nike เหมือนที่อื่น ย้อนกลับไปในช่วงปี 80 Converse ได้ทำสัญญาผลิตกับบริษัทในญี่ปุ่น และเมื่อมีการประกาศล้มละลายในปี 2001 Converse USA ในญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นบริษัทแยกก็ได้ถูกซื้อสิทธิ์ในการผลิต และจำหน่าย Converse ในญี่ปุ่นโดย ITOCHU Corporation บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอมาอย่างยาวนาน
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Converse ของญี่ปุ่นนั้นจึงมีรุ่น วัสดุ และคุณภาพที่แตกต่าง แล้วว่ากันว่า Chuck Taylor All Star ที่ผลิตในญี่ปุ่นนั้นมีความใกล้เคียงกับแบบดั้งเดิมมากกว่า Converse ที่ถูกซื้อไปโดย Nike เสียอีก
รองเท้าทรงอิทธิพลที่อยู่เหนือกาลเวลา
หลังจากที่ถูกขายให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike ได้ซักพักก็เกิดกระแสของ Pop Culture และสเก็ตบอร์ดขึ้น ทีมการตลาดของ Nike ก็ได้ใช้จุดแข็งเรื่องประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และบทบาทของ Converse ที่มีผลต่อวงการศิลปะ และดนตรีมาสร้างสรรค์แคมเปญการตลาด
ส่งผลให้ Chuck Taylor กลับมาอยู่ในกระแสได้สำเร็จ โดยทำยอดขายแค่ในปี 2012 สูงถึง 450 ล้านดอลลาร์ หรือขายได้หนึ่งคู่ทุก 43 วินาทีเลยทีเดียว
อิทธิพลของ Chuck Taylor All Star นั้นไม่เหมือนกับรองเท้าคู่อื่นๆ ด้วยประวัติศาสตร์ และหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าจะเพศอะไร อายุเท่าไหร่ หรือจะแต่งตัวแบบไหน รองเท้าคู่นี้ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้โดยคงความดั้งเดิมเอาไว้
ทำให้ในปี 2013 Converse ได้ปล่อย Chuck Taylor All Star '70 ออกมาเพื่อตอกย้ำความเป็น Original ซึ่งยึดการออกแบบตามรุ่นที่ผลิตในช่วงยุค 60-70 ผ้าหนา พื้นยางหนาชิ้นเดียว (รุ่นใหม่เป็น 3 ชิ้นประกบ) ยางหัวรองเท้าเล็ก ปิดส้นเท้าด้วยแผ่นสีดำ (ของใหม่เป็นสีขาว) และเย็บวัสดุพิเศษด้านในช่วงหัวรองเท้าเพิ่มเพื่อความแข็งแรง
ไม่ยอมแพ้ และไม่หยุดพัฒนา ยกเครื่องใหม่ภายใต้ความคลาสสิค
ในปี 2015 Converse ได้ปล่อย Chuck Taylor All Star II ซึ่งเป็นการยกเครื่องใหม่เกือบทั้งหมด ผ้าหนาขึ้น พื้นหนาขึ้น ซึ่งภาพรวมฟังดูเหมือนรุ่น 70 แต่ว่าจริงๆ แล้วมีเทคโนโลยี และรายละเอียดที่เปลี่ยนไปหลายอย่าง
เช่น เพิ่มยางยืดที่ต้นลิ้นรองเท้าเพื่อให้ดึงได้ง่ายขึ้น และไม่ปลิ้นออกไปซ้ายขวา ใช้พื้นข้างในเป็น Lunarlon แบบ Nike แผ่นแปะตรงข้อเท้าเปลี่ยนเป็นแบบปัก และมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นอื่นอย่างมาก
Chuck Taylor II ควรจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Converse แต่มันก็ไม่ได้กระแสตอบรับที่ดีนัก จนในท้ายที่สุดก็เลิกผลิตไปหลังจากปล่อยไปได้ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม Converse ก็ไม่ยอมแพ้และปล่อย Converse Modern ในปี 2016 โดยคราวนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยิ่งกว่าโดยเก็บแค่ภาพรวมของ Chuck Taylor ไว้ แต่เปลี่ยนวัสดุไปเลย เช่น การใช้หนังแบบรองเท้าหนัง หรือ การเอาปลายหัวรองเท้ายาง และรูร้อยเชือกโลหะออกไปเลย ไปจนถึงใช้เทคโนโลยี Nike แบบจัดเต็ม ทั้งการใช้ Knit และใช้พื้นโฟมแบบ Air Jordans
ถึงแม้ว่า Chuck Taylor All Star อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนเมื่อก่อน แต่นี่ก็เป็นเป็นผลงานชิ้นสำคัญอีกชิ้นที่ได้รับการพิสูจน์ผ่านกาลเวลามามากกว่าร้อยปี เป็นรองเท้าที่ใส่เข้ากับการแต่งตัวได้แทบทุกสไตล์ เป็นความเรียบง่ายที่ไม่เคยล้าสมัย และยังคงส่งต่อความคลาสสิคแบบที่ไม่มีรองเท้าคู่ไหนทำได้จนมาถึงทุกวันนี้
โฆษณา