22 เม.ย. เวลา 11:35 • กีฬา

ความรุ่งโรจน์ จุดตกต่ำ และการกลับมาของลิเวอร์พูล

ถ้าจะให้พูดถึงวัฏจักรของทีมลิเวอร์พูล ประวัตินั้นยาวนานมาก ก็แหงซินะเพราะทีมก่อตั้งมาตั้งแต่ปี คศ. 1892 นี่ก็ร่วม 133 ปีแล้วหละครับ ฮาๆ
ลิเวอร์พูลผ่านยุครุ่งโรจน์ ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาแบบเกือบจะหลับแต่กลับมาได้ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ผมที่ติดตามลิเวอร์พูลมาร่วม 30 ปี เลยจะขอพูดถึงความเป็นมาของทีมรัก ตั้งแต่ยุคปลายของความรุ่งโรจน์ จนถึง ปัจจุบัน (ประมาณยุค 90 จนถึงปัจจุบัน) แบบสรุปให้เข้าใจง่าย ในฐานะ The Kop คนนึงครับผม
หากข้อมูลตรงไหนผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าก่อนเลยนะครับ : ))
เริ่มจากยุคของ King Kenny Dalglish (1990-1991): จะนับว่าเป็น ”ยุคทองช่วงสุดท้าย” ก็ว่าได้
ยุคของ Dalglish ถือเป็นยุคทองของลิเวอร์พูลยุคนึงเลยก็ว่าได้ ถ้าจะให้พูดถึงยุคนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักยอดกองหน้าในตำนานอย่าง Ian Rush และสุดยอดปีกจอมพริ้วในตำนานอย่าง John Barnes
ต้องบอกว่าเป็นยุคที่ลิเวอร์พูลเล่นบอลสวยงามและดุดันมาก มั่นใจว่าต้องมีแฟนหงส์หลายคนตกหลุมรักลิเวอร์พูลเริ่มจากยุคนี้ไม่มากก็น้อยแน่นอน
ความสำเร็จในยุคนั้น ก็คือการคว้าแชมป์ลีกปี 1990 (ตอนนั้นยังเป็น First Division) และเป็นแชมป์ครั้งสุดท้ายของลิเวอร์พูลก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Premier League
แต่สุดท้ายงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ด้วยปัญหานอกสนามและความกดดันหลายๆอย่าง ทำให้ทาง Dalglish ตัดสินใจลาออกอย่างกะทันหัน จนนำไปสู่การเริ่มต้นสู่การเสื่อมถอยนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน ยุคนั้นลิเวอร์พูลเองยังถือว่ายิ่งใหญ่เหนือยอดทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ แต่หารู้ไม่ว่าตอนนั้นทาง Sir Alex Ferguson กำลังเริ่มปรับจูนและสร้างทีมปีศาจแดงขึ้นมาอย่างเงียบๆ
Kenny Dalglish
ต่อด้วยยุคของ Graeme Souness (1991-1994): "อดีตกัปตันฮีโร่แต่ทำทีมล้มเหลว"
เข้ามาคุมทีมได้ 3 ฤดูกาล อันดับดีที่สุดคือจบที่อันดับ 6 ของตารางเท่านั้น จะมีแต่เพียงถ้วยแชมป์ปลอบใจอยู่ใบเดียว ก็คือแชมป์ FA Cup ปี 1992 เท่านั้น
แต่ยุคนี้ก็ทำให้เราได้รู้จักกับปีกดาวรุ่งตัวจี๊ดสุดพริ้ว อย่าง Steve McManaman และ Jamie Redknapp ดาวรุ่งมิดฟิลด์หนุ่มอีกคนที่กำลังเริ่มฉายแววมากขึ้นเรื่อยๆ ประสานงานกับ Ian Rush ที่ยังพอฝากความหวังได้ แต่ก็ด้วยวัยที่โรยราทำให้ไม่ได้ยิงเปรี้ยงปร้างเหมือนแต่ก่อน
ความโชคร้ายยิ่งไปกว่านั้น ตัว Souness เองก็มีโรคลุมเล้าเป็นโรคเส้นเลือดตีบ ทำให้ต้องผ่าตัด Bypass หัวใจ ทำให้ไม่มีผู้จัดการทีมในตอนนั้น ส่งผลให้ฟอร์มทีมตกฮวบลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมในท้ายที่สุด
และยุคนี้เองที่ทางปีศาจแดง ได้เริ่มต้นยุคทองอย่างเต็มตัว โดยการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในปี 1993 และเป็นจุดเริ่มต้นของการครองความยิ่งใหญ่ในเกาะอังกฤษ
Graeme Souness
ยุค Roy Evans (1994-1998): “เริ่มเข้าที่เข้าทาง”
ยุคนี้เป็นยุคที่ผมเริ่มหลงรักลิเวอร์พูล และเป็นเด็กหงส์เต็มตัวนั่นเอง ผมมีเขียนบทความ “คืนแรกที่ผมเริ่มรักลิเวอร์พูล” ไว้อยู่ ไปติดตามอ่านกันได้นะครับ :))
และแน่นอนยุคนี้ ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือสุดยอดกองหน้าอย่าง Robbie Fowler กองหน้าจอมถล่มประตู ที่มีฉายาว่า "God" ยิงเป็นเข้าจริงๆ และปีกตัวเก่งอย่าง Steve McManaman ร่วมกันในเกมรุก ทำให้เป็นยุคนึงที่ลิเวอร์พูลมีเกมส์บุกที่มันส์มากๆยุคนึงเลยก็ว่าได้
Roy Evans
โดยรวมลิเวอร์พูลถือว่าทีมเริ่มดีขึ้น เริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่ก็ยังไปไม่สุด เพราะกองหน้ายิงได้เยอะจริง แต่กองหลังอ่อนปวกเปียกมาก เลยทำให้ในช่วง 4 ฤดูกาลที่คุมทีม จบที่อันดับดีที่สุดคืออันดับ 3 ของตารางเท่านั้น
ในยุคนี้เอง ทีมปีศาจแดงสามารถครองแชมป์ลีกและคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1996 และ 1997 ตอนนั้นต้องยอมรับเลยว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นยอดทีมของยุโรปไปแล้วจริงๆ และสามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ในปี 1998/1999 อีกด้วย
Robbie Fowler and Steve McManaman
ยุค Gérard Houllier (1998-2004): "สมดุลทีมกลับมายอดเยี่ยม"
ทีมเริ่มกลับมามีสมดุลมากขึ้น และถ้าจะให้พูดถึงความสำเร็จของผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสผู้นี้ คงเป็นการคว้าทริปเปิลแชมป์ถ้วยเล็กอย่าง League cup , FA cup , Europa cup (ในปัจจุบัน ) ได้ทั้งหมดในปี 2001
และทำให้ทั้งโลกรู้จักกับ The Golden Boy อย่าง Michael Owen เจ้าของรางวัล Ballon d'Or ในปี 2001
และสุดยอดมิดฟิลด์ที่เป็นตำนานไปแล้วอย่าง Steven Gerrard
Michael Owen and Steven Gerrard
โดย Houllier ทำทีมอยู่ยาวนานถึง 6 ฤดูกาลด้วยกัน และทำได้ใกล้เคียงแชมป์ที่สุดคือในปี 2001/02 ที่ได้อันดับ 2 ของตาราง โดยในปีนั้นเป็นทางปืนใหญ่อาร์เซน่อล ที่คว้าแชมป์ไปครอง
Gérard Houllier
ยุค Rafael Benítez (2004-2010): "ค่ำคืนมหัศจรรย์แห่งอิสตันบูล"
ยอดผู้จัดการทีมชาวสเปน เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลที่แฟนหงส์ส่วนใหญ่จะจดจำได้ เนื่องจากเหตุการณ์ค่ำคืนสุดมหัศจรรย์ที่อิสตันบูลนั่นเอง
เบนิเตซพาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ Uefa Champions League สมัยที่ 5 ในปี 2005 ที่ Istanbul แบบที่ อ้ายบ่อยากจะเชื่อสายตา ว่าเรื่องนี้ซิเป็นความจริง ฮาๆ
จบครึ่งแรกนี่แทบจะปิดทีวีนอนกันหมดแล้วสำหรับแฟนหงส์ เพราะตามหลังทีม AC Milan ที่แข็งแกร่งเหลือเกินในตอนนั้น ถึง 3-0 ในครึ่งแรก และรูปเกมส์ดูแล้วไม่มีทีท่าจะกลับมาได้เลย แต่ทว่าทีมหงส์แดงก็ค่อยๆไล่ตามมาจนตีเสมอได้สำเร็จ แถมในช่วงต่อเวลา Dudek ยังเซฟลูกยิงจ่อๆของเชฟเชนโก้ได้แบบ โอ้โห อะไรกันครับเนี่ย แถมพี่ Dudek ยังโชว์ฟอร์มขาพริ้ว เซฟจุดโทษพาทีมคว้าแชมป์ได้แบบปาฏิหารย์สุดๆ เป็นหนึ่งในแมตซ์ที่แฟนลิเวอร์พูลทุกคนไม่เคยลืมเลือนแน่นอน
Istanbul 2005
พูดถึงนักเตะในยุคของ Benitez ที่โดดเด่นมากๆ ก็คงหนีไม่พ้นยอดกัปตันทีมอย่าง Steven Gerrard ที่เป็นหัวใจของทีมอย่างแท้จริง และศูนย์หน้าสุดหล่ออย่าง Fernando Torres และยอดมิดฟิลด์อย่าง Xabi Alonso จอมทัพแดนกลางที่เป็นผู้ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง
ถ้า Benitez ไม่มีแชมป์ UCL ในปี 2005 นี้ ในช่วง 6 ฤดูกาลที่คุมทีมนี้ก็แทบจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไหร่เลย เพราะทำอันดับในลีกที่ทำได้ดีที่สุดคือปี 2008/09 ที่ได้อันดับ 2 ของตารางเท่านั้น
Rafael Benítez
ยุค Roy Hodgson (2010-2011): "ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ"
เข้าสู่ยุคตกต่ำของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง การเล่นของลิเวอร์พูลไร้ซึ่งจิตวิญญาณ การเล่นไม่เป็นระบบ จนสุดท้ายต้องให้ทาง Kenny Dalglish เข้ามาช่วยเป็นผู้จัดการทีมขัดตาทัพแทน
เป็นปีที่ผมโดนเด็กผีเล่นงานหนักมาก ฮาๆ โดนแซวจนเหนื่อย เพราะฟอร์มของทีมปีศาจแดงก็ยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง และก็สามารถคว้าแชมป์ลีกในปี 2011 นี้อีกด้วย ยุคทองอย่างแท้จริงของพลพรรคปีศาจแดง
และในปีนี้เอง ด้วยผลงานที่ตกต่ำอย่างหนัก ส่งผลให้สถานะการเงินของ Liverpool เริ่มย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤต
Roy Hodgson
ทำให้ทาง Fenway Sports Group (FSG) ได้โอกาสเข้าซื้อกิจการของทีมลิเวอร์พูล (เมื่อปี 2010 ด้วยมูลค่าเพียง 300 ล้านปอนด์เท่านั้น) ซึ่งต้องถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของสโมสรจุดนึงเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ทีมต้องเผชิญปัญหาด้านการเงิน ติดหนี้มหาศาล และการบริหารจัดการอย่างย่ำแย่ในช่วงยุคของเจ้าของเดิมอย่าง George Gillett และ Tom Hicks
Fenway Sports Group (FSG)
ยุค Brendan Rodgers (2012-2015): "เหตุการณ์ลื่น ช็อคโลก”
ใกล้แล้วจริงๆสำหรับแชมป์ลีกในยุคของร็อดเจอร์ แฟนหงส์ทุกคนคงไม่มีใครลืมเหตุการณ์ช็อคโลกวันนั้น ที่ทางสตีเฟน เจอร์ราร์ด ยอดกัปตีนทีมและเป็นหัวใจของลิเวอร์พูล ลื่นล้มในแมตซ์ที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของเชลซี จนเป็นเหตุให้ทาง เดมบา บา ฉวยโอกาสนั้นลากบอลเข้าไปซัดให้ทีมเยือนขึ้นนำ 1-0 ในช่วงท้ายครึ่งแรก ก่อนมาโดนอีกลูกจากวิลเลี่ยนในครึ่งหลัง จบเกมส์จึงแพ้ไปแบบสุดช้ำ 2-0
โดยสถานการณ์ตอนนั้นทางลิเวอร์พูลใกล้ถึงการคว้าแชมป์ลีกมากสุดแล้วจริงๆ โดยเหลืออีกเพียง 3 นัดเท่านั้น ซึ่งหากลิเวอร์พูลทำได้อีก 7 แต้มจาก 3 นัดที่เหลือนี้ก็จะการันตีคว้าแชมป์มาได้ทันที ซึ่งจากการพ่ายแพ้ในนัดนี้ ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกมาแซงคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุดในฤดูกาล 2013/2014 นี้
Steven Gerrard Slipped
ในยุคของร็อดเจอร์ ทำให้เราได้รู้จักกับ หลุย ซัวเรส กองหน้าชาวอุรุกวัย ที่ยิงเป็นเข้า และเป็นกำลังสำคัญจนเกือบพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ
ร็อดเจอร์คุมทีมอยู่ 3 ฤดูกาล และในยุคนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นความรุ่งเรืองของทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เนื่องจากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำ หลังจากการเกษียณของ Sir Alex Ferguson ในปี 2013 นี้เอง
Brendan Rodgers
ยุค Jürgen Klopp (2015-2023): "NEW ERA เริ่มต้นยุคทองอย่างแท้จริง"
ยุคของคลอปป์ ยอมรับว่าเป็นยุคที่ผมชอบที่สุด ก็แหงหละ ยุคทองอะเนอะ ฮาๆ
คล็อปป์คือคนที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมายิ่งใหญ่อย่างแท้จริง จริงๆแล้วผมได้เขียนแนวทางการทำทีมของคล็อปป์ไว้ค่อนข้างละเอียดยิบแล้วในบทความตอน “ทำไมลิเวอร์พูลถึงฟอร์มตกช่วงปลายซีซั่น” อันนี้ก็สามารถไปติดตามอ่านกันอย่างละเอียดได้นะครับ :))
ฟุตบอลแบบ Heavy Metal เป็นการวางรากฐานที่หยั่งลึกอย่างแท้จริงของคล็อปป์ การนำระบบGegenpressing มาใช้ ทำให้ทีมดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับการซื้อนักเตะที่เหมือนยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง อย่าง Salah, Mane, Firmino, Robertson, Fabinho, Van Dijk, และ Alisson ทำให้ทีมกลมกล่อมทั้งเกมส์รุกและเกมส์รับ “สมดุลอย่างสมบูรณ์แบบ” เหมือนที่ธานอสได้กล่าวไว้ ฮาๆ (อันนี้จริงๆต้องให้เครดิต ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ด้วยนะ)
Jürgen Klopp
นอกจากนั้น คล็อปป์ยังมีพลังวิเศษที่สามารถปลุกพลังในตัวเด็กที่ Academy ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Trent Alexander-Arnold ที่กลายเป็นแบ็คที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งในตอนนี้
และแล้วในฤดูกาล 2019/2020 ฝันของชาวหงส์แดงก็เป็นความจริง หลังจากที่เรารอคอยกันมากว่า 30 ปี สำหรับแชมป์ลีก (หลังจากเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ลีก)
นอกจากนั้นยุคทองของคล็อปป์ยังมีแชมป์อีกมากมายนับไม่ถ้วน ที่ลืมไม่ได้เลยก็คือปี 2018/2019 ที่พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ UCL เป็นสมัยที่ 6 มาได้ และแน่นอนการได้แชมป์ UCL ของลิเวอร์พูลจะได้มาง่ายๆแบบโลกไม่จำไม่ได้ มันต้องมีโมเม้นต์ประวัติศาสตร์มาให้จดจำเสมอ อย่างเช่นค่ำคืนที่อิสตันบูลนั่นเอง ฮาๆ
Premier League Champion 2019/2020
แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่รอบชิง แต่เป็นรอบ Semi-Final ที่ทำให้เรารู้จักกับคำว่า “Never Give up”
ก่อนลงสนาม เจอร์เกน คล็อปป์ บอกว่า แม้หลายสิ่งจะไม่อำนวย แต่พวกเขาจะสู้ด้วยหัวใจ หากพวกเขาทำได้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากทำไม่สำเร็จก็ถือเสียว่ามันคือความล้มเหลวที่งดงาม
Salah แม้จะพลาดการลงสนาม แต่เขาก็ส่งข้อความถึงเพื่อนร่วมทีมทุกคน ด้วยการสวมเสื้อที่มีข้อความว่า “Never Give Up” หรือ “อย่ายอมแพ้”
Never Give Up
ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 หลังจากนัดแรกพ่ายแพ้ที่คัมป์นู มาด้วยสกอร์ 3-0 ซึ่งตอนนั้นแทบไม่มีใครคิดว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาได้
ภาพผู้เล่นและสตาฟฟ์ของทีมลิเวอร์พูลยืนรวมกันที่หน้าอัฒจันทร์ฝั่งค็อป เอนด์ และร่วมร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ไปพร้อมกับแฟนบอลของพวกเขา ที่ไม่มีใครลุกออกจากสนามทั้งที่เกมจบลงนานแล้ว เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่งและไม่มีวันลืมเลือน
ช็อตนั้นผมน้ำตาคลอเลยจริงๆนะ วันนั้นผมนอนไม่หลับเลยยันเช้า ฮาๆ มันมีความสุขแบบพิเศษที่จะหาโมเม้นต์ที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุขแบบนี้ไม่ได้บ่อยๆจริงๆ
You’ll Never Walk Alone
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา “แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
คล็อปป์ประกาศ Retire แบบช็อคโลก และช็อคชาว The Kop ทั่วโลก ก่อนหมดสัญญาใน ปี 2026
การส่งต่อจาก คล็อปป์ สู่ อาร์เน่ สล็อต ถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง
วันแรกที่ทราบว่าคนที่จะมาแทนคล็อปป์คือสล็อต ผมยัง ห๊ะ ใครนะ ฮาๆ ยอมรับเลยว่าไม่รู้จักแกมาก่อนเลยจริงๆ แต่ก็เอาหนะ ในเมื่อลิเวอร์พูลเลือกมาแล้ว น่าจะคิดกันอยู่นาน คล็อปป์ก็คงมองเห็นอะไรบางอย่างละมั้ง ตอนนั้นผมว่าแฟนหงส์ทั่วโลกคงคิดคล้ายกันว่า การเปลี่ยนถ่ายยุคแบบนี้ จะตกต่ำลงแบบทีมปีศาจแดงที่ไม่มีเซอร์ อเล็ก หรือเปล่า คำถามต่างๆประดังประดาเข้ามามากมาย คิดแต่เพียงว่าขอให้อย่าตกต่ำมากก็พอ เอาเป็นว่าประคองทีมให้ได้ไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปอย่าง UCL ก็คงดีมากเต็มกลืนแล้ว
Arne Slot
แต่ใครจะคิดหละครับ ว่าตอนนี้ทีมลิเวอร์พูลของเรา ทีมของอาร์เน่ สล็อต กำลังเข้าใกล้คำว่า แชมป์ลีกสมัยที่ 20 แบบใกล้สุดๆ แบบรถแห่พร้อมแล้วตอนนี้ ฮาๆ
เรามาไกลมาจริงๆสำหรับปีนี้ ไกลเกินฝันไปมากแล้ว ใครจะบอกว่าคู่แข่งอย่างแมนซิตี้ปีนี้ฟอร์มตก ทีมใหญ่ทีมอื่นๆก็สะดุดทำแต้มหล่นกันเองไปหมด อะไรก็เป็นใจไปซะทุกอย่าง แบบนี้เรียกว่าดวงดีหรือเปล่า อุตส่าห์เข้ารอบแบ่งกลุ่ม UCL มาเป็นที่หนึ่งมาแบบหล่อๆ เต็งหนึ่งจ๋าๆมาเลยแล้วมาตกรอบซะงั้น บอลถ้วยอื่นๆก็ตกรอบไปหมด แบบนี้เรียกว่าล้มเหลวหรือเปล่า สำหรับผม “ไม่ล้มเหลวครับ”
สำหรับผมแล้วการได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ที่ขับเคี่ยวกันมาทั้งฤดูกาล ต้องต่อกรกับทีมในลีก ที่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แค่บิ๊กโฟว์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทุกทีมแข็งแกร่งกันหมด ไม่สามารถการันตีได้เลยว่านัดไหนเราจะชนะได้อย่างง่ายดาย นี่หละครับมันคือสเน่ห์ของพรีเมียร์ลีก ทีมเล็กสามารถสู้กับทีมใหญ่ได้อย่างสนุก ลีกที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกในตอนนี้ มันยิ่งใหญ่มากเหลือเกินสำหรับผม และ”เพียงพอแล้ว” สำหรับผมจริงๆครับ :))
Premier League Trophy
ตอนได้แชมป์ลีกครั้งที่ผ่านมาดันเป็นช่วงโควิดพอดี ทำให้เหมือนฉลองกันแบบไม่สุดยังไงไม่รู้ เพราะในสนามแฟนบอลก็ยังเข้าไปไม่ได้ บรรยากาศมันก็เลยจะกร่อยๆหน่อย แต่ปีนี้ชาว The Kop จัดเต็มกันที่แอนฟิลด์แน่นอน รวมถึงขบวนรถแห่ฉลองถ้วยแชมป์ในเมืองด้วย ปีนี้ขอฉลองแบบสุดเหวี่ยงทดแทนครั้งที่แล้วไปเลยละกันนะครับ ฮาๆ
ท้ายนี้ผมหวังเหลือเกินว่าต่อจากนี้ไป จะเป็นยุคทองของทีมลิเวอร์พูล ต่อไปอีกยาวๆเลยครับ :))
ถ้าชอบบทความนี้ อย่าลืม Like กด Share และกดติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ :))
You’ll Never Walk Alone
LIVERPOOL TO THE MOON
#liverpooltothemoon #ynwa #nevergiveup
โฆษณา