Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
nothing but movie
•
ติดตาม
23 เม.ย. เวลา 02:36 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หลินชิงเสีย - เติ้งลี่จวิน
สองชีวิต...สองจันทรา
ในวัยเกิน 60 ปี หลิน ชิงเสีย เคยเขียนหนังสือชื่อ เมฆาผันผ่าน Clouds Come and Go เพื่อบันทึกความหลังมากมายที่ไม่เคยเลือนหาย โดยเฉพาะบันทึกความรู้สึกที่เธอทีต่อเพื่อนสนิทที่โด่งดังไม่ยิ่งหย่อนกว่าเธอ หากหลินชิงเสียคือราชินีจอเงิน เพื่อนของเธอก็เปรียบได้กับเทพธิดาแห่งวงการเพลง เมื่อเพื่อนคนนั้นมีชื่อว่า เติ้งหลี่จวิน
หลินชิงเสียบอกว่าวันที่รู้ข่าวการจากไปของเติ้งหลี่จวิน ที่เสียชีวิตที่เชียงใหม่ในปี 1995 เธอร้องไห้หนักมาก เหมือนส่วนหนึ่งของจิตใจได้จากเธอไปด้วย ข้อเขียนของเธอเป็นหมือนการมาเยือนของเพื่อนเก่าที่หวนคืนมา
............
เลือดทหารจากซานตง
ทั้งคู่ล้วนเกิดในครอบครัวทหารที่มีรากเหง้าจากมณฑลซานตง ครอบครัวอพยพหนีคอมมิวนิสต์มาเติบโตบนเกาะไต้หวัน ทั้งคู่เติบโตมาจากชุมชนทหาร และเคยเรียนที่โรงเรียนสตรีจินหลิงเหมือนกัน โดยเติ้งลี่จวินเป็นรุ่นพี่ของหลินชิงเซียเพียงหนึ่งปี แต่ทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันในโรงเรียน
เติ้งลี่จวินแสดงความสามารถด้านดนตรีตั้งแต่เยาว์วัย คว้ารางวัลการแข่งขันร้องเพลงโอเปร่าหวงเหมยเมื่ออายุเพียง 10 ขวบ และออกอัลบั้มแรกในวัย 14 ปี เธอโด่งดังจนทุกคนในโรงเรียนรู้จัก หลินชิงเสียรู้จักชื่อเติ้งลี่จวินแต่ไม่ได้รู้จักตัว
ขณะที่โชคชะตานำพาหลินชิงเสียเข้าวงการมายาตอนอายุ 18 ปี เมื่อถูกแมวมองพบโดยบังเอิญ เธอได้ตั้งใจไปดูการแสดงของเติ้งลี่จวินในโรงละคร และนั่นเองคือช่วงเวลาที่แมวมองได้พบเธอ และพาเธอก้าวเข้าสู่วงการแสดงโดยไม่เคยตั้งใจ
เมื่อทั้งสองได้พบกันอย่างเป็นทางการผ่านคนรู้จักในวงการ ด้วยพื้นเพและประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเธอกลายเป็นเพื่อนสนิทในเวลาอันรวดเร็ว หลินชิงเสียเรียกเติ้งลี่จวินว่า "พี่จวิน"
ความคล้ายคลึงกันนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันของผู้คนที่ผลัดพรากถิ่นเกิดที่ได้พบเจอคนบ้านเดียวกัน
.................
ปลายทศวรรษ 1970 เกิดกระแสละครของชิวเหยา( ละครโทรทัศน์หรือหนังที่ดัดแปลงจากนวนิยายรักของ ชิวเหยา นักเขียนนวนิยายโรมานซ์ชื่อดังแห่งยุค) กระแสนี้ได้สร้างชื่อให้กับนักแสดงกลุ่ม "สองหลินสองฉิน" (หลินชิงเสีย, หลินฟงเจียว, ฉินฮั่น และฉินเซียงหลิน) จนโด่งดังเป็นพลุแตก ส่วนเติ้งลี่จวินก็มีส่วนร่วมด้วยการร้องเพลงประกอบหนังหลายเรื่องในยุคนี้
ช่วงเวลานั้น กระแสข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลินชิงเสียกับฉินเซียงหลินกำลังเป็นที่สนใจ เมื่อเติ้งลี่จวินไปเยี่ยมกองถ่าย กลับกลายเป็นว่าฉินเซียงหลินให้ความสนใจเธออย่างเห็นได้ชัด จนหลินชิงเซียต้องแซวเล่นๆ ว่า "พี่จวินจ๋า ระวังหนุ่มคนนี้นะ เขาเป็นคนเจ้าชู้ตัวพ่อเลยล่ะ"
วงการบันเทิงในยุคนั้นเต็มไปด้วยข่าวลือและการตีความเกินจริง แม้เติ้งลี่จวินจะปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์อย่างแข็งขัน แต่ข่าวลือก็ยังคงแพร่กระจายไม่รู้จบ
"ใจจริงก็รู้กันอยู่" แต่การถูกโยงเข้าไปในข่าวรักสามเส้าก็เหมือนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก
หลินชิงเสียเคยเล่าถึงเหตุการณ์นั้นด้วยน้ำเสียงขมขื่น "วันหนึ่งฉันเจอพี่ลี่จวิน แต่พอเห็นนักข่าวก็เลยเดินหลบไปอีกทาง ไม่ได้ทักทายกัน หลังจากนั้นก็มีข่าว นักข่าวไปเขียนว่าพวกเราไม่ถูกกัน พี่ลี่จวินเข้าใจว่าฉันกลัวเจอเธอ เลยไม่กล้าเดินไปคุยด้วย ฉันรู้สึกเสียใจมาก"
ข่าวลือนั้นช่างโหดร้าย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เติ้งลี่จวินตัดสินใจย้ายไปพำนักที่สหรัฐอเมริกา การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงเป็นแค่การเปลี่ยนที่อยู่ แต่ยังเป็นการแสวงหาความสงบในชีวิตของศิลปินผู้เคยอยู่ภายใต้แสงสปอตไลต์มาตลอดหลายปี
เบื้องหลังการตัดสินใจนี้มีหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกัน วงการเพลงไต้หวันในยุคนั้นเต็มไปด้วยความกดดันทางการเมือง เธอในฐานะดาราชื่อดังถูกคาดหวังให้แสดงจุดยืนทางการเมือง ทั้งจากรัฐบาลไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ สถานการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย นอกจากนี้ปัญหาสุขภาพก็เริ่มรบกวนชีวิตการทำงานของเธอ โดยเฉพาะอาการหอบหืดที่กำเริบบ่อยครั้งขึ้น
ลอสแอนเจลิสกลายเป็นบ้านหลังใหม่ที่ให้ทั้งความสงบและโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ที่นี่เธอสามารถใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปได้อย่างที่ปรารถนา ห่างไกลจากความวุ่นวายของวงการบันเทิง เธอใช้เวลาศึกษาภาษาอังกฤษ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ และพัฒนาทักษะทางดนตรี ในช่วงเวลาเดียวกันนี้
ขณะเดียวกันก็เป็นปีที่หลินชิงเสียเผชิญกับวิกฤตชีวิต และเลือกไปเริ่มต้นใหม่ที่อเมริกา เมื่อรู้ว่าหลินชิงเสียอยู่ที่ซานฟรานซิสโก เติ้งลี่จวินไม่รอช้า เธอโทรหาหลินชิงเสียแล้วขับรถจากลอสแองเจลิสไปหาเพื่อนรักทันที ทั้งคู่กลับมาสนิทสนม ไปกินข้าวไปช้อปปิ้งด้วยกัน
ระหว่างที่ออกไปช้อปปิ้งด้วยกัน ขณะจะออกจากร้าน เติ้งลี่จุนให้หลินชิงเซียรอสักครู่ แล้ววิ่งกลับเข้าไปในร้านเพื่อซื้อน้ำหอมขวดหนึ่งมอบให้เป็นของขวัญ มิตรภาพที่เปี่ยมด้วยความจริงใจครั้งนี้ทำให้หลินชิงเซียซาบซึ้งใจจนถึงทุกวันนี้
"เราชื่นชมซึ่งกันและกัน ถ้าวันหนึ่งแฟนของฉันจะไปรักเธอ ฉันก็จะไม่โกรธเธอเลย"
คำพูดนี้สะท้อนถึงมิตรภาพที่ลึกซึ้งระหว่างสองสตรี แม้จะมีข่าวลือและอุปสรรคมามากมาย แต่เมื่อมีความจริงใจเป็นพื้นฐาน ทุกอย่างก็สามารถให้อภัยกันได้โดยไม่เหลือเงื่อนไข
ในวันแต่งงานของหลินชิงเสียในปี 1994 เธอตั้งใจจะโยนช่อดอกไม้ให้เติ้งหลี่จวินเพื่อนรักของเธอ แต่ ณ เวลานั้น เธอกลับไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ณ มุมใดของงาน เธอรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ที่มองหาเพื่อนรักไม่เธอ
เวลาผ่านไป ในปีถัดมา หลังแต่งงานไม่นาน จู่ๆ เติ้งหลี่จวินก็โทรศัพท์ทางไกลมาหาหลินชิงเสีย หลินชิงเสียตัดพ้อเสียงแผ่วเบา
“เธออยู่ไหน… ฉันอยากจะให้เธอเป็นคนรับช่อดอกไม้”
เสียงจากปลายสายของเติ้งหลี่จวินพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ฉันอยู่ที่เชียงใหม่… ฉันซื้อแหวน เครื่องประดับทับทิมชุดหนึ่ง ฉันอยากมอบให้เธอ”
ทั้งคู่พูดคุยกับต่ออีกเล็กน้อยโดยหารู้ไม่ว่า นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายระหว่างพวกเธอ
เติ้งหลี่จวินเสียชีวิตที่เชียงใหม่ ทิ้งความรุ่งโรจน์และชีวิตของเธอ ที่แม้จะเจิดจ้า ก็จบลงอย่างเงียบงันในต่างแดน
................
เติ้งลี่จวินเสียชีวิตในปี 1995 ด้วยวัยเพียง 42 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย จากอาการหอบหืดเฉียบพลัน ความตายของเธอเป็นเหมือนจุดจบที่รวดเร็วของชีวิตที่เคยเปล่งประกายเหนือฟ้าเอเชียมานานหลายสิบปี
แต่เบื้องหลังเสียงหวานอ่อนโยนและภาพลักษณ์ของนักร้องที่เป็นที่รักในหลายประเทศ ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยความว้าเหว่และความรู้สึกโดดเดี่ยว เธอใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งในญี่ปุ่นและฝรั่งเศส แม้จะมีชื่อเสียงล้นฟ้า แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในที่ที่เธออยู่ เธอตัดสินเฟดออกจากแสงสีแห่งมายาเมื่อวัยพ้นเลขสามนำหน้า ทำงานน้อยลง แต่แล้วก็พบว่าชีวิตช่างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน
ชีวิตของเติ้งลี่จวินอาจเรียกได้ว่า “โดดเดี่ยวแต่เปล่งประกาย” เป็นชีวิตที่สว่างไสวอยู่กลางเวที แต่เบื้องหลังม่านกลับเงียบเหงา
ในขณะที่อีกหนึ่งดาวเด่นแห่งเอเชีย หลินชิงเสีย เดินทางไปในเส้นทางที่ต่างออกไป ในวันเปิดตัวหนังสือเล่นนั้น หลินชิงเสียบอกว่า “ความสมบูรณ์แบบ” สำหรับเธอไม่ใช่ชีวิตที่ไร้ที่ติ แต่คือการยอมรับและรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น หลังจากผ่านช่วงชีวิตที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์ หลินชิงเซียหันมาเขียนหนังสือ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองอย่างสงบสุข
ชีวิตของหลินชิงเซียจึงต่างจากเติ้งลี่จวินอย่างเห็นได้ชัด เติ้งลี่จวินเป็นเหมือนพระจันทร์ที่เต็มดวงอย่างรวดเร็ว แล้วก็ร่วงโรยอย่างฉับพลัน ขณะที่หลินชิงเซียค่อยๆ กลั่นกรองชีวิตอย่างเงียบสงบ เธอไม่เร่งรีบคว้าทุกอย่างให้เต็มมือ เมื่อถึงจุดที่ความรู้สึกบอกว่า "พอ" เธอเลือกจะหยุดและเดินออกจากวงการ หันมามองตัวเองอย่างอ่อนโยน
บทกวีของซูชื่อ หรือ ซูตงพัว(กวีและศิลปินเอกสมัยราชวงศ์ซ่ง) ผู้ที่มีพื้นเพจากเสฉวน เคยเขียนบทกวีไว้ว่า “ขอให้คนอยู่ยืนยาว ห่างไกลแต่ชมจันทร์เดียวกัน” เป็นถ้อยคำในบทกวีที่ผู้แต่งให้เติ้งลี่จวินนำมาร้องในบทเพลงชื่อเดียวกัน และกลายเป็นเสียงที่ส่งถึงผู้คนที่รักเธอ แม้เธอจะจากไปแล้ว แต่ยังมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ยังมองจันทร์ดวงเดียวกัน แล้วคิดถึงเธอ
เรื่องราวเหล่านี้ เป็นกระจกสะท้อนชีวิต ความเหงา ความโดดเดี่ยว และความเข้าใจในตัวเองอย่างลึกซึ้ง ความโด่งดังอาจทำให้เราเปล่งประกายต่อหน้าผู้คน แต่ความสุขที่แท้จริง กลับอาจอยู่ในช่วงเวลาที่เรายอมรับและรักตัวเองในแบบที่เป็น เหมือนคำแปลที่ว่า “ชีวิตที่ส่องสว่างแต่เหงาเดียวดาย” และ “ความสุขที่แท้คือการยอมรับในสิ่งที่เป็น”
หลินชิงเสียบอกเล่าถึงเติ้งหลี่จวินว่า ชีวิตของเพื่อนรักเป็นเหมือนอย่างที่นักเขียนจางอ้ายหลิง (นักเขียนสตรีของจีนที่ได้รับการยอมรับระดับโลก เป็นคนเขียน Lust, caution ที่อั้งลี่เอามาทำหนังเล่ห์, ราคะนั่นเอง) เขียนไว้ "มีชื่อเสียงต้องรีบเมื่อยังเด็ก" เธอโด่งดังตั้งแต่สิบหกปี แต่วันหนึ่งเมื่ออายุสามสิบปลายๆ กลับเลือกที่จะหายเข้าเงามืด หลบหนีจากแสงไฟเวทีที่เคยทำให้เธอเป็นดาวดวง
เพราะเติ้งหลี่จวินโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย และในวัยสามสิบกว่าๆ เธอกลับเลือกปลีกตัวจากแวดวงบันเทิง หันหลังให้แสงไฟ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเป็นคนดัง เป็นความสำเร็จที่แลกมาด้วยชีวิตส่วนตัวที่ขาดความสงบสุข
หากมองในอีกแง่หนึ่ง ชีวิตของเติ้งลี่จจวินก็คล้ายกับแนวคิดในหนังสือโบราณอย่าง คัมภีร์อี้จิงที่ว่า “พระจันทร์เต็มดวงแล้วก็ร่วง” ทุกสิ่งที่ถึงจุดสูงสุดย่อมมีวันเสื่อมสลาย เมื่อถึงจุดสูงสุดของความรุ่งเรือง ก็มักมาพร้อมกับความเสื่อมที่ซ่อนอยู่ในเงา
สองสตรี สองวิถีชีวิต ที่ต่างก็ตระหนักว่า ชีวิตนี้เปรียบเสมือนจันทร์เพ็ญ ที่เมื่อถึงจุดสูงสุดก็เริ่มลับลา เป็นเสมือน
จันทร์เต็มดวงแล้วก็ร่วงโรย
ติ้งลี่จวินจากไปอย่างเงียบงันในห้องพักโรงแรมเล็กๆ ณ เชียงใหม่ โดยไม่มีแม้แต่คนรักมาร่วมรับรู้วินาทีสุดท้าย
ส่วนหลินชิงเซียเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างช้าๆ และเรียนรู้ที่จะยิ้มรับกับความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต
บางที...ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด อาจคือชีวิตที่เราไม่ต้องพยายามทำให้มันสมบูรณ์แบบเลยก็เป็นได้
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย