23 เม.ย. เวลา 08:49 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ฝ่าพายุเศรษฐกิจ : กลยุทธ์การลงทุน B-SELECT ไตรมาส 2/2568

ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 นี้ ตลาดการเงินโลกเผชิญความผันผวนสูงขึ้นอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากนโยบายช็อกโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตรา 36% ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง เช่น ดัชนี S&P500 ลดลง 4.8%
ในระยะต่อไป คาดการณ์ว่าจะมีบางประเทศประกาศมาตรการภาษีนำเข้าตามมาเพื่อตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกหดตัว ประสิทธิภาพการผลิตทั่วโลกด้อยลง และตลาดการเงินมีความผันผวนมากขึ้นทั้งตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสนี้ นอกจากหุ้นพื้นฐานดีแล้ว จึงเน้นการกระจายความเสี่ยงและรักษาเงินต้นโดยเน้นสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงเงินสด เช่น ตราสารนี้ระยะสั้น
1. B-GLOBAL: เป็น Feeder Fund ลงทุนในกองทุนหลักปลายทางเพียงกองเดียวคือ Wellington Global Quality Growth Fund เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป แม้ว่าสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯ จะสูงสุดที่ประมาณ 63% แต่ก็ต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง (70%) ลงทุนในหุ้นหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, สื่อสาร, สินค้าฟุ่มเฟือย และการแพทย์
ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนตั้งแต่ต้นปี ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 68 ยังคงเป็นบวก และเมื่อมาดูผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีถือว่าโดดเด่นอยู่ที่ 10.39% หุ้นหลักๆ ได้แก่ Apple, Nvidia, Amazon, Alphabet, Microsoft และ TSMC รวมถึงหุ้นอื่นๆ เช่น Mastercard, Eli Lilly, Allianz และ Sony
2. B-INNOTECH: กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก โดยผลตอบแทนที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีมีติดลบไปบ้างประมาณ 3% แต่ถ้าดูจากผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีจะอยู่ในระดับสูงถึง 17% นอกเหนือจากการลงทุนในกลุ่ม Magnificent 7 แล้ว ยังกระจายการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ ด้วย เช่น TSMC ผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ก็ยังมี Ericsson, Texas Instruments, Samsung Electronics, Lam Research และ Workday
3. B-DYNAMIC BOND: กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเป็นหลัก โดยจะลงทุนในกองทุนปลายทางมากกว่า 1 กองทุน คือ กองทุน PIMCO Global Bond Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่มีสัดส่วนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก และ PIMCO Income Fund มีสัดส่วนการลงทุนใน Mortgage Backes Securities เป็นหลัก ซึ่งหลักทรัพย์ภายใต้การลงทุนมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับ A Rating ซึ่งถือเป็นระดับ Investment Grade
และเมื่อดูพอร์ตการลงทุน มีผลตอบแทนจากการถือตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 5.89% ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสนใจในการลงทุน เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และหากดูผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีจะอยู่ที่ 2.48%
4. B-ST: กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เน้นรักษาเงินต้น และมีสภาพคล่องสูง ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีอันดับเครดิตระดับ A เหมาะสำหรับการลดความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน
โดยสรุป B-SELECT ไตรมาส 2/2566 เน้นการบริหารความเสี่ยง กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดการเงินโลก และเมื่อตลาดปรับฐานแล้ว จึงสามารถพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้ง
ลงทุนได้ง่าย ๆ ผ่าน โมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือ BF Fund Trading จาก BBLAM หรือตัวแทนขายที่ได้รับการแต่งตั้ง
นอกจากนี้เตรียมพบกองทุน Thai ESGX ใหม่จาก BBLAM เร็ว ๆ นี้
ติดตาม Content และกิจกรรมดี ๆ จาก BBLAM มาเป็นเพื่อนกันใน Line : @bblam ได้ที่นี่ https://page.line.me/647mxhzh?openQrM…
คำเตือน : การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืน
เต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้ อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
#BBLAM #bualuangfund #กองทุนบัวหลวง #ลงทุน #ลงทุนต่างประเทศ #ตราสารหนี้ #หุ้นเทค #เทคโนโลยี #หุ้นดีทั่วโลก #หุ้นโดดเด่น #binnotech #basiatech #bglobal #bst #bffundtrading #mobilebanking
โฆษณา