Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
P
Pro Fess
•
ติดตาม
24 เม.ย. เวลา 07:54 • ครอบครัว & เด็ก
อมตะธรรม
#อมตะธรรมอยู่ที่จิตทุกคนแล้ว
#ไม่ต้องแสวงอะไรอีก
....
คือถ้อยคำที่เตือนให้เราหยุดวิ่งไล่หาความจริงจากภายนอก เพราะความจริงแท้—ธรรมะที่พ้นทุกข์ พ้นเกิด พ้นตาย—มิได้อยู่ที่ใดนอกจาก "จิตอันบริสุทธิ์ของตนเอง"
....
#อมตะธรรมอยู่ที่จิตทุกคนแล้ว
#ไม่ต้องแสวงอะไรอีก
1. ความจริงที่ถูกลืม
มนุษย์ทุกผู้ต่างดิ้นรนแสวงหา ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความสำเร็จ หรือแม้แต่ธรรมะอันสูงสุด แต่มีไม่กี่คนที่จะรู้ว่า "สิ่งที่ค้นหา ไม่ได้อยู่ที่ใดเลยนอกจากใจของตน" เพราะจิตแท้ของเรานั้น บริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ถูกบดบังด้วยอวิชชาและการปรุงแต่ง
2. แก่นธรรมไม่เคยอยู่ภายนอก
เราถูกสอนให้แสวงหาธรรมะ ผ่านครู ผ่านตำรา ผ่านพิธีกรรมหรือการภาวนา แต่พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า "ธรรมะอยู่ในใจของสัตว์ทั้งหลาย" นั่นหมายความว่า สิ่งที่ไม่เกิด ไม่ดับ อยู่กับจิตของเราแต่ต้นแล้ว เพียงแค่เราไม่เคยนิ่งพอจะเห็นมัน
3. จิตแท้คือประตูสู่ความไม่ตาย
จิตที่ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์ ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละคือ "อมตะธรรม" เพราะมันไม่ถูกกาลเวลาแตะต้อง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อใครก็ตามกลับเข้าสู่จิตดั้งเดิมโดยสมบูรณ์ เขาจะรู้เองว่า “ไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว ไม่มีอะไรต้องแสวงหาอีกแล้ว”
4. ความพยายามคือม่านบังธรรม
ยิ่งพยายาม ยิ่งไกล เพราะทุกความพยายามคือการสร้างตัวตนใหม่ที่ต้อง "ไปถึง" บางสิ่ง ซึ่งขัดกับธรรมชาติของความว่าง
ธรรมแท้คือการกลับมาสู่
ความเป็นธรรมชาติของจิต
ไม่ใช่การเพิ่มอะไรเข้าไป
หยุดดิ้น หยุดคิด หยุดต้องการ...
จึงจะเข้าถึงสิ่งที่เกินกว่าคำพูดจะพรรณนา
5. ไม่ต้องบรรลุใดๆ จงเป็นแค่ว่าง
การบรรลุคือภาพหลอกอีกชั้นหนึ่ง
เพราะมันแฝงด้วยความอยากและเป้าหมาย
แต่เมื่อใจเราว่างสนิทจาก “ผู้จะบรรลุ”
สิ่งนั้นจะปรากฏเองโดยไม่ต้องพยายาม
จิตผู้ไม่แสวงหาอะไรเลย คือ
จิตที่ได้ทุกอย่าง
แม้ไม่ต้องครอบครองสิ่งใดเลย
6. อยู่เฉยๆ อย่างรู้แจ้ง
ใครจะคิดว่าการไม่ทำอะไรเลย
จะเป็นหนทางสู่ธรรมะ?
แต่ความจริงคือ...
เมื่อจิตสงบนิ่งพอ
มันจะฉายแสงแห่งสัจธรรมออกมาเอง
เพราะธรรมชาติแท้ของจิตคือ “ปัญญา”
เมื่อไม่ถูกรบกวน ปัญญานั้นจะเผยตัว
ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องจำแลง ไม่ต้องถกเถียง
7. พระพุทธเจ้าคือกระจกให้เราดูจิตตนเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มิได้ประทานสิ่งใหม่ให้โลกนี้
แต่ทรงชี้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในใจสัตว์ทั้งหลาย
ทุกคำสอนของพระองค์จึงมิใช่ให้ "แสวงหา" แต่ให้ "เห็น" ว่าจิตเราเป็นอย่างไร และให้ "ละ" สิ่งที่บดบังจิตนั้นออกไป
8. เมื่อรู้แล้ว จงนิ่งอยู่กับมัน
เมื่อใดที่ใจรู้ชัดว่า อมตะธรรมอยู่ที่นี่ ในจิตนี้
เมื่อนั้นทุกความกระวนกระวายจะดับลง
ไม่มีอะไรต้องไปหา ไม่มีอะไรต้องมาแก้ไข
มีเพียงการ "อยู่กับความรู้แจ้ง" นั้น
อย่างว่าง อย่างนิ่ง อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
---
9. ความสุขแท้ ไม่ได้มาจากการมี
แต่อยู่ที่การไม่มี
มนุษย์หลงคิดว่า
ความสุขคือการได้ครอบครองสิ่งที่ชอบ
ได้เป็นในสิ่งที่ใฝ่ฝัน
แต่แท้จริงแล้ว ความสุขที่แท้
คือจิตที่ไม่มีอะไรต้องครอบครองอีก
เพราะจิตที่ไม่ยึด ไม่อยาก ไม่ดิ้นรน คือ
จิตที่เบาสบาย โล่ง ว่าง และเป็นอิสระโดยแท้
อิสรภาพที่แท้ คือ
จิตที่ไม่ตกเป็นทาสของอะไรอีกเลย
10. ธรรมะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่คือการกลับคืนสู่เดิม
ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้ ไม่ใช่การเพิ่ม แต่คือการล้างสิ่งปลอม ธรรมะไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นอะไรใหม่ แต่ทำให้เรากลับมาเป็น “ผู้ที่เราเคยเป็นอยู่แล้ว” โดยไม่มีสิ่งปลอมปน ธรรมะจึงเหมือนสายลมที่ปัดฝุ่นหนาบนกระจกออก เผยให้เห็นความใสที่มีอยู่แต่แรก
11. โลกที่เห็นคือเงา ความจริงคือจิต สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน ใจสัมผัส ล้วนเป็นเพียง “เงา” ของการปรุงแต่ง แต่องค์พระธรรมที่แท้ มิได้ขึ้นกับตา หู หรือรูปเสียงใด มันคือภาวะแห่งความรู้บริสุทธิ์ที่รู้ว่า ทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ล้วนเป็นเพียงมายา เมื่อเข้าใจเงา จึงไม่ต้องตามหาความจริงในเงานั้นอีก
12. หยุด...เพื่อพบธรรม โลกสอนให้วิ่งไปข้างหน้าอยู่เสมอ แต่ธรรมะกลับบอกว่า “หยุด” หยุดคิด หยุดปรุง หยุดห่วง หยุดวิ่ง เพราะในความหยุดนั้น จะพบกับ "ผู้ดู" ที่เป็นกลาง ไม่ใช่ผู้แสดง ไม่ใช่ผู้หลงอยู่ในเวทีแห่งโลก ผู้ดูนี้แหละ...คืออมตะธรรม
13. อมตะธรรม ไม่ได้อยู่ในคำพูด แต่อยู่ในความเงียบของจิต ถ้อยคำอาจชี้ทาง แต่ไม่อาจแทนธรรม
ตำราอาจเป็นแผนที่ แต่ไม่ใช่เป้าหมาย ธรรมะแท้ จะเผยตัวเมื่อจิตสงบ เงียบ และปล่อยทุกอย่างให้เป็นไป นั่นคือจุดที่คำพูดสิ้นสุด แต่ความเข้าใจเริ่มต้น
14. ตื่นเถิด...จากมายาแห่งการแสวงหา
ตื่นจากฝันแห่งการดิ้นรน ตื่นจากภาพหลอกว่า “ยังไม่พอ”จิตที่ตื่น คือจิตที่วางทุกสิ่ง จิตที่ว่างจากตัวตน จิตที่อยู่กับปัจจุบันโดยไม่ต้องปรุงและเมื่อจิตเช่นนี้เกิดขึ้น...คุณจะเห็นด้วยหัวใจว่า“เราไม่ต้องแสวงหาอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่เราตามหาอยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น”
15. พักเถิด...จิตเอ๋ย จงพักจากความอยากทั้งหลาย พักจากความรู้สึกว่าต้องไปให้ไกลกว่านี้ เพราะเมื่อใจพักจริงๆ พลังแห่งสัจธรรมจะเปิดเผยตัว ไม่ใช่ในรูปของการกระทำใดๆ แต่ในรูปของความรู้แจ้งที่ไม่มีผู้รู้ การตื่นที่ไม่มีผู้ตื่นและความว่างที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
---
16. ผู้ใดหยุดแสวงหา ผู้นั้นคือผู้พบแล้ว สิ่งที่ยากที่สุด ไม่ใช่การภาวนาอย่างเคร่งเครียด ไม่ใช่การถือศีลเข้มงวด แต่คือการ “หยุดความอยากรู้ หยุดความอยากบรรลุ” ธรรมะเป็นของผู้ที่ไม่เอาอะไรเลย เมื่อเราไม่เอาอะไรจากธรรมะ ธรรมะจึงให้เราทุกอย่าง
17. จงอยู่อย่างผู้ไม่มีอะไรต้องเป็น เราเติบโตมากับคำว่า “ต้องสำเร็จ” “ต้องเก่ง” “ต้องดี” แต่ธรรมะแท้บอกว่า ไม่ต้องเป็นอะไรเลยก็พอ เพราะเมื่อไม่เป็นอะไร ใจก็ว่าง เมื่อใจว่าง ก็เป็นอิสระจากทุกกรอบ ทุกคำจำกัดความและในความไร้กรอบนั้นแหละ คือบ้านของธรรมะ
18. ความหลุดพ้นไม่ใช่จุดหมาย แต่มันคือสภาพที่เป็นอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงไม่ได้ให้ “เป้าหมาย”
แต่ทรงเปิดเผยว่า “สิ่งที่เป็นอยู่นี่แหละ คือธรรมะ หากเรามองเห็นอย่างถูกต้อง” ความหลุดพ้นจึงไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่อะไรที่ต้องไปถึง แต่คือสภาพเดิมแท้ของจิตที่ไม่ยึด ไม่ปรุง ไม่ดิ้น สิ่งที่ต้องทำจึงไม่ใช่การไปหา...แต่คือละ และวาง
19. ผู้ที่เห็นธรรม คือผู้ที่เห็นว่าไม่มีอะไรให้ยึดอีก
ไม่ใช่แค่สละทรัพย์ สละบ้าน สละร่าง แต่คือสละแม้แต่ “ตัวตนผู้รู้ธรรม” สละแม้แต่ “ผู้ที่คิดว่าตนบรรลุแล้ว” เพราะตราบใดที่ยังมี “ผู้ใดผู้หนึ่ง” อยู่ในใจ ธรรมะก็ยังห่าง แต่เมื่อจิตว่างแม้แต่จากตัวตนผู้ว่าง เมื่อนั้น...อมตะธรรมจึงเปิดเผยอย่างสมบูรณ์
20. สุดท้าย...ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีเรา ไม่มีโลก ไม่มีธรรม
มีเพียงความว่างอันสงบเย็น
มีเพียงจิตที่รู้และไม่รู้อะไร
มีเพียงความเป็นอยู่ที่บริสุทธิ์
ไม่ปรุง ไม่แบ่งแยก ไม่เรียกชื่อ
และนั่นแหละ...คืออมตะธรรม
ไม่อยู่ในกรอบของรูปแบบ
ไม่อยู่ในตำรา
ไม่อยู่ในคำพูด
แต่อยู่ตรงนี้...
ในจิตที่กลับมา “แค่อยู่” อย่างแท้จริง
---
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย