25 เม.ย. เวลา 11:05 • ประวัติศาสตร์

วันนี้ผมจะมาเขียนเล่าสั้นๆ พอให้เห็นภาพ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของยุโรป

เราจะมาดูกันว่า เศรษฐกิจยุโรปยุคกลาง ที่เป็นระบอบศักดินา กลายมาเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมยุคใหม่แบบที่เราคุ้นเคยทุกวันนี้ได้ยังไงนะครับ
4
เชื่อว่าเนื้อหาสั้นๆ นี้จะช่วยให้เห็นภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจได้มากขึ้น
1
ย้อนกลับไปในอดีตสมัยยุโรปยุคกลาง ระบบเศรษฐกิจในเวลานั้นจะอยู่ภายใต้ระบบศักดินา ประชากรส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศมีสถานะเป็นไพร่ติดที่ดิน ซึ่งไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะย้ายถิ่นฐาน ไม่มีสิทธิ์เลือกอาชีพ และไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินอย่างแท้จริง ชะตาชีวิตจะต้องผูกติดกับขุนนางหรือเจ้าของที่ดิน
ชาวบ้านสามัญธรรมดาอีกกลุ่ม จะเป็นช่างฝีมือและพ่อค้าที่อาศัยอยู่ในเมือง แม้ว่าพ่อค้าจะไม่ได้ติดที่ดินเหมือนชาวไร่ชาวนา สามารถเดินทางย้ายถิ่นได้ แต่ก็ไม่ได้มีอิสระเสรีมากนักเมื่อเทียบกับทุกวันนี้ เพราะพวกเขาต้องทำงานอยู่ภายใต้สมาคมวิชาชีพหรือที่เรียกว่า guild
1
ซึ่ง guild จะเป็นการรวมตัวของคนทำอาชีพเดียวกัน เป้าหมายคือ เพื่อผูกขาด ไม่ให้คนนอกเข้ามาแข่งขันได้ นอกเหนือจากนั้น guild ก็จะมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่บังคับสมาชิก เช่น ทุกคนจะต้องกำหนดราคาและคุณภาพสินค้าในแบบเดียวกัน  มาตรฐานการผลิตสินค้าก็ต้องทำได้ระดับเดียวกัน ใครอยากจะมาเป็นช่างก็ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝน ไต่เต้าจาก apprentice ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ได้ทำงาน master piece ถ้าทำได้ดี ก็จะได้เป็น master ในอาชีพนั้น
ระบบนี้ฟังดูเหมือนจะในแง่ของความมั่นคงและมาตรฐานคุณภาพ แต่ก็เป็นอุปสรรคต่อการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะไม่เปิดโอกาสให้ช่างรุ่นใหม่ๆ ทดลองอะไรใหม่ๆ และยังขัดขวาง การเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะต่อต้านการแข่งขันทั้งระหว่างคนในวิชาชีพเดียวกัน และขัดขวางการแข่งขันจากภายนอก
2
พอเห็นหน้าตาระบบเศรษฐกิจแบบเก่าแล้วนะครับ
คราวนี้เราจะมาพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจแบบเก่ามาเป็นเศรษฐกิจแบบใหม่ หลักๆ แล้วจะมีปัจจัยสำคัญ 3 อย่างที่ต้องเปลี่ยนไป
อย่างแรกก็คือ เรื่องของระบบไพร่ติดที่ดินหรือระบบไพร่ต้องถูกล้มเลิกไป คนถึงมีเสรีภาพในการเลือกอาชีพ เลือกถิ่นที่อยู่ได้
อย่างที่ 2 กฎหมายพาณิชย์จะต้องเข้ามาแทนที่จารีตประเพณี เพื่อให้การซื้อขาย การเปลี่ยน การกู้ยืม มีมาตรฐาน มีบทลงโทษคนที่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์
และอย่างที่ 3 ก็คือระบบ guild จะต้องมีบทบาทลดลง
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14-15 และหนึ่งในปัจจัยสำคัญมากๆ (ในหลายๆ ปัจจัย) ก็คือการระบาดของโรคครั้งใหญ่
2
โรคระบาดที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ปัจจุบันเรารู้จักกันในชื่อว่า The Black Death ซึ่งเป็นรุนแรงมาก ถึงขนาดว่าทำให้ประชากรยุโรปตายไปประมาณ 1 ใน 3 และเพราะการเปลี่ยนแปลงที่มากขนาดนี้จึงส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจและสังคมอย่างมากมายและถาวร ซึ่งเหตุการณ์นี้ผม เคยเล่าไปบ้างแล้วใน Youtube  ใครสนใจสามารถย้อนกลับไปดูได้นะครับ (เดี๋ยวจะใส่ลิงก์ไว้ให้ในคอมเมนต์)
แต่สรุปเหตุการณ์โรคระบาดสั้นๆ ก็คือ ด้วยความที่มีคนตายจำนวนมาก ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง ทำให้ชาวนาและคนงานมีอำนาจที่จะต่อรองมากขึ้น ขุนนางซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินก็ต้องแข่งขันกันเพื่อจะดึงดูดแรงงาน สุดท้ายก็เลยทำให้ข้อผูกมัดหรือระบบไพร่ติดที่ดินต้องเสื่อมสลายลง ชาวบ้านคนธรรมดาสามารถที่จะเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระมากขึ้นและเริ่มมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตัวเอง เพราะมีที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้จับจองมากมาย
1
คราวนี้มาดูเรื่องของกฎหมาย ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือจากเดิมที่กฏต่างๆ เป็นจารีตประเพณี (มีความเป็นศาลเตี้ย) ก็เริ่มมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรมากขึ้น โดยทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะยุโรปเข้าสู่ยุคสมัยที่เรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือ ยุคเรเนอซองส์ ยุคสมัยนั้นมีกระแสที่จะกลับไปศึกษาข้อเขียนโบราณต่างๆ เช่น ศึกษากฎหมายโบราณ ศึกษากฎหมายของอาณาจักรโรมันซึ่งด้วยความที่อาณาจักรโรมันมีขนาดใหญ่มาก จึงต้องมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและการค้าขายที่ซับซ้อนมากมาย
1
ยุคนั้นเป็นยุคที่เริ่มมีมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นครั้งแรก เช่นมหาวิทยาลัยโบโลญญาในอิตาลี ก็นำกฎหมายเหล่านี้มาศึกษาและมาปรับใช้ พ่อค้าต่างๆ เมื่อมีการเดินทางไปค้าขายข้ามพรมแดน ก็ชอบจะไปค้าขายในดินแดนที่มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน จะได้ไม่ต้องมาโดนเจ้าถิ่นเอาเปรียบหรือโกงได้ ที่ไหนที่อยากดึงดูดพ่อค้าให้คนเข้าไปค้าขายเยอะๆ ก็ต้องวางระบบให้ดี ไม่เช่นนั้นพ่อค้าก็ไม่อยากไปค้าขาย (ยุคเราก็ยังรู้สึกแบบนั้น)
2
สำหรับระบบสมาคมวิชาชีพหรือระบบ guild ก็เริ่มสูญเสียอิทธิพลลง เพราะเมื่อผู้คนเดินทางไปค้าขายต่างพื้นที่ได้ การควบคุมแบบเดิมก็ไม่สามารถทำได้ ช่างฝีมือรุ่นใหม่หลายคนที่รู้สึกว่ากฎเกณฑ์เก่าเข้ามงวดไป หรือเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ก็ตัดสินใจย้ายถิ่น
1
พอเห็นภาพใหญ่แล้ว มาดูตัวอย่างจริงกันครับ
1
เมืองที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของยุโรปเมืองแรก คือเมืองแอนท์เวิร์ป (Antwerp) ในประเทศเบลเยี่ยมปัจจุบัน ด้วยความที่เมืองมีทำเลเหมาะกับการค้าขายทั้งทางบกและทางน้ำ คือ เดินทางสะดวก พ่อค้าจากหลายที่มาเจอกันง่าย จตุรัสของเมืองนี้ที่มีชื่อ เบอร์ส (Bourse ตามนามสกุลของตระกูลพ่อค้าตระกูลนึงที่บ้านอยู่ตรงจตุรัสนั้น) เลยกลายเป็นที่นัดพบของพ่อค้าทั่วยุโรป
นึกภาพนะครับว่า แรกๆ พ่อค้ามารวมตัวกันแบบตลาดนัดบ้านเรา แล้วพอมีคนมาเยอะขึ้นก็ยิ่งดึงดูดพ่อค้าลูกค้าให้อยากมามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้มาจากการวางแผนของใคร (อารมณ์เดียวกับการเกิด Silicon valley ในแคลิฟอร์เนีย หรือ Kendall square ในเคมบริดจ์รัฐ แมสซาชูเช็ต)
1
ส่วนใหญ่สถานที่นัดพบกันก็จะเป็นลานจัตุรัสกลางเมืองที่ชื่อ Bourse พ่อค้าหลากหลายภาษา ต่างก็เอาสินค้าจากประเทศตัวเองมาขาย มีตั้งแต่ผ้าไหมจากอิตาลี เครื่องเทศจากเอเชีย จนถึงทองคำจากทวีปอเมริกา (ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นโลกใหม่ในมุมของชาวยุโรป)
ในการค้าขายก็จะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เป็นแค่การมาพบปะ แต่คนก็ได้เรียนรู้ว่าระบบการค้าที่เสรีแบบนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าระบบปิดแบบเดิมหรือระบบสมาคมวิชาชีพที่เรียกว่ากิลด์ แล้วตลาดก็เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพื้นที่มีความแออัด เทศบาลเมืองแอนท์เวิร์ปจึงตัดสินใจสร้างอาคารถาวรขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1515 เพื่อให้เป็นที่พบปะของพ่อค้าเข้าไปค้าขายกัน
อาคารนี้ยังใช้ชื่อว่า "เบอร์ส" (Bourse) ซึ่งเป็นชื่อเดิมของลานที่ใช้พบปะ ปรากฎว่าอาคารเบอร์สนี้ประสบความสำเร็จมาก เพราะในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 20 ปี อาคารเดิมซึ่งก็ว่าใหญ่โตมาก ก็เล็กเกินกว่าจะรองรับพ่อค้าจำนวนมากที่เดินทางมาค้าขายแลกเปลี่ยน จึงต้องสร้างอาคารใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
1
แล้วภายในอาคารเบอร์สแห่งนี้ก็เกิดนวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของโลกไปอย่างถาวร นั่นก็คือการเป็นหุ้นส่วน โดยเฉพาะหุ้นส่วนในการค้าขายทางเรือ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล เกินกว่าที่พ่อค้าคนเดียวจะลงทุนได้ จึงต้องมีการลงหุ้นกันแล้วได้กำไรมาก็จะแบ่งกันไปตามสัดส่วนของการลงทุน (เคยทำคลิปเล่าเรื่องนี้ไปแล้วใน Youtube ตอนที่เล่าเกี่ยวกับบริษัท VOC และ British East-India company เดี๋ยวจะหาลิงก์มาแปะให้ในคอมเมนต์ครับ)
แล้วด้วยความที่ตลาดเบอร์ส เป็นที่พบปะกันของพ่อค้าหลายประเทศ ที่มีวัฒนธรรมต่างกัน ใช้ภาษาต่างกัน สกุลเงินต่างกัน จึงต้องมีการกำหนดระเบียบแบบแผนของการแลกเปลี่ยนสินค้าของสถานที่ให้ชัดเจน จะได้ทำธุรกรรมได้ราบรื่น ไม่ทะเลาะกัน แรกๆ ก็เป็นการตั้งกฎเกณฑ์กันขึ้นมาเอง แต่ต่อมาทางเทศบาลเมือง ซึ่งได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีค้าขาย ก็ปรับกฎเกณ์เหล่านี้เป็นกฎหมายต่างๆ และช่วยบังคับใช้เพื่อให้แน่ใจว่าพ่อค้าทั้งหลายปฏิบัติตาม
1
กฎหมายพาณิชย์ใหม่ๆ ก็ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับการกับทำธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น บางครั้งพ่อค้านำเงินมาไม่พอที่จะลงทุนหรือเมื่อเห็นโอกาสดีๆ ก็อยากจะลงทุนเพิ่ม ก็ต้องมากู้ยืมเงินคนอื่น ก็เลยมีกฎเกณฑ์ในการกู้ยืมเงิน การให้ดอกเบี้ย เริ่มมีการใช้ตราสารหนี้ มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และเมื่อมีการระดมทุนจากเงินของพ่อค้า มีการซื้อขายหุ้น มีการตั้งบริษัท ก็ต้องมีกฎหมายใหม่ๆ ที่ครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้
1
การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของการค้าในเมืองแอนท์เวิร์ปและตลาดเบอร์ส เพราะข้อมูลคือหัวใจสำคัญของการค้าขายและลงทุนที่มีประสิทธิภาพ พ่อค้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการเดินเรือ ข่าวสารอัพเดทสถานะของเรือที่ส่งไปค้าขาย ราคาสินค้าในแต่ละท้องถิ่น สินค้าใดกำลังขาดตลาด หรือสินค้าใดกำลังล้นตลาด และสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลต่อการเดินทางหรือการผลิต เมื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารกันเยอะ ระบบการแลกเปลี่ยนข่าวสารจึงค่อยๆ ดีขึ้น จนตลาดเบอร์สกลายเป็นศูนย์กลางของข่าวสารเฉพาะทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นมาก
1
จากจดหมายข่าวทางการค้าในสมัยนั้นก็พัฒนามาจนกลายเป็นสื่อที่ชำนาญด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนอย่างที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง Financial Times, The Wall Street Journal, ลงทุนแมน, The Stadard Wealth ของทุกวันนี้ เป็นต้น
พอการค้า การเงินซับซ้อนมากขึ้น บางครั้งซับซ้อนจนพ่อค้ารายใหม่ๆ ที่เดินทางมาครั้งแรกไม่เข้าใจ จึงเกิดอาชีพของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการค้าขายขึ้น เช่น ผู้ที่เข้าใจกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่างๆ ของการค้าระหว่างประเทศ ก็ทำงานเป็นที่ปรึกษา นายหน้า ผู้จัดการการเงิน นักกฎหมายด้านภาษี บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน อาชีพเหล่านี้หาเงินได้เพราะช่วยให้ระบบการค้าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และช่วยให้พ่อค้าสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องรู้รายละเอียดทั้งหมด
อาชีพเหล่านี้ในเวลาต่อมาก็พัฒนาจนกลายเป็น อาชีพทางการเงิน ทางธุรกิจที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น broker, trader, financial advisor, financial analysis, consultant และอื่นๆ อีกมากมาย
แล้วด้วยความที่เบอร์สที่แอนท์เวิร์ปประสบความสำเร็จมากมาย พ่อค้าจากหลายเมืองใหญพอมาเห็นก็นำกลับไปเล่าต่อ หรือนำระบบกลับไปใช้ที่บ้านเมืองของตัวเองบ้าง ระบบนี้จึงได้แพร่หลายไปในตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าหลายแห่งในเมืองใหญ่ทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอัมสเตอร์ดัม ลอนดอน ปารีส ซึ่งในเวลาต่อมา ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า ซื้อขายหุ้น และทำธรกรรมทางการเงิน ก็พัฒนาไปจนเป็นตลาดหุ้นในหลายๆ ประเทศ
1
ดังที่เราพอจะเห็นได้จากชื่อของตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศที่เคยมีคำว่าเบอร์ส Bourses อยู่ เช่น Paris Bourse ของฝรั่งเศส, Deutsche Börse ของเยอรมัน, หรือ Borsa Intaliana เป็นต้น (ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเปลี่ยนชื่อกันเป็น Euronext) หรือแม้แต่คำว่า exchange ในชื่อของตลาดหุ้น ก็ให้ภาพของพ่อค้าที่มาแลกเปลี่ยนสินค้ากันกลางจตุรัส
1
แม้แต่พิธีเปิด-ปิดตลาดด้วยระฆัง หรือ Opening/Closing Bell ที่ใช้ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลก ก็มีรากมาจากการใช้ระฆังในตลาดเบอร์สเพื่อบอกเวลาเริ่มและสิ้นสุดการซื้อขาย และสุดท้าย แม้แต่สถาปัตยกรรมของตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งที่จะมีลักษณะเป็นลานกลางกว้างๆ ให้ผู้ค้ายืนรวมกัน ก็มีต้นแบบมาจากตลาดเบอร์สดั้งเดิมด้วยเช่นกัน
2
หรืออาจจะพูดได้ว่า แม้ว่าตลาดค้าขาย หรือตลาดทุนต่างๆ ของทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่รากทางความคิด วัฒนธรรม ภาษาหรืออาชีพ ก็ยังสามารถเห็นได้มาจนถึงยุคปัจจุบัน
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FvsFav
นอกจากนี้ผมยังมีรายการเล่าวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์อีกรายการใน Youtube ชื่อ Humanศาสตร์ ใน The Standard podcast
โฆษณา