27 เม.ย. เวลา 14:00 • การศึกษา

โดนพักการเรียนเพราะใช้ AI โกงสอบสัมภาษณ์

เด็กมหาวิทยาลัยสองคนเลยลาออกมาตั้งสตาร์ตอัป สร้างแอปฯ AI ให้ ‘โกงได้ทุกอย่าง’ จนระดมทุนได้ 180 ล้านบาท
🪡 ประมาณศตวรรษที่ 18 อังกฤษเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมระลอกแรก เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไอน้ำและระบบอัตโนมัติทางกลกำลังฉีกกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของการผลิต แรงงาน มูลค่า ความมั่งคั่ง ความสามารถ และอำนาจ กำลังเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ เปลี่ยนแปลงประเทศและโลกไปทีละโรงงาน
🏭 นี่คือสิ่งที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง”
ในปี ค.ศ. 1785 เอ็ดมันด์คาร์ตไรต์ (Edmund Cartwright) นักประดิษฐ์ได้เปิดตัวเครื่องทอผ้าพลังงานไอน้ำ (power loom) ซึ่งเป็นวิธีการทอผ้าแบบใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกล ในช่วงแรกเครื่องทอผ้านี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ในไม่ช้าหลังจากการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มันก็ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ช่างทอผ้าและแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอแบบดั้งเดิมรู้สึกว่าเครื่องจักรใหม่และทุนที่อยู่เบื้องหลังมันกำลังแย่งงานของพวกเขาทำให้ค่าแรงตกต่ำ ทำลายศักดิ์ศรี และพรากวิถีชีวิตที่เคยรุ่งเรือง
เครื่องจักรที่ช่วยลดการใช้แรงงานอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าของโรงงานแต่สำหรับแรงงานฝีมือสูงที่เคยครองอุตสาหกรรมสิ่งทอและได้รับ ค่าตอบแทนอย่างดี การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นหายนะโดยสิ้นเชิง
⚔️ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘ลัดไดต์’ (Luddites) ออกมาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ตำนานเล่าว่า เน็ด ลัดด์ (Ned Ludd) คนทอผ้าหนุ่มเคยฟิวส์ขาด ฟาดเครื่องทอของตัวเองจนพัง เพื่อนแรงงานจึงหยิบชื่อเขามาใช้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเทคโนโลยีที่แย่งงานคนตัวเล็ก
ฝ่ายโรงงานบอกว่า “ถ้าโลกยังแต่งตัวด้วยผ้าฝ้าย เราจำเป็นต้องผลิตให้เร็วขึ้น ถูกลง”
ฝ่ายคนงานร้องกลับว่า “แล้วค่าจ้าง ชีวิต และศักดิ์ศรีของเราอยู่ที่ไหน”
ตลอดเวลาหลายเดือนมีการบุกทำลาย เกิดความเสียหายกับโรงงานมากมาย
แต่อย่างที่เราทราบ...สุดท้ายเทคโนโลยีก็ชนะและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
จากไม่กี่พันเครื่องในช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 ภายในปี 1850 เครื่องทอผ้าเพิ่มเป็น 250,000 เครื่อง
เทคโนโลยีใหม่ไม่ได้แค่เปลี่ยนเครื่องมือ แต่มันเปลี่ยนความสัมพันธ์อำนาจ ระหว่างคนทำงาน–นายทุน–สังคม แม้คุณจะเลือกปิดประตูและล็อกเครื่องไว้ในโกดัง มันก็ยังเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบอยู่ดี
🏫 [ อดีตเด็กมหาวิทยาลัยสองคนที่ถูกพักการเรียน ]
ปี 2025 “รอย ลี” (Chungin “Roy” Lee) นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) วัย 21 ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียกำลังเบื่อหน่ายกับการต้องนั่งฝึก LeetCode วันละสิบชั่วโมงเพื่อเตรียมเข้าสัมภาษณ์สายเทคโนโลยี
(LeetCode คือแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับฝึกแก้โจทย์เขียนโปรแกรม (coding challenges) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักพัฒนา Software Engineer และนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะคนที่กำลังเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์งานสายเทคโนโลยี)
“ผมเคยติดอันดับท็อป 2% ของผู้ใช้ LeetCode ทั่วโลก ซึ่งก็คือช่วงเวลาราว 600 ชั่วโมงที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตการเขียนโปรแกรมของผมเลย” รอยบอกกับ NBC News “คำถามพวกนั้นไม่สะท้อนงานจริงในโลกการทำงาน มันเป็นเหมือนปริศนาที่คุณต้องท่องจำมากกว่า”
😯 ด้วยความอึดอัดตรงนี้เขาใช้เวลาประมาณ 4 วันในการสร้างโปรแกรมหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า “Interview Coder" แอปฯ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้จับภาพหน้าจอของโจทย์โดยที่เบราว์เซอร์ตรวจไม่พบ จากนั้นระบบจะประมวลผลรูปภาพด้วย AI แล้วส่งคำตอบออกมาแบบเรียลไทม์
เขาทดลองใช้จริงกับการสัมภาษณ์งานเขียนโค้ดออนไลน์กับ Amazon, Capital One, Meta และ TikTok
ผลคือ ‘ผ่านหมด’
จากนั้นเขาอัปโหลดคลิป “ผมใช้ AI ตอบคำถามสัมภาษณ์ Amazon” วิวทะลุแสนในไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะถูกแจ้งลบออกจาก YouTube แต่ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องที่ไปไกลเกินจะแก้
บริษัทบางแห่งยกเลิกข้อเสนอ (ส่วนเขาบอกว่าตัวเองปฏิเสธงานจาก Amazon ไป) มหาวิทยาลัยสั่งพักการเรียนหนึ่งปี
โฆษกของมหาวิทยาลัยปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับนักศึกษาเป็นรายบุคคล โดยอ้างข้อบังคับว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวด้านการศึกษา (FERPA)
มาร์กาเร็ต คัลลาแฮน (Margaret Callahan) โฆษกของ Amazon กล่าวว่า บริษัทยินดีให้ผู้สมัครเล่าประสบการณ์การทำงานกับ Generative AI หากเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร แต่พวกเขาต้องยอมรับด้วยว่าจะไม่ใช้เครื่องมือที่ไม่ได้รับอนุญาต—เช่นเทคโนโลยี AI—เพื่อช่วยระหว่างการสัมภาษณ์หรือการทดสอบ
ขณะที่ Capital One, Meta และ TikTok ไม่แสดงความเห็นกับเรื่องนี้
📱 รอยบอกว่า นับตั้งแต่การแชร์สิ่งที่เกิดขึ้นลงโซเชียลมีเดีย ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนยอดผู้ใช้ Interview Coder เติบโตสัปดาห์ละ 50% และสร้างรายได้จากค่าสมาชิกราว 170,000 ดอลลาร์ต่อเดือน — จนเขาลาออกจากมหาวิทยาลัยมาตั้งบริษัท ‘Cluely’ (กับเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่า นีล ชานมูกัม (Neel Shanmugam) ซึ่งก็มีส่วนในแอปฯ ตัวแรกและถูกพักการเรียนเหมือนกัน) แล้วเพิ่งระดมทุน 5.3 ล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 180 ล้านบาท) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นแอปฯ ที่ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็น “เครื่องมือที่ช่วยโกงทุกอย่าง เป็น AI ที่ตรวจจับไม่ได้ที่มองเห็นหน้าจอของคุณ ฟังเสียง และมอบคำตอบให้คุณในทุกๆ สถานการณ์แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ การบ้าน การสอบ การโทรขายของ ประชุม ทุกอย่างเลย” ด้วยค่าสมาชิกรายเดือน $20 (ประมาณ 700 บาท)
(วิดีโอเปิดตัวกลายเป็นไวรัลด้วย เพราะรอยใช้มันเพื่อ ‘โกง’ การออกเดตกับผู้หญิงคนหนึ่ง)
คนด่าก็เยอะ “นี่มันโกง” “บ่อนทำลายมาตรฐาน”
ถ้ามองผ่านเลนส์ลัดไดต์ รอยคงถูกมองเป็นปีศาจร้ายที่กำลังทำลายกรอบบางอย่างที่สังคมคุ้นเคย
💬 แต่รอยเขียนไว้ใน โพสต์ LinkedIn ที่ประกาศเรื่องการระดมทุน “พูดตรง ๆ นะ ผมไม่คิดว่านี่คือการโกง ทุกครั้งที่เทคโนโลยีทำให้คนฉลาดขึ้น โลกก็จะตื่นตระหนก จากนั้นก็ปรับตัว แล้วก็ลืม สุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มนุษยชาติกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน AI จะพลิกโฉมโลกทั้งใบ และจะก่อความปั่นป่วนยิ่งกว่าทุกสิ่งที่เราเคยเห็น Cluely คือสะพานเชื่อมไปสู่โลกที่มนุษย์ไม่ต้องแข่งขันกับเครื่องจักร—แต่เติบโตไปพร้อมกัน”
1
เหมือนโรงงานปั่นด้ายเมื่อสองร้อยปีก่อน—เครื่องจักรลดเวลาผลิตผ้าจากชั่วโมงเหลือนาที Interview Coder กำลังลดระยะห่างระหว่าง “รู้คำตอบ” กับ “ไม่รู้” เหลือเสี้ยววินาที
เรื่องราวของรอยกลายเป็นประเด็นที่ชวนให้คิดว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง? เป็นไปได้ไหมว่า
รอยไม่ได้ท้าทายภาษาการเขียนโค้ด แต่กำลังท้าทาย ‘ระบบคัดเลือกบุคลากร’ ที่ยึดติดกับการจำโจทย์ปริศนาแบบเดิมๆ ซะมากกว่า
เมื่อก่อนการใช้เครื่องคิดเลขก็ถือเป็นการโกง แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้กันอย่างปกติ
เมื่อก่อนการใช้ Google เพื่อหาข้อมูลก็ถือเป็นการโกง แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นคว้าข้อมูลแทบทุกอย่างบนโลกใบนี้
นับย้อนไปเพียงปีสองปีก่อน การใช้ AI ในหลายๆ องค์กรก็ถือเป็นเรื่องต้องห้าม บางบริษัทถึงขั้นแบน แต่แล้วผ่านมาถึงตรงนี้เราเห็นองค์กรระดับโลกมากมายที่เปลี่ยนมุมมองและสนับสนุนให้พนักงานของตัวเองพัฒนาการใช้ AI ให้เก่งขึ้นด้วยซ้ำ
สิ่งที่ทำให้เทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือยอมรับได้หรือไม่ (หรือ ‘โกง’ หรือไม่) ไม่ใช่ตัวเทคโนโลยี แต่เป็นกฎและมุมมองที่สังคมสร้างให้กับเทคโนโลยีนั้นๆ
หากกติกาถูกสร้างบนสมมติฐานเก่าๆ และไม่ปรับให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีพร้อมจะแสดงให้เห็นเสมอว่ากติกานั้นเปราะบางแค่ไหน
🤖 [ สิ่งที่เรา​ (โลก) ต้องเรียนรู้และตั้งคำถาม? ]
AI กำลังสร้างความปั่นป่วนและกระทบกับหลายอุตสาหกรรม รวมไปถึงการวัดผลแบบดั้งเดิมอย่างเช่นการสอบสัมภาษณ์งานแบบนี้ด้วย เพราะถ้าความรู้ที่แท้จริงคือการแก้ปัญหาในโลกจริง ทำไมเรายังให้รางวัลกับการจำคำตอบเพื่อสอบสัมภาษณ์เท่านั้น?
เป็นไปได้ไหมว่าถ้าบริษัทวัดผลงานจากงานโปรเจกต์หรือประสบการณ์ทำโปรดักต์จริง อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า? (หรือหาวิธีสอบสัมภาษณ์ที่ดีกว่าการแค่ท่องจำคำตอบ) การเกิดขึ้นมาของแอปฯ อย่าง Cluely และระดมทุนได้ 5.3 ล้านเหรียญ แสดงว่ามีคนเห็นว่าสิ่งที่รอยและเพื่อนของเขาทำนั้น (แม้ตอนนี้ยังถูกมองว่าเป็นการโกง) ถือว่าแก้ ‘pain point’ บางอย่างจริงๆ (แม้จะขัดใจกับระบบและคนในระบบเดิมก็ตาม)
AI เหมือนเป็นสายพานที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีปุ่มย้อนกลับ การกดให้หยุดก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่โลกต้องถามกันต่อว่าจะจัดการยังไงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เครื่องทอผ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของสายพานที่ทำให้คนทั้งโลกสวมเสื้อผ้าในราคาที่เอื้อมถึง
Cluely ก็อาจจะเป็นแค่ “สะพานเชื่อมไปสู่โลกที่มนุษย์ไม่ต้องแข่งขันกับเครื่องจักร—แต่เติบโตไปพร้อมกัน” เหมือนอย่างที่รอยบอกก็ได้
แน่นอนคนอาจจะประณามผู้ใช้งานเครื่องมือแบบนี้ ‘แข่งขันแบบไม่แฟร์’ (หรือเป็นตัวร้ายเหมือนเจ้าของโรงงานยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม) แต่ถ้ามองโลกตามความเป็นจริง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือเทคโนโลยีที่หยุดไม่ได้ แฟร์หรือไม่อาจจะกลายเป็นประเด็นที่ถูกขึ้นมาถกเถียงกันได้
แต่สุดท้าย (ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม) เราก็ต้องเลือกว่าอยากเป็นคนทุบกับเครื่องจักรหรือคนออกแบบเครื่องจักรรุ่นต่อไป
- โสภณ ศุภมั่งมี (บรรณาธิการ #aomMONEY)
#MakerichGeneration #การเงิน #ธุรกิจ #Cluely #Startup
โฆษณา