27 เม.ย. เวลา 14:05 • ปรัชญา

📘 ตอนที่ 2

#ฟิสิกส์โลกธาตุ
ฟิสิกส์ควอนตัมสั่นคลอน "โลกในสายตาเรา" อย่างไร?
🌌 เมื่อโลกไม่ใช่อย่างที่เราเคยเชื่อ
ในฟิสิกส์ยุคเก่า (Newtonian Mechanics)
ทุกอย่างดูมีระเบียบชัดเจน:
เหตุ → ผล
วัตถุ → มีที่ทางแน่นอน
อนาคต → คำนวณได้ล่วงหน้า
แต่เมื่อเข้าสู่โลกของ ควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics)
"โลกที่จิตรับรู้" กลับไม่แน่นอนอีกต่อไป...
สิ่งต่าง ๆ มีสภาวะ "ทับซ้อน" และ "เปลี่ยนไปตามปฏิสัมพันธ์"
ไม่ใช่ความจริงแท้ที่มั่นคงในตัวเอง
🧩 คำศัพท์ควอนตัมเบื้องต้น (ฉบับเข้าใจง่าย)
Superposition:
อนุภาคอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน เช่น ซ้าย–ขวาพร้อมกัน จนกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์
Collapse (Wave Function Collapse):
เมื่อมีปฏิสัมพันธ์ สถานะที่ซ้อนกันจะ "ยุบ" เหลือสถานะเดียว
Decoherence:
การที่สิ่งแวดล้อมบีบให้อนุภาคเลือกสถานะ โดยไม่ต้องมีผู้สังเกต
Schrödinger's Cat:
การทดลองสมมุติที่กล่าวว่า แมวจะอยู่ในสภาวะ "ทั้งตายและไม่ตาย" จนกว่าเราจะเปิดกล่องดู
🌀 Superposition: ภาวะของโลกที่ยังไม่ลงตัว
ในระดับควอนตัม:
โฟตอนหนึ่งอาจวิ่งไปทางซ้ายและขวาพร้อมกัน
อิเล็กตรอนหนึ่งอาจอยู่ในหลายวงโคจรพร้อมกัน
แม้แต่ "แมว" ก็อาจอยู่ในสถานะ "ทั้งตายและไม่ตาย" จนกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์
นี่ไม่ใช่ "ความจริงแท้"
แต่คือสภาวะที่ยังไม่แน่นอน — ที่รอการปรุงแต่งโดยเหตุปัจจัย
👁️‍🗨️ Collapse: เมื่อสภาวะถูกตัดสินใจโดยเหตุปัจจัย
ในบางแนวคิดยุคแรก เช่น Copenhagen Interpretation เชื่อว่า:
"การสังเกต" ทำให้สภาวะ collapse
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่าระบบต้องเป็นระบบปิด — ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใด ๆ ก่อนการสังเกต
แต่ในความเป็นจริง...
ทุกสิ่งในจักรวาลเปิดอยู่เสมอ ไม่มีระบบปิดจริง ๆ
คลื่นไมโครเวฟ, อนุภาค, ความร้อน, สนามแม่เหล็ก — ทุกอย่างทำหน้าที่ "ปฏิสัมพันธ์"
ดังนั้น...
✅ Decoherence คือแนวคิดที่แม่นยำกว่า:
"สิ่งที่เราเห็น collapse ลง เพราะสิ่งนั้นมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ไม่ใช่เพราะมีผู้สังเกต"
🐱 Schrödinger's Cat: โลกในสายตาของใคร?
ถ้าแมวมีจิตรับรู้
แมวย่อมรู้ชะตาตนเองก่อนเปิดกล่อง
แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดกล่อง
โลกในสายตานั้น ยังอยู่ในสภาวะทับซ้อน
โลกที่ปรากฏ = ขึ้นอยู่กับจิตที่ไปรับรู้
แต่ละคนเห็น "โลก" ตามเหตุปัจจัยและกรรมที่ตนมี
🧘‍♂️ พุทธธรรม: โลกเกิดขึ้นเมื่อมีจิตไปรับรู้
ใน ปัจจยสูตร (พระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ เล่ม 16 ข้อที่ 61)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า:
"วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ"
(เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงเกิดขึ้น)
แปลว่า:
เมื่อมีวิญญาณเกิดขึ้น นามรูปก็อาศัยเกิดขึ้นด้วย — โลกในสายตาของผู้มีอวิชชาจึงปรากฏ
แต่โลกในสายตานั้น
เป็นเพียงโลกที่ปรุงแต่งขึ้นจากกรรมและอวิชชา
ไม่ใช่ ธรรมะที่แท้จริง ซึ่งอยู่นอกเหนือการปรุงแต่ง
📜 โลกในสายตาของผู้มีอวิชชา = ผลของกรรม
ใน สํสปฺปติปริยายสูตร (พระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ เล่ม 24 ข้อที่ 193) พระพุทธเจ้าตรัสว่า:
"กมฺมสฺสกา ภิกฺขเว สตฺตา... ตสฺส ทายาทา ภวนฺติ"
(สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น)
ดังนั้น...
❝ 'โลก' ที่ปรากฏต่อผู้มีอวิชชาแต่ละคน
คือผลกรรมเฉพาะของแต่ละคน ❞
บางคนเห็นแมวตายแล้วเศร้า
บางคนเห็นแมวตายแล้วเฉยเมย
เพราะกรรมเก่าแต่ละชุด ต่างกัน
🎭 Collapse ของสภาวะ ≠ Collapse ของเวทนา
แม้ "รูป" ที่ปรากฏเหมือนกัน (เช่น แมวตาย)
แต่ "เวทนา" (ความรู้สึก) ที่เกิดขึ้นต่างกัน
โลกที่ปรากฏในสายตาเรา = ผลของกรรม + จิตที่ไปรับรู้
⚖️ Copenhagen vs Decoherence: สอดคล้องธรรมะไหม?
แนวคิด | สอดคล้องกับธรรมะหรือไม่?
Copenhagen Interpretation | ❌ ไม่สอดคล้อง (สมมุติว่ามี "ผู้สังเกต" ตัดสินโลก)
Decoherence | ✅ สอดคล้อง (โลกปรากฏเพราะเหตุปัจจัยสัมพันธ์กัน)
ในพระธรรม:
ไม่มี "ผู้สังเกตถาวร" (อนัตตา)
วิญญาณเองก็แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย
🪶 Superposition: เงาสะท้อนเลือน ๆ ของสุญญตา
ในช่วงที่อนุภาคยังไม่ collapse:
ยังไม่มีตัวตนแน่นอน
ยังไม่ฟิกซ์อยู่ในสถานะใด
เปลี่ยนแปลงได้ตามปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ซึ่ง คล้ายคลึงบางประการ กับแนวคิด "สุญญตา" ในพระพุทธศาสนา:
สิ่งทั้งหลายไม่ตั้งมั่น
เกิดจากเหตุปัจจัย
ไม่มีตัวตนถาวร
แต่ต้องระวังว่า:
❌ Superposition ไม่ใช่สุญญตาโดยตรง
✅ Superposition เป็นเพียงภาพจำลองในระดับสสาร
✅ ส่วนสุญญตาในพุทธธรรม เป็นการว่างจากตัวตน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม (รูป-นาม-ขันธ์ห้า) อย่างสิ้นเชิง และลึกถึงการปล่อยวางจากอัตตา
🧠 พูดอีกแบบ:
Superposition คือเงาสะท้อนจาง ๆ ของสุญญตาในโลกของสสาร
แต่...
สุญญตาแท้จริง อยู่ลึกกว่านั้น — ในใจของผู้รู้แจ้งเอง
🌌 บทสรุป: โลกที่เรารับรู้
❝ โลกในสายตาของเรา = ผลของจิต + กรรม + เหตุปัจจัย ❞
❝ ธรรมะที่แท้จริง = ความเป็นไปของเหตุปัจจัย ที่ว่างจากตัวตน ❞
ดังนั้น...
"โลก" ที่เรารู้สึกสัมผัส = โลกในสายตาของผู้มีอวิชชา
"ธรรมะ" ที่แท้จริง = ไม่ขึ้นต่อผู้สังเกต ไม่ปรุงแต่ง
🔔 หมายเหตุสำคัญ:
ในบทนี้ ทุกครั้งที่ใช้คำว่า "โลก" หรือ "โลกที่รับรู้"
หมายถึง "โลกในสายตาของผู้มีอวิชชา" เท่านั้น
ส่วน "ธรรมะที่แท้จริง" อยู่นอกเหนือการรับรู้ของผู้มีอวิชชา
📖 อ่านต่อ:
ในบทนี้ เราได้เห็นแล้วว่า โลกที่จิตรับรู้นั้น เกิดจากการปรุงแต่งด้วยกรรมและเหตุปัจจัย
แต่... ธรรมชาติที่แท้จริง ยังมี "สิ่งที่ไม่ถูกปรุงแต่ง" อยู่ — สิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่าเป็นเป้าหมายสูงสุด
✅ เพื่อเข้าใจ "อสังขตธรรม" — ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง —
ขอเชิญต่อไปที่:
ตอนที่ 2.1 — อสังขตธรรม และโลกที่พ้นจากการปรุงแต่ง
⚠️ หมายเหตุสำคัญ:
หากคุณเคยอ่านบทนี้ก่อนวันที่ 30 เมษายน 2568
ลิงก์ที่ชี้ไปตอนเสริมพิเศษ 2.1 อาจไม่ถูกต้อง
โปรดอ่านตอนที่ 2.1 อีกครั้งจากลิงก์นี้เพื่อความเข้าใจธรรมะอย่างครบถ้วน:
📎 แหล่งอ้างอิง:
– พระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ:
ปัจจยสูตร (เล่ม 16 ข้อ 61): https://etipitaka.com/read/pali/16/30/
สํสปฺปติปริยายสูตร (เล่ม 24 ข้อ 193): https://etipitaka.com/read/pali/24/309/
สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม (เล่มที่ 20 ข้อ 486-487): https://etipitaka.com/read/pali/20/192/
– Stanford Encyclopedia of Philosophy:
– Stanford Encyclopedia of Philosophy:
Copenhagen Interpretation of Quantum Mechanics: https://plato.stanford.edu/entries/qm-copenhagen/
– Stanford Encyclopedia of Philosophy:
The Role of Decoherence in Quantum Mechanics: https://plato.stanford.edu/entries/qm-decoherence/
- What did Schrodinger's Cat experiment prove?
Christopher S. Baird, author of The Top 50 Science Questions with Surprising Answers and Associate Professor of Physics at West Texas A&M University
🙏 #ฟิสิกส์โลกธาตุ #ควอนตัม #ธรรมะ #พระไตรปิฎก #พุทธปรัชญา #Schrödinger #superposition #ปฏิจจสมุปบาท #อนัตตา #สุญญตา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา