28 เม.ย. เวลา 10:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

4 หุ้นเนื้อสัตว์วิ่งคึก! กูรูมองผลงาน Q1 สดใส

แนวโน้มกำไรโตยาวถึง Q3/68 หลังราคาหมู-ไก่ฟื้นตัวดีกว่าคาด
ราคาหุ้นกลุ่มเนื้อสัตว์ TFG-BTG-GFPT-CPF ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หลังโบรกฯ คาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/68 กลุ่มเนื้อสัตว์จะออกมาสดใส พร้อมทั้งเพิ่มน้ำหนักเป็นมากกว่าตลาด จากราคาเนื้อสัตว์ที่ดีเกินคาดและแนวโน้มกำไรที่อยู่ในเกณฑ์ดีในงวดครึ่งปีแรก 2568
วันนี้ (28 เม.ย.68) ราคาหุ้นของ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 5.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 4.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 135.77 ล้านบาท
ด้าน บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 22.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 4.09% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 151.96 ล้านบาท
ขณะที่ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 9.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือ 1.54% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52.27 ล้านบาท
อีกทั้ง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 26.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.97% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 380.85 ล้านบาท
โดยบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุ คาดกำไรไตรมาส 1/68 ของกลุ่มเนื้อสัตว์จะออกมาสดใส (+47% จากไตรมาสก่อน, +466% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากราคาเนื้อสัตว์ที่ดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ขึ้น 45% เป็นโต 16%
อีกทั้งราคาเนื้อสัตว์ฟื้นตัวดีกว่าคาด จากต้นปีถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ราคาหมูเฉลี่ยในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 80-82 บาท/กก. (+19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) ในไทยและ VND65,000/กก. (+22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) ในเวียดนามโดยได้ปัจจัยผลักดันจากอุปทานที่ลดลงจากปัญหาโรคระบาดและความเสียหายจากน้ำท่วมในไตรมาส 4/67
ในขณะที่ราคาไก่ไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 40 บาท/กก. ราคาหมูจีนกลับยังไม่ฟื้นตัวและอยู่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งทำให้ปรับสมมติฐานราคาหมูในปี 2568 โดยปรับขึ้น 7% ในไทย และปรับลด 3% ในจีน แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบจะยังทรงตัวในระดับต่ำ ปรับลดสมมติฐานราคากากถั่วเหลืองลง 18% แต่ปรับเพิ่มประมาณการราคาข้าวโพดขึ้น 5% ทั้งหมด
ทำให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ของกลุ่มเนื้อสัตว์ขึ้น 45% เป็นโต 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดย BTG (+62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) TFG (+33%) และ CPF (+12%) ในขณะที่ประมาณการตัวเลขการเติบโตสำหรับ GFPT ยังคงเดิมที่ 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไม่กระทบกลุ่มเนื้อสัตว์โดยตรง เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นคู่ค้าหรือคู่แข่งของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ไทย อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ถ้าสินค้าดังกล่าวเป็นข้าวโพดหรือกากถั่วเหลือง กรณีดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรที่ทำปศุสัตว์
อย่างไรก็ดีถ้าเป็นการนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ กรณีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาหมูในประเทศ ทั้งนี้ CPF, BTG และ TFG ได้รับประมาณ 17% ของรายได้รวมจากธุรกิจหมูไทย จากการศึกษาความเป็นไปได้ พบว่าถ้าราคาหมูไทยลดลง 10% จะกระทบกำไรสุทธิประมาณ 5% อย่างไรก็ดี เชื่อว่าความเป็นไปได้มีต่ำ เนื่องจากมีการใช้ Ractopamine ในหมูจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในไทยและมีการคัดค้านอย่างรุนแรงจากเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู
ในส่วนของการนำเข้าเครื่องในสัตว์เพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ถ้ามีการควบคุมอย่างเหมาะสมและใช้ต้องตรงตามวัตถุประสงค์ ปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีผลกระทบจำกัดต่อราคาหมูไทย อย่างไรก็ดีมีข่าวเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 25 ว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจไม่นำเข้าหมูหรือเครื่องในจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี เพิ่มน้ำหนักเป็นมากกว่าตลาด จากราคาเนื้อสัตว์ที่ดีเกินคาดและแนวโน้มกำไรที่อยู่ในเกณฑ์ดีในงวดครึ่งปีแรก 2568 (ซึ่งอาจต่อเนื่องไปในไตรมาส 3/68) โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้นทั้ง 4 บริษัทใน กลุ่มฯ โดยมี BTG เป็นหุ้นเด่นจากเหตุผล 5 ประการประกอบด้วย 1) การเติบโตของกำไรปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะสูงที่สุด 2) สถานะทางการเงินที่อยู่ในเกณฑ์ดีโดยมีสัดส่วนหนี้ต่อส่วนผู้ถือหุ้นและหนี้มีดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 1.25x และ 0.75x ตามลำดับ
3) การได้เข้า the SET ESG Index เป็นครั้งแรกด้วยอันดับความน่าเชื่อถือสูงที่สุดที่ AAA 4) ราคาที่เคลื่อนไหวต่ำกว่ากลุ่มฯ โดยมีผลตอบแทน -21.7% ในปี 2567 และ -1.1% YTD และ 5) Valuation ในระดับที่น่าสนใจโดยมีการซื้อขายในปัจจุบันที่ 9.3x P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
สำหรับราคาเป้าหมายทั้ง 4 หุ้น ดังนี้ BTG ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท, TFG ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท, CPF ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท และ GFPT ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท
โฆษณา