29 เม.ย. เวลา 03:10 • การเมือง

Part 3 : เครือข่ายที่ไม่มีเส้นขอบ

ป้อมบินเคลื่อนที่ยุคใหม่
ในศตวรรษที่ 20 เรือบรรทุกเครื่องบินคือสัญลักษณ์ของมหาอำนาจ เป็นสนามบินลอยน้ำ ที่เคลื่อนตัวไปได้ทุกที่ แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โลกที่ข้อมูลเร็วกว่าเสียงและขีปนาวุธเร็วกว่าเครื่องบิน บทบาทของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ไม่ได้หมายถึงแค่ฐานยิงหรือปล่อยเครื่องบินอีกต่อไป
มันกลายเป็นเครือข่ายสงครามเคลื่อนที่ เป็นจุดเชื่อมต่ออากาศ, ทะเล, อวกาศ และไซเบอร์
และเป็นป้อมที่ไม่เพียงสามารถเปิดการโจมตีแต่ยังต้องรอดภายใต้การโจมตีที่มองไม่เห็นด้วย
ศึกใหม่ไม่ได้ถามว่าใครมีเรือใหญ่กว่า
แต่ถามว่าใครเชื่อมโยงป้อมบินกับเครือข่ายสงครามได้ลึกกว่า
USS Ford Class มหานครลอยน้ำที่ยิงอาวุธได้ด้วยตัวเอง เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นฟอร์ด (USS Gerald R. Ford Class) คือการนิยามใหม่ของการรบกลางทะเล
Electromagnetic Aircraft Launch System (EMALS) คือระบบปล่อยเครื่องบินด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า แทนระบบไอน้ำแบบเก่า ซึ่งช่วยลดน้ำหนัก, เพิ่มจำนวนเที่ยวปล่อย และลดสัญญาณตรวจจับทางความร้อน
Advanced Arresting Gear (AAG)
ระบบหยุดเครื่องบินล่าสุดที่สามารถรองรับอากาศยานน้ำหนักเบาและหนักได้ในช่วงที่กว้างขึ้น ลดจำนวนลูกเรือเพราะใช้ระบบอัตโนมัติเพิ่มขึ้นกว่า 30% ทำให้เรือลำนี้ต้องการลูกเรือน้อยกว่า Nimitz Class หลายร้อยคน
พลังงานสำรองสำหรับอนาคต แบบ Reactor รุ่นใหม่ สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอสำหรับอนาคต เช่น ระบบอาวุธเลเซอร์ หรือ Railgun
Ford Class ไม่ใช่แค่เรือบรรทุกแต่มันคือ มหานครเคลื่อนที่ที่สามารถเปิดศึกเองได้โดยไม่ต้องรอเครื่องบินกลับฐาน ในมุมยุทธศาสตร์ มันไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อยิง แต่เพื่อเชื่อมโยงทุกรูปแบบของการรบ ทั้งทางทะเล, อากาศ, อวกาศ, และไซเบอร์ ผ่านเครือข่ายข้อมูลระดับกองทัพ
USS Nimitz Class เงาที่หล่อหลอมศตวรรษที่ผ่านมา ก่อนจะมีฟอร์ด โลกถูกปกครองโดยเรือบรรทุกชั้นนิมิตซ์ ที่เปิดยุคด้วย Carrier Battle Group
Nimitz ไม่ได้ออกไปเดี่ยว ๆ แต่มาพร้อมเรือพิฆาต, เรือดำน้ำ, และเรือลำเลียง ก่อรูปเป็นกองเรือที่เคลื่อนตัวเป็น เกราะ และ หอก พร้อมกัน การใช้กำลังทางอากาศแบบเคลื่อนที่ ทำให้สหรัฐฯ ไม่ต้องมีฐานทัพทั่วโลกอีกต่อไปเพราะสามารถสร้างสนามบินชั่วคราวได้ทุกที่ในโลก
ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเกิน 50 ปี แม้จะเก่า แต่ยังถูกอัปเกรดเสมอ ทั้งเรดาร์, ระบบขีปนาวุธป้องกัน, และอำนาจการบังคับบัญชา
Nimitz คือเงาเบื้องหลังทุกชัยชนะของสหรัฐฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังคงเป็นกำลังสำรองลับที่พร้อมเปลี่ยนสมดุลโลกในยามวิกฤติ
Queen Elizabeth Class ป้อมใหม่ของโลกเก่า
อังกฤษ แม้จะไม่ใช่มหาอำนาจเท่าเดิม แต่ยังคงวางตัวในโลกยุทธศาสตร์ผ่านเรือบรรทุกชั้นควีนเอลิซาเบธ ซึ่งถูกออกแบบเพื่อ F-35B ให้เครื่องบินขึ้นลงแนวดิ่ง (STOVL) ทำให้ไม่ต้องติดตั้ง EMALS เหมือนฟอร์ด แต่ได้ความยืดหยุ่นสูงในพื้นที่จำกัด
Twin-Island Design
สร้างสองฐานกลางเรือ ได้แก่ฐานบัญชาการและฐานเครื่องยนต์แยกกัน เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมและลดโอกาสถูกโจมตีจุดเดียว
บทบาทมันใน NATO ไม่ได้เป็นกำลังรบเพียงเดี่ยวๆ แต่คือส่วนเสริมของเครือข่ายรบ NATO ทั้งในยุโรปและทะเลจีนใต้ ควีนเอลิซาเบธไม่ใช่เรือที่สร้างมาเพื่อสู้เดี่ยว แต่มันคือตัวคูณพลังเครือข่ายที่ยกระดับการบังคับบัญชาและส่งเสริมการโจมตีเชิงซ้อน
Carrier Battle Group เครือข่ายสงครามที่ลอยลำ
เรือบรรทุกเครื่องบินยุคใหม่ไม่ได้เคลื่อนตัวลำพัง
มันคือศูนย์กลางของระบบนิเวศรบที่เชื่อมต่อกัน
เรือพิฆาต Aegis เช่น USS Arleigh Burke มีหน้าที่ สกัดขีปนาวุธโจมตี
เรือดำน้ำโจมตีเร็ว แบบ Fast Attack Submarines มีหน้าที่ล่าศัตรูใต้น้ำ
เรือสนับสนุน Supply Ships ช่วยยืดอายุการปฏิบัติการได้นานนับเดือน
UAV และระบบเครือข่ายดาวเทียม สามารถเสริมการตรวจจับและป้องกันการโจมตีแบบไร้เสียง
Carrier Battle Group เปลี่ยนจากกองเรือ
เป็นเครือข่ายรบเคลื่อนที่ที่พร้อมเปิดศึกได้ในทุกสมรภูมิ ในสงครามใหม่ จุดอ่อนจุดเดียวไม่อาจมีได้ แต่ละหน่วยจะต้องกลายเป็นเซลล์ของเครือข่ายที่เสริม บรรเทาและฟื้นฟูซึ่งกันและกัน
ทั้งหมดคือสงครามที่ไม่มีขอบเขต เรือบรรทุกเครื่องบินในวันนี้ไม่ได้วัดกันที่ขนาด หรือจำนวนเครื่องบินที่บรรทุกได้อีกต่อไป มันวัดกันที่ใครเชื่อมต่อได้ลึกกว่า ใครปกป้องเครือข่ายตัวเองได้นานกว่า ใครควบคุมสนามรบที่มองไม่เห็นได้แนบเนียนกว่า
ในสนามรบใหม่ ป้อมที่ใหญ่ที่สุดอาจพังทลายภายในเสี้ยววินาที ถ้าเครือข่ายรอบตัวมันแตกหักก่อน สงครามเรือบรรทุกเครื่องบินจึงไม่ใช่แค่เรื่องของมหาอำนาจอีกต่อไป แต่มันคือสงครามของ เครือข่ายที่ไม่มีเส้นขอบ
#เครือข่ายที่ไม่มีเส้นขอบ
โฆษณา