Unbreakable II (Fearless 2) 2025 C-Drama
ละครเรื่องนี้เป็นภาคสองของเรื่อง The Fearless (2023) ซึ่งต่อเนื่องมาจากภาคแรกแบบแทบทั้งหมด ตัวละตร ดารานำ กระทั่งเคสที่มีการสรุปว่าความกันไปแล้วในครั้งก่อนยังมามีภาคต่อเนื่องในภาคสองนี้ด้วย ในภาคนี้ นางเอก หลัวอิงจื่อ กับเพื่อนทนายความ ชิวฮวา จะได้มีโอกาสเติบโตขึ้นมากโดยแค่เริ่มเรื่องทั้งสองคนก็โดนไล่ออกจากบริษัทแบบงงๆเลยทีเดียว ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะบินไปในโลกกว้างด้วยการเปิดสำนักงานทนายความของตนเอง
ในภาคสองนี้ตัวละครอีกตัวที่เริ่มเด่นและมีบทบาทมากขึ้นคือ เซี้ยชู น้องเล็กที่ในภาคแรกมีคุณพ่อเป็นข้าราชการใหญ่เลยได้ทำงานในบริษัทแบบคนมีสิทธิพิเศษกระทั้งได้เป็นหุ้นส่วนบริหาร ในภาคสองนี้แกโดนไล่ออกพร้อมพี่สาวทั้งสองคน พร้อมๆกับพ่อถูกฟ้องร้อง ประมาณนางฟ้าตกสวรรค์ บทของตัวละครตัวนี้จะมีการพัฒนาตลอดจากเด็กไม่หย่านมมาเป็นเด็กกินก๋วยเตี๋ยวใส่พริกเผ็ดได้ประมาณนั้น
สำหรับพระเอก ทนายความเฉินฉั่ว ภาคนี้แกก็ไม่มีปิดบังหละ ว่าชอบนางเอกจริงจัง เรื่องนี้ดูๆไปจะสงสารพระเอกมากแล้วก็จะรู้ได้เลยว่า นางเอกนี่ท่าทางต่อมอีคิวจะไม่ทำงานในเวลาที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับพระเอก จนถึงขนาดที่ดูๆไปอาจงงได้ว่า แล้วอะไรที่ทำให้พระเอกยังคงชอบนางเอกอยู่นั่นหละ อย่าว่าหละนักล่าก็จะชอบอะไรที่ท้าทายประมาณนั้น แต่ก็นั่นหละน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แต่แหล่งน้ำนี่ก็มีวันหมดได้เหมือนกันนะ
ภาคสองนี้ จะมีตัวละครอีกตัวที่แนะนำเข้ามา เป็นทนายความสวี ที่ใครๆ ก็ยกให้เป็นทนายความในอุดมคติของหญิงสาวมากหลาย เวลาดูๆ แล้วจะเห็นอาการเฟคหน่อยๆได้เลยว่า ทนายความนี่อาการแกหิวแสงเหลือเกิน แล้วพอเรื่องดำเนินไปนี่ คนดูน่าจะพอเดาได้ว่าเจ้านี้หละ หน้าอย่างหลังอย่างจริงๆ แต่แน่นอนบทละครก็จะต้องทำให้คนที่เจอคนแบบนี้กับตัวเองแบบเบลอจะไม่มีวันรู้แน่นอนว่ากำลังเจอกับมนุษย์หน้ากากหลายแบบอยู่นะ
กรณีนี้ถ้าคิดดีๆ เราทุกคนอาจเจอกับคนรอบๆตัวเหมือนทนายความสวี นี่เช่นกัน พูดจาดี ทำอะไรกับเราดูดีไปหมด แต่ถ้าเราลองใช้เวลาลองมองเข้าไปภายใต้การกระทำหลายๆอย่างของคนนั้นว่า ถ้าเราหมดประโยชน์แล้วหละ หรือในตัวเราไม่มีคุณค่าพอที่จะให้เค้าคาดหวังว่าจะมีประโยชน์กับเค้าในอนาคตแล้ว หรือเกิดความขัดแย้งในแง่ผลประโยชน์ในแง่ความคิดหรือค่านิยมขึ้นมา คนๆนั้นจะยังพูดจาดี แสดงอาการสุภาพอ่อนโยนเกินหนังสือสมบัติผู้ดีกำหนดกับเราอีกมั้ย อันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน
มีคำพูดนึงที่ มาดามเหม่ยพูดในตอนต้นเรื่องเลยว่า ”เป็นธรรมชาติของคนที่จะมีความอิจฉาริษยา แต่การจัดฉากใส่ร้ายนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ“ อันนี้ก็น่าสนใจให้คิดต่อ บางทีการที่เรามีชีวิตจนถึงป่านนี้ เราโดนจัดฉากหรือบังคับให้ต้องทำอะไรโดยที่เราไม่รู้ตัวไม๊ หรือ มีประโยคที่ นายเฉิน พระเอก กระตุกความคิดนางเอกตอนที่พยายามสืบหาว่าใครเป็นคนหักหลังมาดามเหม่ย แกบอกว่า “การมีผลประโยชน์ร่วมกันไม่ได้หมายถึงทุกฝ่ายพึงพอใจกับส่วนแบ่งที่ได้รับนั้น” ประมาณทฤษฎีผลประโยชน์เลยทีเดียว
อีกอย่างที่น่าสนใจคือคนในสังคมนี่ พอบอกว่ารักกันปรองดองกันคิดถึงอนาคตร่วมกันแล้ว แต่ดูเหมือนรีบร้อนกันจนไม่เคยสละเวลาที่จะเข้าใจอดีตหรือปมของกันและกัน ก็คือเข้าใจกันและกันอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี ตอนจบของเรื่องนี้จะเหมือนไม่แฮปปี้เอนดิ้ง คิดว่าเป็นเพราะลากกันต่อไปในภาค 3 นั่นเอง อันนี้ไม่แน่ใจ จะให้มองว่าจบแล้วก็ได้ เพราะว่าทุกเรื่องราวไม่ได้จำเป็นว่าต้องจบแบบ "และแล้วเจ้าชายและเจ้าหญิง ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในปราสาทสี่ฤดู" เสมอเสียเมื่อไหร่
ตัวละครย่อยอีกตัวนึงที่ถูกแทรกเข้ามาในฐานะลูกความกึ่งเพื่อนของน้องเล็กเซี้ยชูนี่ก็น่าสนใจ คือเฮ่าเล่ย แกเป็นรุ่นลูกที่กำลังเรียนที่อเมริกามีพ่อเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ วันนึงพ่อตายอย่างกระทันหัน ลุงและอากำลังพยายามแย่งสมบัติพ่อไปโดยคิดว่าแกเป็นเด็ก ก็จะบีบให้แกกลับไปเรียนหนังสือแล้วแม่ลูกก็ต้องเซ็นยินยอมยกหุ้นให้ลุงกับอาดูแลธุรกิจ เหตุการณ์นี้อาการคล้ายๆกับเรื่อง Princess Royal ที่พระเอกโดนอาๆ บีบเหมือนกันเลย ประมาณว่าจะเวลานานแค่ไหนผลประโยชน์ความขัดแย้งของคนครอบครัวมาในหน้าตาเดิมๆจริงๆเทียว
นอกจากนี้มีอยู่ตอนนึงที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการตีความของคดี โดยการให้ความเห็นของนักวิชาการประกอบด้วย ไม่ได้เพียงแต่ตีความตรงๆ จากกฎหมายเสียอย่างเดียว เป็นการบอกให้รู้ได้เลยว่าระบบยุติธรรมของจีนมีความยืดหยุ่นให้สอดคล้องทันสมัยกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและคนที่อยู่ในสังคมขนาดไหน
ภาคสองมีแค่ 38 ตอน ตอนละ 42 นาที ประมาณ 26 ชั่วโมง 3 วันน่าจะจบ ลองเข้าไปดูได้ใน iQiYi
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
