29 เม.ย. เวลา 00:31 • ปรัชญา

บทความไม่มีชื่อ

ตอนที่ 1: กำแพงที่มองไม่เห็น
เสียงกริ่งสุดท้ายของโรงเรียนดังขึ้น ท่ามกลางแดดยามบ่าย เด็กสองคนเดินออกจากรั้วเดียวกัน แต่โลกเบื้องหน้าของพวกเขากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้เส้นทางจะไม่มีประตูปิดกั้น แต่กลับมีกำแพงที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ทุกย่างก้าว รอคอยพิสูจน์ว่า ใครจะปีนข้ามไปได้ และใครจะติดอยู่ด้านล่างตลอดชีวิต
เด็กชายผู้เติบโตในครอบครัวมั่งคั่ง มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยพอร์ตโฟลิโอแน่นไปด้วยรางวัล ผลงาน และประสบการณ์จากต่างประเทศ เขาไม่เคยต้องกังวลเรื่องค่าเล่าเรียน หรือค่าครองชีพ ชีวิตนักศึกษาของเขาคือการต่อยอดความสำเร็จที่ถูกวางพื้นฐานไว้แล้ว ตั้งแต่ยังไม่รู้จักคำว่าความลำบาก
ในขณะที่เด็กหญิงอีกคน แม้สอบติดมหาวิทยาลัยรัฐด้วยคะแนนสอบที่โดดเด่น แต่กลับต้องเลือกทางเดินที่ไม่เคยอยากเลือก เพราะภาระของครอบครัวคือสิ่งที่กดทับอยู่บนไหล่เธอมานาน เธอต้องลาออกก่อนเปิดเทอม เพียงเพราะเงินก้อนหนึ่งกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่เกินกำลัง
"แค่ได้เรียน... ก็เหมือนฝันแล้ว" เธอเคยพูดกับเพื่อนด้วยรอยยิ้มจางๆ ราวกับกลัวว่าความฝันนั้นจะระเหยหายไปกับอากาศ ก่อนจะรู้ตัวว่า บางฝันไม่ใช่แค่ต้องพยายาม แต่มันต้องจ่ายด้วยสิ่งที่เธอไม่มี
ในโลกที่โอกาสไม่เคยเสมอกันตั้งแต่แรก ไม่มีใครเห็นกำแพงนั้นจริงๆ เพราะสำหรับบางคน มันไม่เคยมีอยู่เลย
ตอนที่ 2: เส้นทางที่เริ่มไม่พร้อมกัน
โลกการทำงานเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กชายเริ่มฝึกงานในบริษัทระดับโลกจากเส้นสายของครอบครัว ได้รับชุดสูทสั่งตัดและการต้อนรับด้วยรอยยิ้ม พร้อมคำชมที่เหมือนเป็นบัตรผ่านสู่อนาคตที่สว่างไสว
ในขณะที่เด็กหญิงต้องทำงานร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อเก็บเงินเลี้ยงดูตัวเอง เธอเรียนรู้การบริการจากประสบการณ์จริง ไม่มีชื่อบริษัทใหญ่ในเรซูเม่ ไม่มีโปรไฟล์สวยงามใน LinkedIn ไม่มีคอนเนกชันใดช่วยส่งเธอให้ไกลกว่าวงจรเดิมๆ
เมื่อถึงวันที่ต้องเข้าสัมภาษณ์งาน เด็กชายเดินเข้าห้องด้วยความมั่นใจจากรากฐานที่มั่นคง เธอเดินเข้าไปด้วยความหวังเพียงน้อยนิด สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่มี แต่ก็ถูกมองผ่านเหมือนเป็นเพียงเงา และจบลงด้วยประโยคที่คุ้นชินเกินไปว่า "จะติดต่อกลับไป"
แม้ความสามารถจะไม่ต่างกันนัก แต่โลกภายนอกไม่เคยมองทุกคนด้วยสายตาเดียวกัน
เรามักได้ยินว่า "ความพยายามไม่เคยทรยศใคร" แต่ไม่มีใครบอกว่า ความพยายามของคนที่ไม่มีต้นทุน ต้องเหนื่อยมากกว่าหลายเท่า ต้องกัดฟันยืนหยัดแม้แรงแทบจะหมด ก่อนจะได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของผลลัพธ์
กำแพงที่แท้จริง ไม่ใช่กำแพงอิฐหรือเหล็กกล้า แต่มันคือระบบที่เลือกเปิดประตูให้เฉพาะคนที่ "ดูมีศักยภาพ" ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ลอยๆ บางครั้ง แค่เพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยดัง หรือมีโปรไฟล์ที่ถูกต้องตามแบบแผน
เด็กหญิงที่เคยฝันอยากเป็นครู ต้องหยุดความฝันไว้ที่ชั้น ม.6 ในขณะที่เด็กชายที่มีทางเลือกไม่จำกัด เดินหน้าเติบโตโดยไม่เคยสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่ากำแพงแม้แต่ครั้งเดียว
คำถามสุดท้ายยังคงก้องอยู่ในใจ
มันยุติธรรมจริงๆ หรือ?
ในโลกที่บางคนต้องวิ่งสุดชีวิต เพื่อมายืนในจุดเริ่มต้นที่อีกคนได้มาตั้งแต่เกิด
ในโลกที่ความฝันของบางคน เป็นของธรรมดาสำหรับอีกคนหนึ่ง
เรายังกล้าตัดสินกันแค่จาก "ผลงานสุดท้าย" ได้อีกหรือเปล่า โดยไม่เคยมองเส้นทางที่พวกเขาเดินมา
โฆษณา