เมื่อวาน เวลา 04:14 • ข่าวรอบโลก

ไฟดับใหญ่กลางคาบสมุทรไอบีเรีย: บทเรียนราคาแพงจากความเปราะบางที่ซ่อนอยู่

ในค่ำคืนที่ควรเงียบสงบของฤดูใบไม้ผลิ คาบสมุทรไอบีเรียกลับต้องเผชิญความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่ว…
วันที่ 28 เมษายน 2025 โลกได้เห็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรปยุคใหม่
สเปน โปรตุเกส และบางส่วนของฝรั่งเศสตอนใต้ จมอยู่ในความมืดสลัว ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนชั่วขณะ
จุดเริ่มต้นของความมืด
ปรากฏการณ์เริ่มต้นขึ้นในสเปน…
บริษัทผู้ดำเนินการระบบไฟฟ้าในโปรตุเกส (REN) รายงานว่า การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วผิดปกติในแผ่นดินตอนในของสเปน ส่งผลให้สายส่งไฟฟ้าแรงสูงเกิดการสั่นสะเทือนทางกายภาพ
การสั่นนั้นกระตุ้นความถี่ของไฟฟ้าในระบบให้เบี่ยงเบนจากค่ามาตรฐาน 50 Hz
ในระบบไฟฟ้าแบบซิงโครไนซ์ขนาดยักษ์ของยุโรป การเบี่ยงเบนเพียงเล็กน้อย…ก็อาจก่อให้เกิดหายนะได้
ไม่นานหลังจากนั้น การเชื่อมต่อไฟฟ้าระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสขาดสะบั้น การสูญเสียเสถียรภาพของระบบทำให้ต้องปลดโหลดฉุกเฉิน (underfrequency load shedding) ในเวลาเพียง 5 วินาที
ไฟฟ้ากว่า 15 กิกะวัตต์ —คิดเป็นราว 60% ของไฟฟ้าที่สเปนต้องการ—หายวับไปอย่างไร้การเตือนล่วงหน้า
ความโกลาหลกลางความมืด
มาดริด บาร์เซโลนา เซบียา ลิสบอน ปอร์โต…เมืองใหญ่ที่เคยสว่างไสวตกอยู่ในความเงียบงัน
   •   รถไฟใต้ดิน รถไฟระหว่างเมืองหยุดวิ่ง
   •   สนามบินหลายแห่งต้องยกเลิกและเลื่อนเที่ยวบินรวมกว่าหลายร้อยเที่ยว
   •   โรงพยาบาลหลายแห่งต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟสำรองอย่างเร่งด่วน
   •   ระบบสื่อสารและอินเทอร์เน็ตล่มในหลายพื้นที่
ผู้คนแห่กันไปซื้อน้ำ อาหารแห้ง และของจำเป็น จนสินค้าเกลี้ยงตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความกังวล แม้จะไม่มีการจลาจลขนาดใหญ่ แต่รัฐบาลสเปนก็ไม่ประมาท
ระดมกำลังตำรวจ กว่า 30,000 นาย ประจำการทั่วประเทศเพื่อป้องกันเหตุร้ายและรักษาความสงบเรียบร้อย
สาเหตุที่ยังรอการสรุป
เบื้องต้น บริษัท REN และ REE (ผู้ดำเนินการระบบไฟฟ้าของสเปน) ยืนยันตรงกันว่า “ยังไม่พบหลักฐานการโจมตีทางไซเบอร์”
ปรากฏการณ์ครั้งนี้จึงถูกเชื่อมโยงกับความผิดปกติทางกายภาพในสายส่งและระบบควบคุมความถี่
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนยังเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียด
ในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์สามารถแฝงตัวอย่างแนบเนียน
ความผิดปกติของระบบขนาดใหญ่มักไม่ได้มีสาเหตุเดียว และอาจซ่อนเบื้องหลังมากกว่าที่ตาเห็น
เมื่อโดมิโนใบเดียวล้มทั้งทวีป
ระบบไฟฟ้ายุโรปถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกันเป็น โครงข่ายซิงโครไนซ์ขนาดใหญ่ (Synchronous Grid)
ข้อดีคือ ประหยัดพลังงาน มีเสถียรภาพในการแลกเปลี่ยนไฟฟ้าระหว่างประเทศ
แต่ข้อเสีย…คือ หากระบบเสียหายแม้เพียงจุดเดียว ผลกระทบสามารถขยายตัวรวดเร็วแบบลูกโซ่
ในกรณีนี้ เพียงแค่การสูญเสียการเชื่อมต่อข้ามพรมแดน ก็เพียงพอจะทำให้เมืองใหญ่หลายแห่งจมลงสู่ความมืด
บทเรียนที่แลกมาด้วยความมืด
เหตุการณ์ไฟดับครั้งนี้เผยจุดอ่อนที่ยุโรปไม่อาจเพิกเฉย:
1. การพึ่งพาสายส่งข้ามประเทศมากเกินไป
2. การขาดระบบสำรองเริ่มต้นตัวเอง (black start) ที่เพียงพอ
3. การตอบสนองฉุกเฉินที่ยังช้าเกินไปในบางพื้นที่
Distributed Grid หรือโครงข่ายพลังงานที่กระจายตัวมากขึ้น กำลังกลายเป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
การเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในท้องถิ่น และการออกแบบระบบที่ “แยกตัวเองได้” (islanding) เมื่อเกิดปัญหา คือกุญแจสำคัญ
นอกจากนี้ การซักซ้อมสถานการณ์ฉุกเฉินให้พร้อมรับมือ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
บทสรุปส่งท้าย
เหตุการณ์ไฟดับในคาบสมุทรไอบีเรียครั้งนี้
ไม่ใช่แค่ความมืดชั่วคราว…
แต่คือเสียงเตือนจากอนาคต
ในศตวรรษที่ 21 โลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันหมด…ก็เปราะบางได้ที่สุดเช่นกัน
สิ่งที่ยุโรปต้องเรียนรู้ ไม่ใช่แค่สร้างระบบให้ใหญ่และทันสมัย แต่ต้องสร้างมันให้ “ยืดหยุ่น” และ “ปลอดภัย”
เพราะแสงสว่างที่เราคิดว่าแน่นอนที่สุดในชีวิต…บางครั้ง ก็พร้อมดับลงได้ในพริบตาเดียว
โฆษณา