29 เม.ย. เวลา 06:07 • นิยาย เรื่องสั้น

ปัญหาพันเงื่อน กับนักแก้ปริศนา

บทที่ 2 : เสียงครวญแห่งแม่น้ำ
ลมหนาวยังคงพัดแรง ใบไม้แห้งกรอบปลิวว่อนราวเสียงครวญคร่ำ เมื่อลาตัวเก่าๆ พาขุนศิรเทพข้ามสะพานไม้เข้าสู่ "เมืองทิวา" ดินแดนแห่งแม่น้ำสายกว้างที่เคยอุดมสมบูรณ์ ทว่าบัดนี้กลับเงียบงันผิดแผกจากอดีตกาล
ตลาดริมน้ำร้างผู้คน เรือค้าขายทอดทิ้งริมตลิ่ง ซากผักผลไม้เน่าเปื่อยหมักหมมบนแผงขาย กลิ่นโคลนสาบตลบแทนกลิ่นข้าวหุงใหม่ที่เคยอบอวลในฤดูเก่า
ตามชายคาบ้านบางหลังแขวนขวดน้ำมนต์สีน้ำตาลขุ่น บ้างมีตุ๊กตาดินเผาวางเรียงหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ ราวกับจะขอขมาอะไรบางอย่าง
เด็กน้อยผอมโซกลุ่มหนึ่งนั่งกอดเข่ามองน้ำตาไหลเงียบๆ ขณะที่หญิงชราก้มหน้ากวาดขยะด้วยท่วงท่าหมดเรี่ยวแรง ขุนศิรเทพหยุดยืนมอง ดวงตานิ่งขรึมใต้คิ้วเข้ม ราวกับซึมซับเสียงร้องไห้ของเมืองทั้งเมืองไว้ในใจ
ขณะที่ศิรเทพทอดสายตามองสายน้ำเน่าเสีย กลิ่นโคลนชื้นผสมใบไม้เน่า ทำให้เขานึกถึงวันหนึ่ง ที่เขาเคยหลงทางในป่า ภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งในใจ
ในความทรงจำครั้งหนึ่งในวัยเก้าขวบ
ศิรเทพเคยหลงป่า ระหว่างแสวงหาผลไม้ป่าเลี้ยงชีพ ครั้นยามตะวันลับขอบไม้ เงามืดก็คลี่คลุมทั่วผืนดิน
"เจ้าหนู...ยามค่ำในป่าลึก ไฉนเจ้าจึงยังมิกลัว?"
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเงามืด เด็กน้อยชะงัก หันไปพบชายชราร่างสูงใหญ่ ผมยาวสีเงิน เคราเผือกดุจหิมะ ผ้าคลุมยาวสีหม่นปักลายแปลกประหลาด ไม้เท้าเก่าแกะสลักรูปเถาวัลย์พันเกี่ยว
นัยน์ตาชายผู้นั้นลุ่มลึกดั่งรู้ทันใจคน
เขาคือ "ขุนภัทระ" นักปราชญ์ผู้เดินทางเร่ร่อนมาไกล อายุเกินร้อยปีแต่ยังแข็งแรงเหนือสามัญชน มิใช่ขุนในตำแหน่งการศึก แต่เป็นขุนในนามแห่งปัญญา ผู้ที่ใครก็ไม่อาจรู้ที่มาและที่ไป
เมื่อได้สนทนาเด็กน้อยผู้เต็มไปด้วยความสงสัยก็ตั้งคำถามมากมายแก่นักปราชญ์ชรา ด้วยคำพูดของเด็กน้อยน่าฟังอย่างประหลาด ทั้งบางคำถามยังความประหลาดใจแก่ขุนภัทระยิ่ง
"ข้าผ่านดินแดนมามาก หาที่สงบพักใจ... แต่ดวงตาเจ้าทำให้ข้าเปลี่ยนใจจะพักที่นี่นานหน่อย เจ้าเห็นโลกเหมือนผู้ใหญ่ แต่ยังมีแววตาตั้งคำถามแบบเด็ก น่าสอนยิ่ง"
นั่นคือจุดเริ่มแห่งการเรียนรู้
ศิรเทพแอบลัดเลาะออกจากบ้านบ้างก็กลางวัน บ้างก็กลางคืน มุ่งสู่ถ้ำหินเงียบสงบ เรียนรู้วิชานานาชนิดที่ขุนภัทระถ่ายทอดให้ ทั้งศาสตร์แห่งถ้อยคำ อุบายพิชัยและกลศึก อักษรศาสตร์นานา พาณิชย์วิถี โอสถและสมุนไพร
และวิชาอื่น ๆ อีกนับสิบประการ
แต่สิ่งที่เขาหลงใหลที่สุดคือ — "วิชาพันปัญหา"
ขุนภัทระกล่าวเสมอว่า
"โลกนี้มิได้เรียบง่าย มีปัญหาซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม และกับดักหลบอยู่ในความเมตตา คนที่แก้เงื่อนได้ คือผู้ที่มองทะลุม่านหมอก..."
เสียงลมพัดผ่านแม่น้ำเน่า กลิ่นเหม็นโชยสู่ประสาทสัมผัส
ศิรเทพกลับคืนสู่ปัจจุบัน เขายืนอยู่ริมท่าเรือเมืองทิวา ก้มลงแตะผิวน้ำ สูดดมกลิ่นเน่าแปลกประหลาด
พลันลัดเลาะตามแม่น้ำขึ้นเหนือไปจนพบโรงหลอมโลหะร้างแห่งหนึ่ง บ่อเศษตะกั่วผุพัง ไหลซึมสู่แม่น้ำโดยไร้การควบคุม
“ไม่มีภูตผี…” เขาพึมพำเบาๆ “…มีแต่ความไม่ใส่ใจ และความโลภของคนเท่านั้น”
คำพูดนั้น ไม่ได้มีไว้ลบล้างความเชื่อ หากแต่เป็นคำเตือนต่อตัวเอง — ว่าเมื่อใดที่มนุษย์เลิกมองปัญหาตรงหน้า แล้วโยนความผิดให้สิ่งลี้ลับ เมื่อนั้นปัญหาก็จะเติบโตอย่างเงียบงัน... จนกลืนกินทั้งเมือง
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ขุนศิรเทพตัดสินใจเริ่มกระบวนการสำรวจอย่างละเอียด เขาลัดเลาะไปตามจุดต่างๆ บริเวณริมแม่น้ำ เฝ้าสังเกตสิ่งผิดปกติ แล้วจึงตัดสินใจติดตามแหล่งน้ำ เริ่มจากต้นทางไปจนถึงปลายน้ำ พร้อมสอบถามชาวบ้านถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ในระหว่างนี้ เขาพบว่า น้ำในเมืองทิวาไม่ได้รับการดูแลมาตั้งแต่เริ่มต้น
แม้จะมีการปล่อยของเสียลงแม่น้ำมาเป็นระยะเวลานาน ชาวบ้านบางคนก็เริ่มปักใจเชื่อว่าเป็นการทำลายจากภูตผีหรือความแค้นของเทพเจ้า แต่ไม่มีใครคิดที่จะสืบสวนถึงที่มาที่ไปจริงๆ ของปัญหา หรือยอมรับว่าตนเองก็เป็นส่วนนึงของปัญหา
ขุนศิรเทพตัดสินใจทำให้ชาวบ้านเห็นภาพปัญหาที่แท้จริง เขารวมกลุ่มชาวบ้านในศาลาหมู่บ้าน เพื่อสื่อสารให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหานี้
"ภัยที่ทำลายแม่น้ำ... มิใช่ภูต มิใช่เทพ" เสียงเขาดังหนักแน่นท่ามกลางความเงียบงัน "มันคือเศษความมักง่ายของมนุษย์ ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง — และหลงลืม"
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งโพล่งออกมา “แต่ข้าฝันเห็นแม่น้ำมีตาแดง! มีคนจมน้ำตายตั้งสามรายในปีนี้! จะไม่ใช่คำสาปได้อย่างไร?”
ศิรเทพนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนแต่มั่นคง
“ความกลัว... เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะเมื่อไม่เข้าใจมัน”
เขาหยิบขวดน้ำเน่าออกมา และแสดงแผนที่ทางน้ำ
“นี่มิใช่คำสาป แต่คือแผนที่ของสิ่งที่พวกเรามองข้าม”
เสียงของเขาเริ่มทำให้ชาวบ้านที่เคยไม่เชื่อเริ่มเปิดใจ เมื่อเขาบอกเล่าถึงวิธีการที่จะช่วยพัฒนาน้ำในเมือง ชาวบ้านค่อยๆ เข้าใจและเริ่มร่วมมือกัน แม้จะเริ่มต้นด้วยความลังเล
ชาวบ้านอีกคนพูดว่า “แล้วถ้าเราทำตามท่าน แต่แม่น้ำยังคงเป็นเหมือนเดิมล่ะ?”
ศิรเทพโต้ตอบ “เราควรทำให้ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงทำก่อน แล้วฟ้าย่อมให้หนทางเรา”
แววตาสิ้นหวังที่เคยแผ่ปกคลุมเมืองเริ่มเปลี่ยนเป็นประกายบางเบา
เขาอธิบายถึงการสำรวจแหล่งน้ำอย่างละเอียด สอนให้ชาวบ้านรู้จักการสังเกตสถานการณ์ปัญหาน้ำและการปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การสร้างบ่อพักน้ำและการหาทางเบี่ยงทางน้ำจากแหล่งที่มีการปนเปื้อน เขาแนะนำให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำในหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง
ชาวเมืองเริ่มเข้ามาร่วมมือกันอย่างช้าๆ บางคนยังลังเลอยู่ แต่ไม่นานการช่วยเหลือและการทำงานร่วมกันก็เริ่มให้ผล เมื่อกลุ่มชาวบ้านเห็นว่าแนวทางของขุนศิรเทพไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่ยังช่วยสร้างความหวังให้กับอนาคตของเมืองทิวาอีกด้วย
หลายเดือนผ่านมาที่ขุนศิรเทพร่วมกับชาวบ้านสร้างระบบน้ำขึ้นมาใหม่ พลางหว่านเมล็ดแห่งความไม่กลัวให้ผู้คน บางบ้านก็เริ่มถอดเครื่องรางลงทีละชิ้น ไม่ใช่เพราะเลิกเชื่อโดยสิ้นเชิง หากแต่เริ่มเชื่อในมือของตนเอง — ที่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่จับต้องได้
ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวยอมรับ
“ก่อนนั้นเรากลัวจนไม่กล้ามองตรง ๆ ว่ามันคือฝีมือเราเอง… ถ้าเป็นภูต อย่างน้อยก็โทษฟ้าโทษดินได้…”
ความกลัวภูตผีอาจยังไม่มลายหายไปในวันเดียว แต่ความเชื่อมั่นในกันและกัน... เริ่มตั้งรากแทนที่
การจากลาของขุนศิรเทพ
ก่อนที่จะออกจากเมือง ขุนศิรเทพได้รับการขอบคุณจากหญิงชราผู้หนึ่งที่รู้สึกขอบคุณที่เขานำแสงสว่างมาให้กับเมืองในหลายเดือนที่ผ่านมา แม้เธอจะไม่สามารถทำงานหนักได้เหมือนคนอื่น ๆ แต่เธอก็มีความหวังใหม่ที่ได้รับจากคำแนะนำของเขา
“เจ้าหนุ่มน้อยผู้รู้มากกว่าผู้ใหญ่หลายคนในเมืองนี้... ขอให้เจ้าพบแสงสว่าง”
ขุนศิรเทพเพียงยิ้มบาง ๆ ขึ้นลาต่อ ทิ้งเมืองทิวาไว้เบื้องหลัง พร้อมเสียงเด็กๆ ร้องเพลงพื้นบ้าน ริมแม่น้ำที่ใสขึ้นทีละน้อย
อย่าให้ความกลัวกลายเป็นข้ออ้าง… ที่จะไม่ทำอะไรเลย... อีกต่อไป
โฆษณา