29 เม.ย. เวลา 07:44 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เกษตรกรกระดูกสันหลังของชาติ

ในสังคมไทย เกษตรกรมีฐานะเป็น "กระดูกสันหลังของชาติ" คำพูดที่แสดงถึงความนับถือและตระหนักในบทบาทสำคัญของผู้ผลิตอาหารหลักของประเทศ แต่เบื้องหลังคำยกย่องนี้ ซ่อนความจริงอันขมขื่นเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ภาพลักษณ์ และอนาคตของภาคการเกษตรไทย
ความภาคภูมิใจและบทบาทที่ขาดไม่ได้
สังคมไทยถูกหล่อหลอมมายาวนานให้เคารพและเห็นคุณค่าของอาชีพชาวนาและเกษตรกร ผู้ผลิตข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักและเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ ภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณและโครงการสนับสนุนมากมาย อาทิ โครงการจำนำข้าว มาตรการช่วยเหลือในฤดูภัยแล้ง เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการยกย่องด้วยวาทกรรม "กระดูกสันหลังของชาติ" แต่สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของเกษตรกรไทยกลับไม่สอดคล้องกับคำเชิดชูดังกล่าว
ภาพลักษณ์แห่งความยากจนและการดิ้นรน
ในความเป็นจริง เกษตรกรไทยจำนวนมากกลับถูกมองว่าเป็น "พลเมืองชั้นสอง" ที่ประสบกับวงจรอุบาทว์ของความยากจน ข้อมูลเศรษฐกิจเผยให้เห็นว่า รายได้เฉลี่ยของเกษตรกรอยู่ที่เพียงประมาณ 128,000 บาทต่อปี ซึ่งน้อยกว่ารายได้เฉลี่ยของอาชีพอื่นๆ (580,000 บาทต่อปี) อย่างมีนัยสำคัญ
เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะหนี้สินสะสมจากการกู้ยืมเพื่อลงทุนในปัจจัยการผลิต ขณะที่ราคาผลผลิตมีความผันผวนและมักตกต่ำ นำไปสู่วลีที่ว่า "ยิ่งทำนา ยิ่งจน" ซึ่งได้กลายเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
มุมมองเรื่องการศึกษาและความทันสมัย
ภาคเกษตรยังถูกตีตราว่าล้าสมัย ใช้แรงงานหนัก และขาดการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาพจำของเกษตรกรในสายตาคนทั่วไปมักเป็นผู้สูงอายุที่มีการศึกษาน้อยและไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกยุคดิจิทัล
แม้ว่าในความเป็นจริงจะมีเกษตรกรรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีสูงมาประยุกต์ใช้และประสบความสำเร็จ แต่ภาพรวมในสายตาสังคมยังคงติดอยู่กับภาพลักษณ์ของเกษตรกรที่ล้าหลังและขาดโอกาสในการเข้าถึงนวัตกรรม
วิกฤตโครงสร้างประชากรและแรงงาน
ปัญหาที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือโครงสร้างประชากรในภาคเกษตร ข้อมูลเผยว่าชาวนาไทยมีอายุเฉลี่ยสูงถึง 57 ปี โดยส่วนใหญ่มีการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษา การขาดแรงงานรุ่นใหม่เป็นปัญหาวิกฤตเนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ลูกหลานสืบทอดอาชีพที่ยากลำบากและมีรายได้ไม่แน่นอนนี้
การอพยพของคนรุ่นใหม่เข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษาและการทำงานที่ดีกว่า ส่งผลให้ภาคเกษตรประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง และจำนวนเกษตรกรลดลงอย่างต่อเนื่อง
แสงสว่างจากการปรับตัวและนวัตกรรม
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ มีความหวังจากการเกิดขึ้นของ "เกษตรกรอัจฉริยะ" (Smart Farmers) รุ่นใหม่ที่นำความรู้ด้านบริหารธุรกิจ วิศวกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร
เกษตรกรกลุ่มนี้กำลังพลิกโฉมภาคการเกษตรไทยด้วยการใช้เทคโนโลยี AgriTech เช่น ระบบ IoT เพื่อควบคุมการให้น้ำและปุ๋ย, การใช้โดรนในการสำรวจและฉีดพ่น, การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการตัดสินใจ และการทำตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
นอกจากนี้ การรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์การเกษตร การทำเกษตรอินทรีย์ และการสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรพรีเมียม กำลังช่วยให้เกษตรกรบางกลุ่มสามารถสร้างรายได้สูงและเปลี่ยนภาพลักษณ์ของการเกษตรไทยในสายตาโลก
ก้าวต่อไปของเกษตรกรไทย
ภาพลักษณ์ของเกษตรกรไทยในสายตาสังคมจึงยังคงอยู่ในสภาวะ "รักแต่เชย" - รักและยกย่องในฐานะผู้ผลิตอาหารที่สำคัญ แต่มองว่าล้าสมัยในแง่เทคนิคการผลิตและรายได้
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของเกษตรกรรุ่นใหม่ ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง
หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันสนับสนุนการยกระดับภาคการเกษตรไทยอย่างเป็นระบบ ทั้งด้านการพัฒนาองค์ความรู้ การเข้าถึงเทคโนโลยี การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต และการปรับปรุงระบบตลาด เราอาจได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของเกษตรกรไทยที่ไม่เพียงเป็น "กระดูกสันหลังของชาติ" ในเชิงคำพูด แต่ยังมีคุณภาพชีวิตและสถานะทางสังคมที่สมเกียรติกับบทบาทอันสำคัญยิ่งนี้
โฆษณา