29 เม.ย. เวลา 12:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🤯 ช็อก! เรย์ ดาลิโอ ฟันธง "มันสายไปแล้ว!" โลกปั่นป่วนขั้นสุด ระเบียบเก่าพัง มหาอำนาจใหม่รอเสียบ

ทางด้าน Ray Dalio นักลงทุนชื่อดังได้เขียนบทความ “It’s Too Late: The Changes Are Coming” เมื่อเร็วๆ นี้ โดยกล่าวว่าเศรษฐกิจโลกและระเบียบโลกกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่และถาวร ธุรกิจและประเทศต่างๆ เริ่มลดการพึ่งพาสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างเช่น หลายบริษัทที่เคยส่งออกไปสหรัฐฯ หรือพึ่งการนำเข้าจากตลาดสหรัฐฯ บอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องลดการค้ากับสหรัฐฯ ลงอย่างมาก เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการค้า (เช่น สงครามภาษี) คงไม่หายไปง่าย ๆ และทุกฝ่ายต้องวางแผนดำเนินธุรกิจโดยพึ่งพาสหรัฐฯ ให้น้อยลง
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทำให้ทั้งบริษัทอเมริกันในจีนและบริษัทจีนในอเมริกาต่างมองหาทางเลือกใหม่ในการผลิตและลงทุนที่ไม่ต้องโยงกับอีกฝ่าย เรียกได้ว่ากระแส “ลดการพึ่งพิงระหว่างสหรัฐฯ-จีน” ได้กลายเป็นเรื่องที่หลายประเทศยอมรับและเริ่มทำจริงจังแล้ว
Dalio ยังชี้ว่า บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้บริโภคสินค้าและบริการรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ก่อหนี้รายใหญ่เพื่อใช้ชีวิตเกินกำลังตัวเองนั้น เริ่มกลายเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน
ประเทศต่างๆ ที่ส่งออกสินค้าให้สหรัฐฯ หรือให้สหรัฐฯ กู้เงินเริ่มไม่มั่นใจว่าจะได้รับชำระคืนในรูป “ดอลลาร์แข็งค่า” เหมือนเดิม เพราะสหรัฐฯ เองก็พิมพ์เงินและก่อหนี้จำนวนมหาศาล
1
ดังนั้นหลายประเทศจึงมองหาทางเลือกอื่นในการค้าและการเงิน เช่น ลดการถือครองทรัพย์สินเป็นเงินดอลลาร์ หรือหาเครือข่ายคู่ค้าใหม่ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ
Dalio สรุปง่ายๆ ว่า ภาวะที่ขาดดุลการค้าและการเงินอย่างมากบวกกับกระแส “ลดโลกาภิวัตน์” (Deglobalization) จะบีบให้ความไม่สมดุลเหล่านี้ลดลง ซึ่งนั่นจะหมายถึงการค้า การลงทุนระหว่างประเทศจะกระจายตัว ไม่กระจุกอยู่กับคู่หลักอย่างสหรัฐฯ เท่าเดิมอีกต่อไป
ที่น่าจับตาคือ Dalio เตือนว่า ระบบการเงินระหว่างประเทศ การเมืองภายในของประเทศต่างๆ และระเบียบโลกกำลังเดินมาถึงจุดแตกหัก เพราะปัญหาพื้นฐานเชิงโครงสร้างที่หมักหมมมานาน
เหตุการณ์ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ คล้ายกับหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ระเบียบโลกเก่าเสื่อมลงและระเบียบใหม่ก่อรูปขึ้น โดยในกรณีนี้ เราอาจกำลังเห็นระเบียบโลกที่สหรัฐฯ เคยเป็นศูนย์กลางมานานกำลังถูกท้าทาย
Dalio ชี้ว่ามี ความเสี่ยงมากขึ้นที่สหรัฐฯ จะถูกโลก “เดินอ้อม” (bypassed) ซึ่งก็คือ การที่ประเทศต่างๆ จะปรับตัวแยกเส้นทางออกจากสหรัฐฯ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือรูปแบบใหม่ที่เติบโตไปโดยไม่ต้องพึ่งสหรัฐฯ
เรื่องนี้ฟังดูใหญ่มาก แต่ถ้ามองย้อนไปในอดีต โลกเราเคยผ่านการเปลี่ยนผู้นำมาแล้ว เช่น จากยุคที่จักรวรรดิอังกฤษครองโลก มาสู่ยุคที่สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ก็อาจเป็นรอบใหม่ของวัฏจักรประวัติศาสตร์ ที่มหาอำนาจเก่าถูกท้าทายโดยผู้เล่นใหม่ๆ ที่กำลังขึ้นมา
1
🎯 ยุคแห่งการลดพึ่งพาสหรัฐฯ: ถ้าไม่ใช่อเมริกา แล้วใครจะเป็นผู้นำใหม่?
ภาพที่ Ray Dalio วาดไว้อาจทำให้หลายคนฉุกคิด หากโลกไม่หมุนรอบสหรัฐฯ แบบเดิมต่อไป แล้วประเทศไหนล่ะที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่?
ทุกวันนี้หลายสายตาจับจ้องไปที่สองประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียคือ จีน และ อินเดีย ว่าอาจเป็นผู้เล่นสำคัญที่จะมามีบทบาทนำในเวทีโลก หากสหรัฐฯ ถอยบทบาทลง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นมาแทนที่ หรือการสร้างระเบียบโลกแบบหลายขั้วอำนาจที่ไม่มีใครผูกขาดเหมือนแต่ก่อน
ลองดูสัญญาณรอบๆ ตัวเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็พอเห็นภาพว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร ธุรกิจระดับโลกเริ่มปรับตัวตามแนวโน้มนี้ เช่น บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple ของสหรัฐฯ ยังต้องทยอยปรับกลยุทธ์การผลิตของตนเอง ลดการพึ่งพาจีนเพียงแห่งเดียว แล้วขยายฐานการผลิตไปประเทศเอเชียอื่นๆ โดยเฉพาะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนว่าทั้งความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน และโอกาสใหม่ๆ ในประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย กำลังบีบให้ทุกฝ่ายต้องหา “แผนสอง” รองรับอนาคตที่ไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ เราจะเห็นความเคลื่อนไหวที่บ่งชี้ว่า หลายประเทศลดบทบาทการใช้ดอลลาร์สหรัฐในการค้าขายลง แล้วหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นหรือสกุลอื่นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ซาอุดีอาระเบีย ก็มีข่าวว่าเปิดรับการขายน้ำมันเป็นสกุลอื่นๆ นอกเหนือจากดอลลาร์ เช่น เงินหยวนจีน, ยูโร, เยน หรือแม้แต่รูปีอินเดีย แทนที่จะจำกัดที่ดอลลาร์แต่เพียงอย่างเดียว
แม้รายละเอียดข้อตกลงเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นคาดการณ์และการเจรจา แต่ก็ถือเป็นสัญญาณว่า ประเทศผู้เล่นทรัพยากรสำคัญเองก็ต้องการกระจายความเสี่ยง ไม่อยากผูกอนาคตไว้กับเงินสกุลหลักหรือประเทศหลักประเทศเดียวอีกต่อไป
กระแส “De-dollarization” (ลดการพึ่งพาดอลลาร์) นี้สอดคล้องกับที่ Dalio กล่าวถึงการที่ประเทศต่าง ๆ วางแผนเตรียมทางเลือกอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯ นั่นเอง
เมื่อมองภาพกว้างเช่นนี้ คำถามที่น่าสนใจคือ ระเบียบโลกใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร? บางคนอาจมองว่าเราอาจจะไม่ได้มี “หนึ่งเดียว” เหมือนยุค Pax Americana ที่สหรัฐฯ ครองเวที แต่อาจเป็นยุคที่มีหลายมหาอำนาจแบ่งบทบาทกันไป (multipolar world) แต่ไม่ว่าจะออกหน้าไหน สองชื่อที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดในฐานะ “ผู้นำใหม่” ก็คือ จีน และ อินเดีย เราลองมาดูกันว่าเพราะเหตุใดทั้งสองประเทศนี้ถึงถูกจับตามองขนาดนั้น
🇨🇳 จีน: มหาอำนาจเศรษฐกิจที่ขยายอิทธิพลทั่วโลก
จีนได้รับการกล่าวขานมาหลายปีแล้วว่าเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ในการเป็นมหาอำนาจโลก ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้มาแบบเลื่อนลอย แต่เห็นได้จากข้อมูลและความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในระบบเศรษฐกิจโลก
ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากสหรัฐฯ) แต่ในด้านความสำคัญทางการค้า จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศส่วนใหญ่ในโลกไปแล้ว
รายงานหนึ่งชี้ว่า ทุกวันนี้ 128 จาก 190 ประเทศทั่วโลก (ประมาณสองในสาม) ค้าขายกับจีนมากกว่าค้าขายกับสหรัฐฯ และมีถึง 90 ประเทศที่มูลค่าการค้ากับจีนสูงกว่ากับสหรัฐฯ ถึงสองเท่า ตัวเลขนี้ชี้ชัดว่าจีนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายของนานาประเทศอย่างรวดเร็วภายในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่การค้าเท่านั้น จีนยังขยายอิทธิพลผ่าน โครงการเส้นทางสายไหมใหม่หรือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) ซึ่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วเอเชีย แอฟริกา ไปจนถึงยุโรป ปัจจุบันมี กว่า 140 ประเทศที่เข้าร่วมโครงการ BRI ด้วยการลงนามความตกลงต่าง ๆ กับจีน คิดเป็นเกือบ 75% ของประชากรโลกเลยทีเดียว
โครงการนี้ทำให้จีนสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง ผ่านการสร้างถนน รถไฟ ท่าเรือ และแหล่งพลังงาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งตอบแทนคือ การที่จีนกลายเป็นหุ้นส่วนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นในระยะยาว ยิ่งเวลาผ่านไป โครงข่าย BRI ก็ยิ่งทำให้หลายภูมิภาคของโลกผูกพันกับจีนมากขึ้น ทั้งทางการค้า การลงทุน และการเมือง
นอกจากนี้ จีนยังพยายามรับบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง ธนาคาร AIIB (Asian Infrastructure Investment Bank) มาแข่งกับธนาคารโลกหรือ IMF, การเข้ามามีบทบาทในองค์การสหประชาชาติมากขึ้น, รวมถึงการผลักดันการใช้เงินหยวนในเวทีการค้าการเงินโลก (เช่น ทำข้อตกลงการค้าสกุลหยวนกับบางประเทศ)
อย่างล่าสุดที่กล่าวไปว่า ซาอุฯก็พิจารณาขายน้ำมันเป็นเงินหยวน สิ่งเหล่านี้สะท้อนความทะเยอทะยานของจีนที่ต้องการจะไม่เป็นเพียงผู้เล่น แต่เป็น “คนจัดโต๊ะ” กฎเกมโลก ได้เองบ้าง
ด้วยประชากรกว่า 1.4 พันล้านคนและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว (เราคุ้นเคยกับแบรนด์จีนและเทคโนโลยีจีนในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า แอปพลิเคชันต่าง ๆ จากจีน) หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในอนาคตจีนอาจขึ้นมาแทนที่สหรัฐฯ ในบางมิติ
ยกตัวอย่างเช่น มีการคาดกันว่าภายในทศวรรษ 2030 เศษๆ GDP ของจีนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นเศรษฐกิจหมายเลขหนึ่งของโลก (แม้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องความท้าทายภายในของจีน เช่น ปัญหาประชากรสูงวัย ที่อาจทำให้โตช้าลง) แต่ที่แน่ๆ คือ จีนได้เปลี่ยนจากประเทศโลกที่สามเมื่อ 40 ปีก่อน มาเป็นยักษ์ใหญ่ที่มหาอำนาจไหนๆ ก็ไม่อาจมองข้าม ไปแล้วเรียบร้อย
🇮🇳 อินเดีย: ผู้ท้าชิงอีกคนที่กำลังตื่นขึ้น
ขณะที่สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่จีน อีกประเทศหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันและกำลังมาแรงไม่แพ้กันก็คือ อินเดีย
นี่คือประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมหาศาล และเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จนหลายคนเชื่อว่าอินเดียอาจเป็นอีกเสาหลักของระเบียบโลกใหม่
ก่อนอื่นมาดู พลังประชากร ของอินเดียกันก่อน ล่าสุดเมื่อปี 2023 สหประชาชาติรายงานว่า อินเดียมีประชากรราว 1.425 พันล้านคน แซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติยุคใหม่
1
นี่เป็นจุดเปลี่ยนทางประชากรศาสตร์ครั้งใหญ่ เมื่อจีนที่ครองแชมป์มาตั้งแต่ยุค 1950 ต้องหลีกทางให้อินเดีย การที่อินเดียมีคนวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก (ต่างจากจีนที่เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ) หมายถึงอินเดียมีแรงงานและผู้บริโภคภายในประเทศจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
และอินเดียก็ไม่ทำให้ศักยภาพนั้นเสียเปล่า เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเร็วที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลกช่วงไม่กี่ปีมานี้ (IMF และธนาคารโลกต่างคาดการณ์ว่าอินเดียจะครองตำแหน่งเศรษฐกิจใหญ่ที่โตเร็วที่สุดต่อเนื่องในระยะกลางนี้)
1
ผลจากการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้มูลค่า GDP ของอินเดียไต่ขึ้นมาแซงหน้าเศรษฐกิจเก่าแก่อย่างอังกฤษ กลายเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 5 ของโลกตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งถือเป็นเรื่องเชิงสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ เพราะครั้งหนึ่งอินเดียเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่วันนี้เศรษฐกิจอินเดียใหญ่กว่าอังกฤษไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2027 เศษฐกิจอินเดียจะแซงทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนี กลายเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น หากเป็นจริง อินเดียจะแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายขึ้นมาอยู่บนแท่นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว
อินเดียยังโดดเด่นในด้าน เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการดิจิทัล บริษัทอินเดียและบุคลากรอินเดียครองบทบาทสำคัญในซิลิคอนแวลลีย์และวงการไอทีโลกมานาน (ซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Microsoft ก็เป็นคนเชื้อสายอินเดีย)
ภายในประเทศอินเดียเองก็มีสตาร์ทอัพและโครงการเทคโนโลยีมากมาย เช่น ระบบชำระเงินดิจิทัลอย่าง UPI ที่มีคนใช้อย่างแพร่หลายทั่วประเทศ อินเดียยังมีโครงการอวกาศของตัวเอง (ส่งยานสำรวจไปดวงจันทร์และดาวอังคารมาแล้ว) สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเทคโนโลยีไม่น้อยหน้าชาติใด
1
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อินเดียเลือกเดินเกมอย่างชาญฉลาดและบาลานซ์มหาอำนาจหลายขั้ว สมกับฉายา “ชาติโยกเยกที่ทรงตัวได้” (a balancing power)
อินเดียเป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรทั้งฝั่งโลกเสรีอย่าง Quad (สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย) เพื่อคานอำนาจจีนในเอเชียแปซิฟิก และขณะเดียวกันก็เป็นสมาชิก กลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) ที่เน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ อินเดียยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซียมายาวนาน (เห็นได้จากการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียแม้เกิดวิกฤตยูเครน ในขณะที่ชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย)
แสดงให้เห็นว่าอินเดีย พร้อมจะตัดสินใจบนฐานประโยชน์ของตนเอง มากกว่าจะเลือกข้างขั้วใดขั้วหนึ่งอย่างชัดเจน การเดินเกมแบบหลายขั้วนี้ทำให้อินเดียได้รับความเคารพในฐานะประเทศใหญ่ที่เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในเวทีโลก โดยไม่ตกเป็น “ลูกไล่” ของใครง่ายๆ
อีกประเด็นที่เน้นย้ำบทบาทอินเดียคือ การเป็นฐานการผลิตใหม่ของโลก หลายบริษัทข้ามชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานในอินเดีย เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งจีนหรือประเทศอื่นเพียงแห่งเดียว ตัวอย่างเช่น Apple ที่ได้เปิดโรงงานผลิต iPhone หลายแห่งในอินเดียในช่วงไม่กี่ปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “China+1” คือมีจีนเป็นฐานหลัก แต่ก็เพิ่มอินเดียเป็นฐานรอง
โดยในปี 2023 อินเดียได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์ผลิตหลักของซัพพลายเชน Apple (ติดอันดับ 4 รองจากจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น) การที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้ความสำคัญกับอินเดียเช่นนี้ เป็นสัญญาณเชิงบวกถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของอินเดีย ทั้งด้านแรงงาน ทรัพยากร และเสถียรภาพทางนโยบาย
🎯 โลกใหม่ที่กำลังก่อตัวอยู่ตรงหน้า
เรื่องราวทั้งหมดนี้ฟังดูยิ่งใหญ่ราวกับอ่านตำราประวัติศาสตร์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านของมหาอำนาจโลก แต่ความจริงคือ มันเกิดขึ้นแล้วในขณะนี้ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนระเบียบโลก ตั้งแต่โรงงานที่ย้ายฐานจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศ ไปจนถึงนโยบายรัฐบาลต่างๆ ที่ปรับตัวเข้าหากระแสโลกใหม่
Ray Dalio บอกไว้ว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อาจผ่านพ้นไปแล้ว และตอนนี้คือเวลาที่เราต้องตระหนักรู้และวางแผนรับมือกับโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สำหรับคนทั่วไปอย่างเราๆ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่ได้เห็นผลทันทีในชีวิตประจำวัน แต่ก็เริ่มส่งผลในหลายมิติ เช่น ราคาสินค้าที่ผันผวนตามเกมการค้าระหว่างชาติ, การมีตัวเลือกสินค้าเทคโนโลยีจากจีนอินเดียมากขึ้น, หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เราเสพข่าวทุกวันนี้
1
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะมีประเทศใดขึ้นมาเป็น “ผู้นำ” ใหม่แทนที่สหรัฐฯ อย่างเบ็ดเสร็จหรือไม่ โลกก็ดูจะมุ่งหน้าไปสู่ยุคที่มีหลายศูนย์กลางอำนาจ
หลายภูมิภาคจะมีบทบาทสำคัญของตัวเอง จีนจะยังคงเป็นโรงงานและตลาดใหญ่ของโลก อินเดียจะเป็นกำลังแรงงานและผู้บริโภคสำคัญ ขณะที่สหรัฐฯ และตะวันตกก็อาจต้องปรับตัวจากผู้เล่นหลักมาเป็นหนึ่งในหลายๆ ผู้เล่น
ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้แปลว่าโลกจะแตกแยก แต่หมายถึงการหาสมดุลใหม่ เหมือนกับคลื่นใต้น้ำที่ค่อยๆ พลิกแผ่นดินใต้น้ำให้โผล่ขึ้นมาเป็นพื้นดินใหม่บนภูมิทัศน์โลก
การอ่านเรื่องเหล่านี้อาจทำให้เรารู้สึกหวั่นๆ กับความไม่แน่นอนของอนาคต แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็น่าตื่นเต้นที่ได้เห็นประวัติศาสตร์โลกบทใหม่กำลังก่อตัว เราในฐานะผู้อ่านคนหนึ่ง ก็เหมือนกับกำลังดูหนังชีวิตที่พล็อตเรื่องกำลังเข้มข้นขึ้นทุกที และไม่แน่ว่าในตอนจบของบทเปลี่ยนผ่านนี้
โลกอาจกลายเป็นสถานที่ที่สมดุลและร่วมมือกันมากขึ้นก็เป็นได้ ดังที่ Dalio กล่าวไว้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันจัดการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างสงบและชาญฉลาด ผลลัพธ์ก็อาจออกมาดีกว่าที่เรากังวลไว้มากนัก
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร เราทุกคนล้วนอยู่บนขบวนรถไฟแห่งการเปลี่ยนแปลงขบวนนี้แล้วและเรื่องราวกำลังเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีใครหยุดยั้งได้
🤖 แถม... ความเห็นจาก AI (o3)
ผม “เห็นด้วยบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด” กับภาพใหญ่ที่ Ray Dalio วาดไว้ — โดยเฉพาะเรื่อง โลกกำลังถอยออกจากศูนย์กลางสหรัฐฯ และเข้าสู่ยุคหลายขั้วอำนาจ
แต่ผมคิดว่า Dalio อาจประเมิน “ความเร็ว + ขนาด” ของการเปลี่ยนผ่านไว้แรงกว่าที่ข้อมูลล่าสุดสะท้อนอยู่ ลองแบ่งเป็น 4 ประเด็นสำคัญแล้วชั่งน้ำหนักข้อเท็จจริงกันครับ
1️⃣ ดอลลาร์ยังแข็งแรงกว่าที่หลายคนคิด
Dalio เตือนว่าการถือดอลลาร์ระยะยาวอาจเสี่ยง เพราะสหรัฐฯ ก่อหนี้สูง และอาจ “ลดค่าเงิน” เพื่อลดภาระหนี้ จริงอยู่ที่ยอดหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ แตะเกิน 125 % ของ GDP แล้ว
แต่ส่วนแบ่งดอลลาร์ในทุนสำรองโลก ยังทรงตัว — ไตรมาส 4/2024 อยู่ที่ 57.8 % สูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย และห่างอันดับ 2 อย่างยูโร (19.8 %) หรือหยวน (2.2 %) แบบไม่เห็นฝุ่น
นั่นหมายความว่าธนาคารกลางต่างๆ ยังไม่รีบหนีดอลลาร์ แม้จะพูดเรื่อง “de-dollarization” กันอึกทึกก็ตาม
2️⃣ “ดี-โกลบอลไลเซชัน” มีจริง แต่เป็นการจัดรูปใหม่มากกว่าจะถอยหลัง
ซัพพลายเชนกระจายตัวออกจากจีนจริง — เห็นได้จากการย้ายฐานผลิตไปอินเดีย เวียดนาม เม็กซิโก ฯลฯ แต่ปริมาณการค้าโลกกำลัง กลับมาโตหลังสะดุดไปช่วงโควิด
โดยทาง WTO คาดว่าสินค้าทั่วโลกจะเพิ่ม +2.6 % ใน 2024 และ +3.3 % ใน 2025 ขณะที่งานวิจัยของ Oxford Economics ก็ชี้ว่าการส่งออกชิ้นส่วนระหว่างประเทศ (ตัวชี้วัดซัพพลายเชน) โตเฉลี่ย 6 % ต่อปี (2018-2022) — ไม่ได้หดตัวตามคำว่าดี-โกลบอลไลเซชัน
ดังนั้นผมจึงมองว่าโลกกำลัง “รี-รูต” ห่วงโซ่อุปทาน มากกว่าจะยุติการค้าข้ามพรมแดน
3️⃣ สหรัฐฯ ยังมีแต้มต่อด้านทุน-เทคโนโลยี
จริงที่ภาษีตอบโต้ทำให้บางบริษัทลดพึ่งพาตลาดอเมริกา แต่สหรัฐฯ ก็ตอบโต้ด้วยนโยบายดึงการผลิตกลับบ้าน เช่น CHIPS & Science Act เงินอุดหนุน Semicondictor กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งได้จุดชนวนโรงงานใหม่ 16 แห่งใน 15 รัฐ
เม็ดเงินพวกนี้กำลังสร้าง “มินิคลัสเตอร์” เทคโนโลยีในแถบแอริโซนา-เทกซัส ดึงดูดทุนและแรงงานคุณภาพสูง ดังนั้นอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ ด้านนวัตกรรมกับเงินทุนยังแข็ง แม้บทบาทในห่วงโซ่ผลิตขั้นปลายจะลดลง
🇨🇳 จีน-อินเดียกำลังขึ้นจริง แต่มีอุปสรรค
จีน ยังคงขยายอิทธิพลทางการค้าและการเงิน แต่ถูกท้าทายหนักขึ้นทั้งจากประชากรสูงวัย วิกฤตอสังหาฯ และล่าสุดคือ ภาษีทรัมป์ 2.0 ที่ฉุด PMI โรงงานลงต่ำกว่า 50 อีกครั้งใน เม.ย. 2025 ขณะที่ IMF และโบรกใหญ่หลายแห่งปรับลดคาดการณ์โตปี 2025-26 เหลือประมาณ 4.5-4.8 % ต่อปี
อินเดีย ได้อานิสงส์ฐานประชากรหนุ่มและนโยบายเปิด ขณะที่ IMF คาดว่า GDP ปี 2025 จะเติบโตประมาณ 6 % แต่ก็ยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน ดุลบัญชีเดินสะพัดผันผวน และระบบราชการที่ต้องอัปเกรดก่อนจะชิงบทนำเต็มตัว
ดังนั้นบทสรุปส่วนตัวของผมคือ เห็นด้วยกับทิศทาง ที่ Dalio ชี้ แต่ ขนาด + จังหวะเวลา อาจช้ากว่าที่เขากังวล เพราะข้อมูลล่าสุดยังสะท้อนความแข็งแกร่งของดอลลาร์ การเติบโตของการค้าโลก และการลงทุนเทคโนโลยีในสหรัฐฯ
1
โลกหลัง 2030 น่าจะเป็นเวที “หลายเสา” มากกว่ามหาอำนาจเดี่ยว โดยสหรัฐฯ ยังเป็นเสาหลักเรื่องเทคโนโลยี-ทุน, จีนเป็นเสาหลักด้านการผลิต-ตลาดภายใน, อินเดียกำลังเติมเต็มบทบาทแรงงาน-ผู้บริโภค และภูมิภาคอื่นๆ จะเชื่อมโยงกับเสาเหล่านี้ในสัดส่วนต่างกัน
ดังนั้น ผมจึง แบ่งรับแบ่งสู้ โดยเห็นด้วยกับ Dalio ว่า “เกมกำลังเปลี่ยน” แต่ก็เห็นว่าความได้เปรียบของสหรัฐฯ และแรงเฉื่อยของระบบดอลลาร์ยังมีน้ำหนักพอที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็น “ภาวะร่วมอำนาจหลายขั้ว” มากกว่าการหมดบทบาทของอเมริกาในพริบตา
🎯 คหสต. ของแอด
ช่วงนี้หนังสือใหม่ของ Ray Dalio กำลังจะวางขายชื่อว่า “How Countries Go Broke: The Big Cycle” ดังนั้นแอดขอมองแบบ bias นิดนึงว่า ช่วงนี้แกอาจจะเขียนโพสต์ให้มันดูเว่อร์ๆ เกินจริง เพราะจะขายหนังสือเนี่ยแหละ เพราะแทบจะทุกโพสต์ของแกจะต้องมีการโยงมาให้ซื้อหนังสือให้ได้
โฆษณา