30 เม.ย. เวลา 11:18 • ไลฟ์สไตล์

#25 ภัยธรรมชาติ

เวลาล่วงเลยมากว่า 1 เดือน หลังจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติครั้งที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต แผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568 ใครจะคิด เกิดมา 30 ปี ได้พบเจอกับเหตุการณ์ครั้งแรก อาศัยอยู่กรุงเทพ อยู่ภาคกลางมาทั้งชีวิต ไม่คิดเลยว่าจะเจอกับตัว เจอพร้อมๆกับผู้คนหลายล้านคน ถ้าไม่เกิดการถล่มของตึกสตง.นั้น เราเชื่อว่าประเทศไทย ที่ขึ้นชื่อเรื่องความประมาท ความชะล่าใจนั้น จะปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย โอ้ย...แผ่นดินไหว ต้องเป็นเรื่องน่าตลก เรื่องเล่าสนุกปากแน่นอน
ช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวอิ่ม วันนั้นนึกครึ้มกับเพื่อนร่วมงาน ออกไปทานข้าวข้างนอก พอดีเค้ามีจัด event มีบูธขายของเยอะแยะเต็มไปหมด มีขนมและอาหารที่แตกต่างจากมื้อปกติ กลับเข้ามาทำงานเลยมีความดี๊ด๊า เม้ามอยไม่หยุด ประจวบเหมาะกับหัวหน้ามีประชุมที่อื่นพอดี ทำให้การเม้ามอยนั้นเจี๊ยวจ๊าวไปใหญ่
เราเป็นคนที่จะมี sense เรื่องต่างๆมากที่สุดในห้อง เราเริ่มรู้สึกถึงการโยก เราตะโกนลั่นห้องทันที "พื้นโยก ใครสังเกตได้บ้าง" เพื่อเป็นการเช็คว่าตัวเองบ้านไม่หมุนด้วย พี่คนนึงตอบกลับมาว่า "พี่รู้สึก" เราก็รอสักพัก ด้วยห้องทำงานเรา อยู่ติดกับทางด่วน เมื่อมีรถบรรทุกคันใหญ่วิ่ง ห้องเราจะรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวทันที
ปกติก็ไม่นานการสั่นก็จะหยุด แต่ครั้งนี้มันใช้เวลานาน นานจนคนทั้งห้องรู้สึกไม่ต่างกัน สักพักพวกเราเริ่มเวียนหัว การขยับไปมาของตึก ยังคงไม่หยุด เราเริ่มกลัว รู้สึกแล้ว ว่านี่คือเหตุการณ์ "แผ่นดินไหว"
เราหลบเข้าใต้โต๊ะ ลงไปนั่งกับพื้น มีพี่ในห้องมีสติ บอกว่า "ไม่ต้องหลบแล้ว เก็บของ ลงจากตึกเดี๋ยวนี้" พวกเราทุกคนทำตามทันที เราหยิบกระเป๋า มือถือ กระเป๋าสตางค์ แล้วรีบวิ่งลงจากตึกทันที เราอยู่แค่ชั้น 3 พอมาถึงบันได มีคนทยอยวิ่งลงมาบ้างแล้ว คนเริ่มแออัดที่บันได มีการตะโกนบอก "ข้างหน้าเร็วๆหน่อย" มาเป็นระยะ เรามึนหัวมาก วิ่งไปด้วย มือก็จับที่ราวบันได ปากกรีดร้อง เพราะบางจังหวะมันไหวแรงจริงๆ เหมือนเท้าเหยียบไม่ติดบันไดด้วยซ้ำ หน้าพ่อหน้าแม่ลอยมาทันที วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงชั้น 1 สักที
พยายามตั้งสติ วิ่งลงไปข้างล่าง เจอพี่รปภ.ที่คอยดูแลอยู่ด้านล่าง โล่งอก ดีใจที่พี่เค้าไม่ทิ้ง ยังคอยทำหน้าที่ของพี่เค้าอยู่ เรารีบออกจากตึก มองขึ้นไปหากตึกถล่มเราต้องพ้น
มีสติอีกครั้ง รู้ตัวคือตัวเองนั่งตากแดดอยู่ตรงกลาง ที่ไม่โดนรัศมีตึกแน่ๆ พี่คนนึงมองหน้าเราถามว่า "ไหวไหม ตั้งสติ ใจเย็นๆนะ" ทันใดนั้น เราก็รู้ตัวอีกครั้ง เราหายใจแรงมาก เราไม่มีสตินี่เอง จำภาพระหว่างที่วิ่งลงบันไดแทบไม่ได้ นึกภาพอีกครั้ง คือหน้าพี่รปภ.ที่ชั้น 1 เลย สายตามองไปที่ถนนด้านนอกมองตึกฝั่งตรงข้ามคนออกมาจากตึกเหมือนกัน ใหญ่มากแน่ๆ เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องใหญ่มากแน่ๆ
มือกดโทรศัพท์เข้าไลน์กลุ่มครอบครัว รีบพิมพ์ข้อความไป "แผ่นดินไหว" กดส่ง รู้ว่าช่วงเวลานี้คนใช้โทรศัพท์เยอะมากแน่ๆ เลือกข้อความสำคัญๆส่งไป "ที่บ้านรู้สึกไหม" ส่ง แล้วที่บ้านก็ส่งตอบกลับมาว่ารับรู้ถึงเหตุการณ์นี้แล้ว และปลอดภัยดีทุกคน พ่อ แม่ น้อง หลาน เห้อ..โล่งอก..นึกขึ้นได้ แฟนล่ะ โทรหาทันที สอบถามรู้ว่าเบื้องต้นปลอดภัยดี กำลังรีบกลับบ้าน
โอเค เราตั้งสติเปิด x เพื่อต้องการทราบสถานการณ์ ก็ยังไม่พบคำตอบ ไม่รู้ที่มาที่ไป มีแค่คำ alert ทั่วไปว่าแผ่นดินไหว มือก็ยังสลับกลับไปอ่านไลน์ครอบครัวเรื่อยๆ พี่สาวล่ะ...พี่สาวทำงานอยู่ตึกสูง ชั้น 11 รีบกดโทรหา พี่สาวปลอดภัยดี ได้รับคำสั่งให้วิ่งลงจากตึกแล้ว พร้อมกับความวุ่นวายโกลาหล
เรา stand by อยู่ข้างล่าง ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีข่าว ว่าอาจจะมี after shock เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ด้วยความที่บางคนยังเก็บสัมภาระลงมายังไม่ครบ ก็มีการสอบถาม ขออนุญาตที่จะขึ้นตึกไปเอาของ สักพักคนก็ค่อยๆทยอยไปเอาของกันเป็นกลุ่มๆ พวกเราก็จับกลุ่มขึ้นตึกมาเช็คกันอีกรอบ เช็คระบบไฟที่โดนตัดไปก่อนหน้านี้ แล้วรีบวิ่งไปที่บันได ลงไปรอข่าว update อีกครั้ง
สักพัก รุ่นน้องก็เปิดเจอข่าวตึกถล่มครั้งใหญ่ มีคนติดอยู่ด้านในจำนวนมาก ขนลุกชันทันที ใหญ่มาก เหตุการณ์ครั้งนี้ใหญ่มาก มีผู้เสียชีวิตแน่นอน น่ากลัวมาก
เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงกว่าๆ ถนนหน้าที่ทำงานเริ่มแออัด คนเริ่มทยอยเดินทางกลับบ้าน รถไฟฟ้าประกาศปิดให้บริการทุกสาย อ่าว...แบบนี้จะกลับบ้านยังไง เราลองเปิดแอพ rider คิดว่านี่แหล่ะ คือทางออกที่จะกลับบ้านได้ มีประกาศให้พนักงานทุกคนกลับบ้านได้ทันทีเพื่อความปลอดภัย และคอยฟังประกาศอื่นๆต่อไป เรากดเรียกรถในแอพทันที เท่าไหร่ก็จ่าย เราอยากกลับบ้าน ปกติน่าจะสัก 200 กว่าบาท แต่เหตุการณ์แบบนี้ 700-800 บาท เราก็ยอมจ่าย
เรารออยู่นาน ก็ไม่มีคนกดรับ ไม่เป็นไร เปลี่ยนแอพก็ได้ 3 แอพ ไม่มีคนรับเราเลย รุ่นน้องที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาทำงาน เลยอาสาไปส่งเราเอง ด้วยความเกรงใจเราจึงขอให้น้องไปส่งแค่ครึ่งทาง เดี๋ยวอีกครึ่งทาง เราหารถต่อไปเอง
มาได้ครึ่งทาง เราจอดแวะเพื่อหารถไปต่อ ให้น้องได้กลับบ้าน รอนานกว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครกดรับเราเลย น้องจึงตัดสินใจไปส่งเราที่บ้าน เพราะไม่มีวี่แววที่เราจะกลับบ้านได้เลย ถึง7-11 ใกล้บ้านเรา ก็รีบเข้าไปพัก ซื้อน้ำเย็นดื่มกันทันที อากาศร้อนมาก มากจนจะหน้ามืด ระยะทาง 20 กิโลกว่าๆ
ใช้เวลาเดินทางไปเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะรถติดหนักมาก มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะเท่าไหร่ ก็ติดขัดอยู่ดี ก่อนน้องกลับ ก็เปิดดูเส้นทางที่ไม่มีผลกระทบ และเฝ้ารอข่าวเมื่อถึงบ้านให้รีบแจ้งเราด้วย ทั้งขอบคุณ ทั้งเป็นห่วง น้องอุตส่าห์มาส่ง ตากแดดไปกลับร่วม 50-60 กิโล
ถึงบ้านเจอแฟนก็โล่งอก เดินสำรวจบ้านว่ามีรอยแยกต่างๆหรือไม่ ล้างเนื้อล้างตัว นั่งพัก ดื่มน้ำ ทานยาลดไข้ดักไว้ก่อน วันนี้ตากแดดนานมากจริง เปิดดูข่าว ติดตามสถานการณ์ต่างๆ เรียกได้ว่า วิตกกังวลมากๆ ช่วงค่ำ ทุกคนในที่ทำงานต่างแจ้งข่าวว่าถึงที่พักกันครบแล้ว โล่งใจ
ก่อนนอน เรายังคงติดตามข่าวอยู่ จนแฟนบอกว่าหยุดดูได้แล้ว มันจะเครียดนะ เราก็โอเค วาง พอแฟนจับตัว เพื่อจะกอดตามปกติ เราร้องไห้ทันที เหมือนแฟนโดนหัวก็อกน้ำเปิดจนสุด เราร้องไห้ เพิ่งรู้ตัวว่าเครียดขนาดนี้ ร่างกาย จิตใจน่าจะเครียดมาก เครียดเกิน ก็คงแบบนั้น เพราะเกิดมาเพิ่งเคยเจอ เราร้องไห้จนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เราติดตามข่าวตึกถล่มต่อ และทบทวนเหตุการณ์ เรารู้ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้แรงมากๆ ที่หน้าพ่อแม่ลอยมานั้น เพราะเราไม่เชื่อมั่นว่าตึกที่เราทำงานอยู่ มั่นคงแข็งแรง บ้านเมืองเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงนี้ นาทีนั้น คิดไว้แล้วว่าไม่รอดแน่ๆ นึกย้อนภาพตัวเอง สัญชาติญาณบอกให้หลับใต้โต๊ะ
จากการดูข่าวประเทศญี่ปุ่น แต่ลืมไปว่า ตึกเราแข็งแรงทนทานแค่ไหนกันนะ ขาดสติ ถึงขนาดที่วิ่งลงบันไดที่ไม่ใช่บันไดหนีไฟด้วยซ้ำ การไม่ทราบข่าวทันท่วงทีจากรัฐบาล ณ นาทีนั้น ต้องคอยตามอ่านข่าวจาก x ข่าวจริงเท็จไม่รู้ได้เลย ประเทศไทยต้องแก้ไขใหม่ ต้องปรับตัวได้แล้ว
จนวันนี้ ยังไม่สามารถพาร่างที่ติดอยู่ใต้ตึกถล่มออกมาจนครบ 100% เลย สงสารเจ้าตัว สงสารครอบครัว ขอให้ได้รับความเป็นธรรม ที่ fair กับผู้เสียหายจริงๆ ค่อยว่ากันใหม่ ติดตามกันต่อไป
โฆษณา