Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
•
ติดตาม
30 เม.ย. เวลา 12:21 • การ์ตูน
EP : 1,318 ทางสายน้อยสู่ฝันห้วงลึกของราชันย์นักฝัน
สำหรับนักอ่านมังงะอย่างผมแล้ว ยุคนี้คือ “ยุคทอง(ไพเรท)” สำหรับผมเลยก็ว่าได้นะ เพราะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา มีมังงะหลายเรื่อง หลายนักวาดที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้อ่านในรูปแบบหนังสือแปลไทย
กลับมีให้อ่าน และมีให้อ่านอย่างต่อเนื่องไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนเลย จนกลายเป็นว่าพักหลังสิ่งที่ทำให้ผมพลาดไม่ได้อ่านเรื่องที่อยากอ่านนั่นคือ หาเงินมาซื้อไม่ทันครับ ซึ่งหากมองข้ามเรื่องที่ผมไม่มีเงินไปซื้อมาอ่านแล้ว ภาพรวมของวงการมังงะ(ไพเรท)ถือว่าดุเดือดอย่างยิ่งกับพื้นที่ที่ไม่ได้ใหญ่แต่มีคนพร้อมเพย์ถ้าเรื่องนั้นใช่และอยากอ่านครับ
ในบรรดางานแนวไพเรทที่ถูกหยิบมานำเสนอให้อ่านกันในบ้านเรา หลายเรื่องมันเป็นงานที่เคยออกในอดีตมาแล้ว แต่ถูกหยิบมานำเสนอใหม่อีกครั้งในรูปแบบที่พรีเมี่ยมกว่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ยังไม่เคยออกและยากมากที่จะมี สนพ ในไทยซื้อมาพิมพ์แบบ LC
ซึ่งในบรรดาที่กล่าวมานี้ หลายเรื่องที่ผมหามาอ่านนั้นจะเป็นงานที่เฝ้าคอยและอยากอ่านเป็นตัวตั้งอยู่แล้ว แต่หลายเรื่องก็จัดอยู่ในแบบที่ไม่คาดคิดว่าจะได้อ่านมาก่อน แน่นอนครับ เรื่องที่ผมกำลังจะรีวิวอยู่ในตอนนี้ จัดอยู่ในหมวดที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้อ่านมาก่อนแม้จะอยู่ในยุคทอง(ไพเรท) อย่างตอนนี้ก็ตาม
ที่บอกไว้อย่างนั้น ไม่ใช่ว่านี่คือผลงานของนักวาดมังงะไม่ดังที่ไม่มีใครรู้จักหรอกนะครับ กลับกันเลยต่างหาก เพราะเรื่องนี้คืองานของ อ.Leiji Matsumoto ที่มีผลงานแนว SF ชื่อดังมากมาย อย่างเรื่องที่หลายๆท่านน่าจะเคยผ่านตามากันบ้างไม่มากก็น้อยก็คือเรื่องคลาสิคสาย SF ดราม่าอย่าง “รถด่วนอวกาศ Galaxy Express 999” ที่สร้างความประทับใจและสร้างกลุ่มแฟนระดับฮาร์ดคอร์ขึ้นมา ที่แม้เรื่องนี้จะผ่านไปนานมากแล้ว เหล่าแฟนๆก็ยังพูดถึงอยู่เสมอครับ
แม้ อ.จะโด่งดังและมีแฟนๆระดับนานาชาติมากเพียงใด แต่ในเมืองไทย งานของ อ. กลับไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาเท่าไหร่นัก นั่นก็ทำให้ในภาพรวมในบ้านเราผมมองว่า หางานของ อ. อ่านได้ยากคนหนึ่งทำให้การรับรู้ในวงกว้างของบ้านเราแคบลงด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลง่ายๆแค่นี้ เลยทำให้ส่วนตัวผมแล้ว ผมคิดว่าแม้จะเป็นยุคไพเรทเพื่องฟูแบบในตอนนี้ก็ตาม ก็คงยากมากที่จะมีใครกล้าหยิบงานของ อ. มานำเสนอกัน ซึ่งมันก็ถูกแค่บางส่วน
เพราะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มได้เห็นว่ามี สนพ ไพเรท ใจกล้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ อ. Leiji หยิบงานของ อ. มานำเสนอให้เห็น และแน่นอนว่าแม้ผมจะไม่ถือเป็นแฟนงานของ อ. (ก็หางาน อ. อ่านยากมากนี่ครับ) ผมก็ได้หามาอ่านพร้อมกับรีวิวให้ทุกท่านได้อ่านไปด้วยเช่นกัน
และนี่คืออีกหนึ่งผลงานเก่า…ที่ใหม่ที่สุดของ อ. ในบ้านเรา กับผลงานแนวแฟนตาซีที่มีความหลากหลายของเนื้อหา กับโทนการนำเสนอที่อาจจะเรียกว่าหลุดโลกก็ว่าได้ เพราะมันคือเรื่องราวจากความฝันของ อ. ที่ อ. บอกว่ามันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ใน “ทางสายน้อยสู่ฝันห้วงลึกของราชันย์นักฝัน” ครับ
.... ในวันที่ผม Leiji คนนี้เดินทางมาถึงวัยเลข 5 นำหน้าอยู่ในตอนนี้ แม้ทุกคนจะรับรู้ว่าผมคือนักวาดมังงะแนววิทยาศาสตร์กันแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ทุกคนไม่รู้คือ เมื่อผมนอนหลับ จะปรากฎเด็กหนุ่มนาม “โดริ เรย์จิโร่” ออกมาเพื่อออกไปผจญภัยยังดินแดนความฝันหรือมิติที่เขาไม่รู้จัก แหละนี่คือ “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นกับผมในยามที่ตัวตนของ “มัตสึโมโต้ เลย์จิ” คนนี้หลับไหลกับเรื่องราวการเดินทางของตัวตนเขาที่ชื่อ “เรย์จิโร่คุง”
ซึ่งเขาได้พบและเจอหลายสิ่งที่ในโลกแห่งความจริงมันอาจทับซ้อนกันอย่างเหลือเชื่อ เรื่องราวเหล่านั้นกำลังจะเปิดเผยต่อทุกคนใน “ทางสายน้อยสู่ฝันห้วงลึกของราชันย์นักฝัน” ครับ
ถ้ามองในแง่เนื้อหา ในฐานะที่ผมจดจำว่า อ. เรย์ คือหนึ่งในนักวาดมังงะที่นำเสนอโลกแห่งความ SF และ หญิงสาว ได้อย่างโดดเด่นจนเป็นภาพจำของ อ. ไปแล้วนั้น เรื่องนี้มีเนื้อหาที่หลุดกรอบภาพจำของ อ. อยู่บ้างนิดหน่อย ที่บอกว่านิดหน่อย เพราะด้วยเนื้อหา อ. กำลังเล่าถึงเรื่องราวที่อ. ได้เจอมา ผ่านตัวตนอีกคนนึงของ อ. ที่จะออกมาตอนหลับนั้น
มันก็คือเรื่องราวของความฝันที่ อ. เคยฝัน เพราะฉะนั้น หากจะดูแค่ตรงนี้แล้วบอกว่า อ. หยิบความฝันมาเล่า มันก็ดูเป็นงานที่เลื่อนลอยอยู่บ้างในแง่ที่มาที่ไปที่ดูเลื่อนลอยอยู่ไม่น้อย
แม้จะบอกอย่างนั้น แต่ในอีกมุมนึง ความฝัน กับจินตนาการ นั้นมันเป็นเรื่องราวเดียวกันที่มีเส้นบางๆ คั้นอยู่ ความฝันถูกมองทั้งในแง่เรื่องปกติของมนุษย์ซึ่งเป็นปรากฎการทางวิทยศาสตร์หรือเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เพราะบางครั้งความฝันของใครบางคนก็ไปไกลกว่าสิ่งที่เรารับรู้และพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ การที่ อ. หยิบมาเล่าแบบนี้ ผมก็มองว่าในแง่นึงมันไม่ได้หลุดกรอบจากสิ่งที่ อ. ถนัดในการนำเสนอครับ
แต่สิ่งที่ยืนยันให้เรื่องนี้มันหลุดกรอบออกมาในมุมมองผม มันคือการที่ อ. พยายามบอกว่าความฝันเหล่านี้มันคือ “เรื่องจริง” ที่ อ. ได้มาจากตัวตนอีกคนในยามหลับ พอบอกมาแบบนี้ สิ่งนั้นก็ถูกมองเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไปโดยทันที เพราะแม้จะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกันง่ายๆกับคนทุกคนบนโลกใบนี้ จนทำให้เราเชื่อได้ตั้งแต่ทีแรกที่มีคนบอก แม้จะเป็น อ. เลย์จิ ก็ตามทีครับ
ส่วนตัวผมมองว่าเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในกรอบความเป็นวิทยาศาสตร์ในแง่เนื้อหาเหนือธรรมชาติที่แม้ยังไม่มีสิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจน แต่การที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้กับคนอื่น หรือไม่เคยเกิดขึ้น ในกรอบที่มองแบบนี้ เรื่องนี้จึงมีเนื้อหาเหนือธรรมชาติที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ในตัวของมันเองอยู่แล้วครับ
มันอาจจะดูวนๆไปซักหน่อยกับการพยายามหาคำตอบว่าเรื่องนี้มีเนื้อหาแนวไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่ได้จากการอ่านเรื่องนี้ก็คือมันเป็นเรื่องเล่าที่ผสมผสานเรื่องราวจากอดีตส่งผ่านไปถึงอนาคต ด้วยการเล่าที่ตั้งใจบอกว่าสิ่งที่กำลังอ่านอยู่ในตอนนี้ มันเกิดขึ้นในระหว่างที่ฝัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้เห็น มันจะขาดความต่อเนื่องที่ลื่นไหลของเรื่องราวต่างๆ หรือขาดซึ่งหลักเหตุผลมารองรับ ณ เวลานั้น แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ผสานเรื่องราวที่กำลังปะติปะต่ออยู่ในตอนนี้ก็คือวิธีการเล่า ที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และฝีมือในการวาดที่มีมุมมองของ อ. ครับ
ด้วยความที่ทั้งจำนวนเรื่องที่เคยอ่านและจดจำเรื่องที่เคยอ่าน(น้อยนิด)ของ อ. ไม่ได้หมด ทำให้ผมไม่กล้าฟันธงว่าสิ่งที่ใส่มาในเรื่องนี้มีจุดไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ อ. เคยนำเสนอมา แต่ผมก็รับรู้ได้ทันที(คิดว่าใช่นะ) กับการใส่รายละเอียดหลายๆอย่างเข้ามาอย่างน่าสงสัย
ผมคิดว่ามีไม่น้อยที่มันเชื่อมต่อกับผลงานของ อ. เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือต้องการชี้นำไปสู่ความข้องใจของคนอ่านที่ต้องการเก็บรายละเอียด เหล่านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เรื่องนี้ใช้เชื่อมต่อกับผู้อ่านที่เป็นแฟนๆของ อ. แต่แม้จะเป็นอย่างนั้นแฟนขาจรอย่างผมก็ยังสนุกกับการมองดูรายละเอียดในเรื่องราวเกินจริงที่ อ. กำลังเล่าอยู่ดี
แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องราวเกินจริง แต่สิ่งที่ผมเห็น ผมมองว่ามันมีการผสมเนื้อหาของความดราม่าเข้ามาอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นเรื่องสั้นในตอนที่ไม่ได้เชื่อมต่อกันก็ตาม ในแต่ละบทก็มีห้วงและช่วงของอารมณ์ผสมอยู่ เมื่อรวมกับวิธีการเล่าที่ดึงเรื่องที่ต้องจินตนาการคิดตามให้ออกมาในรูปแบบที่อ่านแล้วเข้าใจได้ดี
มันก็เลยกลายเป็นเรื่องราวแฟนตาซีที่มีความดราม่าระดับบางๆถึงกลาง เหมาะกับคนอ่านที่อยากจะอ่านเรื่องราวที่ไม่เร่งรีบอย่างมาก เพราะในความไม่เร่งรีบและแฟนตาซีดราม่าที่ว่ามานั้น เต็มไปด้วยจินตนาการที่ชวนสังเกตยิ่งนัก
เรื่องงานภาพยังคงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ อ. เช่นกัน แม้จะว่าไปการออกแบบตัวละครและภาพรวมของเรื่องมันจะไม่ได้หวือหวาที่ชวนตื่นตาไปตลอดทั้งเรื่อง แต่มันก็ยังอยู่ในจุดที่แฟนๆของ อ. ต้องชื่นชอบอย่างไม่ยากเย็น ซึ่งผมเองก็ชื่นชอบมากๆเช่นกัน งานภาพที่แม้ไม่หวือหวาแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ชวนเราเข้าไปหา การถ่ายถอดสิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์ของความนิ่งและตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่านี่คือช่วงเวลาแห่งความฝันและต่างมิติ งานภาพมันถูกทำออกมาให้เป็นแบบนั้นจริงๆ
ผมเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนานของ อ. นี่แหล่ะ ที่ทำให้งานวาดมันอยู่ในระดับที่เหมาะกับเนื้อหาที่อยากนำเสนอ ส่วนตัวผมชอบงานวาดหลายๆหน้าในนี้มาก ยิ่งได้เห็นภาพวาดที่ยังไม่ได้ลงอักษรในท้ายเรื่องแล้ว ผมว่าถ้าพิมพ์ออกมาเป็นภาพสี มันจะกินใจอย่างมาก พอคิดแบบนั้นแล้วอยากเห็นมากๆเลยครับ กับงานสีของ อ. เขา
แม้โดยส่วนตัวผมจะชอบเรื่องนี้ไม่น้อยแต่ผมก็เชื่อว่าหากใครที่ไม่เคยอ่านงานของ อ. มาก่อน แล้วมาหยิบเรื่องนี้ก็ต้องมีสะดุดหรือต้องคิดระหว่างอ่านอยู่บ้าง เพราะเรื่องมันค่อนข้างต้องใช้เวลาและการปรับอารมณ์ของผู้อ่านพอสมควร ไม่ใช่อยากหยิบอ่านเมื่อไหร่ก็หยิบมาอ่านได้ ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นแบบนั้น ไม่แน่หลายๆคนที่ได้อ่านเรื่องนี้อาจรู้สึกเหนือยและง่วงก็ได้นะ เพราะงานเรื่องนี้มันเหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องการอ่านงานแนวนี้จริงๆ ครับ
มาพูดถึงงานผลิตเรื่องนี้กันซักหน่อยครับ อย่างที่บอกว่านี่คืออีกหนึ่งผลงานจากค่ายไพเรทน้องใหม่ที่ชื่นชอบงานของ อ. เลย์จิ มากๆ อย่างค่าย 999 Comics ที่ดูทรงแล้วน่าจะทำแต่งานของ อ. เลย์จิ ออกมาแน่ๆ หรืออย่างน้อยก็ช่วงแรกนี่น่าจะใช่ เพราะเรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องที่ 2 ต่อจากผลงานเปิดตัวของค่าย ซึ่งก็เป็นผลงานของ อ. เลย์จิ อย่าง “ยามาบิโกะ no. 13” ที่ผมเคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
จริงๆการที่ผมได้เรื่องนี้มารีวิวแต่เนิ่นๆ ต้องบอกว่าเกิดจากทางค่ายแจ้งผมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าโปรเจคต่อไปหลังจากเรื่อง ยามาบิโกะ ก็จะคงเป็นงานของ อ. เลย์ ต่อไป ทำให้เมื่อทางค่ายอัพเดทว่าใกล้จะเปิดพรีแล้ว ผมก็ร้องขอชุดตัวอย่างมาอ่านและรีวิวก่อน ซึ่งทางค่ายก็ให้ความอนุเคราะห์กับเพจรีวิวน้ำเยอะอย่างผมเป็นอย่างดี นั่นก็เลยเป็นที่มาของการรีวิวในครั้งนี้ครับ ผมต้องขอบคุณทางค่ายอีกครั้ง ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
แต่เพราะเป็นงานก่อนงานตัวจริง ทางค่ายก็เลยแจ้งไว้ก่อนว่า เล่มทขายจริงๆ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบางอย่างให้แตกต่างไปจากเล่มที่ผมรีวิวนี้บ้าง ด้วยความที่เล่มตัวอย่างยังไม่ได้สมบูรณ์เต็ม 100%อย่างที่ทางค่ายต้องการ เพราะฉะนั้นหากรูปที่ทุกคนได้เห็นมันแตกต่างจากเล่มที่ท่านซื้ออยู่บ้างต้องบอกเหตุผลว่าเพราะเหตุนี้ไว้ล่วงหน้านะครับ
ก็อย่างที่บอกครับว่าในครั้งนี้ทางค่ายก็ยังคงแน่นอนในแนวทางด้วยการเลือกที่จะหยิบงานที่มีความใกล้เคียงกันกับงานก่อนของ อ. มานำเสนอทั้ง ในแง่ความเป็นงานเล่มเดียวจบ และมีโทนเรื่องที่ไม่หนีกันมาก แต่สิ่งที่ผมเห็นแล้วเห็นว่ามีการปรับเปลี่ยนให้แตกต่างอย่างมากคืองานผลิตในหลายๆส่วนครับ
ที่ชัดเจนคือเรื่องปกนอกที่ออกแบบได้สะดุดตามากๆ ด้วยโทนแวววาวแบบว่าหยิบถือไปที่ไหนสะดุดตาอย่างมาก สะท้อนแสงที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เห็นได้อย่างชัดเจน มันดูแพงและดูพรีเมี่ยมเอามากๆ ซึ่งเกิดจากการที่ทางค่าย เลือกพิมพ์สีบนฟอยล์ ด้านเดียว ซึ่งแม้จะบอกว่าเป็นงานทดลองสำหรับครั้งนี้
แต่แน่นอนมันมีต้นทุนที่แพงขึ้นกว่าปกปกติแน่นอน ด้วยความที่ทางค่ายเขาอยากได้ฟิลลิ่งประมาณ โลหาะ ยานอวกาศและจักรกล ซึ่งล้อไปกับเรื่องราวและแนวเรื่องที่พวกเราจดจำ อ. ด้วย และแม้ตัวปกจะถูกนำเสนอออกมาให้สะดุดตา แต่โทนและการลงรายละเอียดหน้าปก มันออกแบบมาให้กลมกลืนไม่ตะโกนในแง่การใช้สีที่ไม่เข้าพวก ซึ่งโทนการออกแบบและการใส่รายละเอียดที่ว่านี้ มันถูกใจสายสะสมอย่างผมเอามากๆ มองไปที่ดีเทล์ต่างๆ แล้วมันชวนมองเอามากๆเลยครับ
แต่ตรงปกนอกนี้ด้วยการพิมพ์บนฟอยล์แบบนี้ ก็มีผลที่อาจจะทำให้หลายคนไม่ชอบอยู่เหมือนกันนั่นคือความหนาที่เรียกว่าหนามากกว่าปกติ ทำให้พับและเข้ากับรูปเล่มได้ยากกว่าแบบบางอย่างเห็นได้ชัดเจน รวมถึงด้วยความที่มันแวววาวแบบนี้ ย่อมเสี่ยงที่จะเกิดรอยขูดขีดได้ง่าย และเป็นตำหนิได้ไม่ยากเช่นกัน ซึ่งสำหรับนักสะสมแล้วคงต้องระวังเรื่องนี้ไม่น้อย แต่ก็อย่างที่บอกข้อสังเกตไป ส่วนตัวผมชอบปกนอกเรื่องนี้นะครับ มันดูพรี่เมี่ยมและแตกต่างจากค่ายอื่นๆดีครับ
ตัวปกนอกยอดเยี่ยมตามที่บอก ส่วนตัวปกด้านในก็ทำออกมาได้เช่นกัน ด้วยการใช้อาร์ตการ์ด ทำการพิมพ์ภาพสีลงใบที่แม้จะเป็นภาพเดียวกับปกด้านนอก แต่เพราะการพิมพ์สีนี่แหล่ะ ที่ทำให้มันก็ยังดูพรีเมี่ยมและแตกต่างจากหลายค่ายและหลายเล่ม ที่มักนิยมพิมพ์เป็นภาพขาวดำบนปกด้านในแทน ซึ่งแน่นอนการพิมพ์สีครั้งนี้ต้นทุนจะต้องสูงกว่าแน่นอน แต่นั่นก็ทำให้ทั้งปกในและปกนอกสัมพันธ์ไปด้วยกันด้วยการพิมพ์สีแบบนี้แหละครับ
ตัวเล่มที่มีขนาดเท่ากับ BB เล่มนี้นั้น ใช้วิธีเปิดอ่านแบบญี่ปุ่น ด้านในเมื่อเปิดไปจะพบหน้าสี 1 หน้านอกนั้นจะเป็นภาพขาวดำทั้งหมดครับ ซึ่งพิมพ์บนกระดาษ SCG bookPlus 75g เนื้อกระดาษก็เลยมีความขาวการกระดาษกรีนรีดอยู่แบบพอสังเกตได้ ในด้านความคมชัดไม่เจอปัญหาอะไร คมชัด ทั้งลายสกีนและถมดำตามมาตรฐานครับ
มาถึงในส่วนที่ผมกังวลที่สุดในการอ่านงานแนวแฟนตาซีสายวิทยาศาสตร์แบบนี้ก็คือ งานแปลครับ ด้วยงานของ อ. มันออกเชิงปรัชญาผสม SF ค่อนข้างสูง ถ้างานแปลไม่โอเคนี้จบเลยครับ ซึ่งในส่วนสำคัญตรงนี้ต้องบอกว่ามันโอเคมากๆ งานแปลผมถือว่าดี แปลได้ลื่นไหล และเข้าใจในสิ่งที่กำลังนำเสนอมาก
แม้สิ่งนั้นจะอยู่ในบริบทของสิ่งที่อยู่ในฝัน การสื่อสารที่กำลังเล่าสิ่งที่เลื่อนลอยอยู่ในความทรงจำ ถือว่าแปลออกมาได้ง่ายและเข้าถึงได้ไม่ยาก ส่วนตัวผมชอบงานแปลครั้งนี้มากครับ
รวมถึงการพยายามแทรกข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาให้ได้อ่านกันในเล่มด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้ ในงานไพเรทหลังๆจะพบว่าเป็นความต้องการที่จะนำเสนอเพื่อให้ครบถ้วนตามต้นฉบับด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเพื่อให้คนอ่านที่ยังค้างคาในบริบทบางอย่างที่ได้อ่านในเล่มได้เข้าใจมากขึ้น เพราะมันมีคำอธิบายที่มาที่ไปของการแปลออกมาแบบนี้ ซึ่งผมมองว่าเป็นมาตรฐานที่ค่ายไพเรทก่อนๆ ทำเอาไว้ได้ดียกระดับงานให้มีความครบถ้วนเหนือกว่า LC บางค่ายด้วยซ้ำ
แน่นอนครับในเล่มนี้ก็มีเช่นกันกับการนำเสนอข้อมูลและสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเล่มที่แม้เรื่องนี้อาจไม่ได้เยอะแบบหลายหน้าอะไรนัก แต่สิ่งที่ใส่มา นอกจากอธิบายเพิ่มเติมแล้ว ยังทำให้ผู้ที่สนใจได้ไปต่อกับเรื่องราวบางส่วนอีกด้วย ที่แม้ผมยังไม่ได้ลองตามไปฟังเพิ่มเติม แต่การได้เห็นใส่อะไรแบบนี้เข้ามา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับแฟนพันธุ์แท้ของ อ. อย่างมากครับ
ในฐานะนักอ่านที่ไม่ใช่แฟนงานของ อ. เลย์จิ อย่างผม การได้อ่านงานของ อ. ถือเป็นการเติมเต็มในหลายๆแง่ๆนะครับ เพราะนอกจากนี่คือผลงานของ นักวาดที่โด่งดังระดับโลก ด้วยพล็อตเรื่องเหนือจินตนาการและก้าวล้ำจากยุคสมัยที่ถูกนำเสนอ เนื้อหาก็ยังเต็มคนอ่านอย่างผมด้วยแนวคิดเชิงปรัชญาและตัวตนของมนุษย์ที่ถูกถ่ายทอดจากผู้เขียนที่มองโลกละเอียดในหลายๆแง่มุมอีกด้วย
ในอีกมุมนึงผมก็มองว่างานของ อ.เลย์จิ อีกเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ของผลงานในกลุ่มนักวาดอัจฉริยะหรือนักวาดระดับตำนาน หรือจะบอกว่านักวาดระดับปรมาจารย์ก็คงไม่ผิด เพราะเขาเหล่านี้คือผู้บุกเบิกโลกให้รู้จักคำว่า “มังงะ” ซึ่งในตอนนั้นคำนี้สำหรับโลกใบนี้ ยังไม่ได้เปิดประตูต้อนรับมันเท่าไหร่นัก นี่จึงเป็นอีกหนึ่งผลงานจากห้วงเวลาสำคัญ ณ เวลานั้น ที่ถูกหยิบยื่นมาให้เราในยุคนี้ได้สัมผัสและรับรู้ถึงตัวตนของหนึ่งในบุคคลระดับนั้น
สำหรับบางคนมันอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่สำหรับนักอ่านมังงะระดับซีเรียสแล้ว นี่คืออีกหนึ่งเล่มที่ต้องอ่านให้ได้เล่มนึงเลยครับ ผมอ่านจบแล้ว แล้วแต่ทุกท่านว่าจะหามาอ่าน..........หรือเปล่าครับ
ภาพ 9/10
เรื่อง 8.9/10
ความประทับใจ 9/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #999Comics #การ์ตูนแนวแฟนตาซี #การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวปรัชญา #9คะแนน #ทางสายน้อยสู่ฝันห้วงลึก #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #เล่มเดียวจบ #การ์ตูนแนวรวมเรื่องสั้น #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
บันทึก
1
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย