30 เม.ย. เวลา 09:49 • นิยาย เรื่องสั้น

ปัญหาพันเงื่อน กับนักแก้ปริศนา

บทที่ 3: เงาในหุบเขา ตอนที่ 1
แสงตะวันคล้อยต่ำ ลับยอดไม้ใหญ่ เงายามเย็นทอดทาบพื้นป่า เงียบงันและลึกลับ ขุนศิรเทพในเสื้อคลุมเก่าซีดจางจากการเดินทาง ยืนแน่วแน่ ณ เชิงเขาใหญ่ ยอดเขาสูงสลับทับซ้อนกันราวสันหลังอสูรกายโบราณ
เขาโน้มกายลงกระซิบเบา ๆ กับเจ้าลาผู้เหนื่อยล้า พลางชี้นิ้วไปยังแนวป่าทึบซึ่งทอดไกลสุดขอบสายตา
"เพื่อนเอ๋ย เจ้าจงเดินทางไปทางนั้นเพียงลำพัง ผ่านพงไพรและลำธาร จะพบทุ่งกว้าง...จงรอข้าที่นั่น"
เจ้าลาเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแวบหนึ่ง คล้ายเข้าใจวาจาอันสงบเย็นนั้น แล้วเดินหายลับไปอย่างเงียบเชียบ มิใช่เพราะมันถูกฝึกมาแต่แรก หากเพราะมัน "เข้าใจ"—และสำหรับขุนศิรเทพ นี่มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
แต่ไหนแต่ไรมา เสมือนสัตว์น้อยใหญ่สดับฟังคำเขามาตลอด เหมือนรับรู้บางสิ่งในเสียงนั้น
เขารู้ดีว่าทั่วทั้งดินแดน ไม่มีผู้ใดทำได้เหมือนดั่งเขา ด้วยคำยืนยันของผู้ผ่านโลก ผ่านร้อยพันดินแดน ผู้เป็นอาจารย์ของเขา "ขุนภัทระ"
ชายหนุ่มหลับตาลง ความทรงจำในวัยเยาว์ผุดขึ้นดั่งเงาจางของอดีต...
ยามบ่ายวันหนึ่ง เด็กน้อยวัยสิบขวบกลับจากป่า หอบผลไม้มาเต็มมือ เขาวางผลไม้ไว้ข้างอาจารย์ พร้อมกระต่ายตัวหนึ่งที่เดินตามมาด้วย
"เจ้าเลี้ยงมันไว้หรือ?" ขุนภัทระถามอย่างแปลกใจ
"ไม่ขอรับ ข้าเพียงเอ่ยให้มันตามมา หวังให้อยู่เป็นเพื่อนท่าน"
คำตอบนั้นทำให้ขุนภัทระนิ่งงัน มิมีมนตราใด มิมีแผ่นยันต์หรือไม้เท้า มีเพียงคำพูดเปล่า ๆ และกระต่ายตัวหนึ่ง
เจ้าเพียงเอ่ยปากบอกมันรึ? ขุนภัทระพึมพำด้วยความอดแปลกใจมิได้
ที่ผ่านมาผู้เป็นอาจารย์ย่อมรู้สึกถึงความพิเศษของศิรเทพ เพราะเด็กน้อยสามารถพูดจาเพียงไม่กี่คำ ผู้ทรงปัญญาผ่านโลกมามากมายอย่างเขา ก็อดนิ่งอึ้งฟังมิได้ บ่อยครั้งถึงกับใจสั่น หรือแทบจะถูกโน้มน้าวให้เปลี่ยนความคิดได้เลย
ขุนภัทระเองยังไม่รู้ที่มาของสิ่งนี้ แต่อาจเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาตั้งชื่อเรียกมันเองว่า "เสียงแท้จากภายใน"
“เจ้าเคยใช้วิธีนี้ล่าสัตว์หรือ?” ขุนภัทระถามต่อ
“ไม่ขอรับ ข้าไม่เคยล่าแม้รู้วิธี ข้าไม่เคยเอ่ยกับผู้ใดที่เข้าใจข้า เพื่อให้เขามาเป็นอาหารของข้า”
อาจารย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อเราสื่อใจกับสิ่งใดแล้ว... สิ่งนั้นย่อมมิใช่เหยื่อ หากแต่กลายเป็น "มิตรแท้"
ค่ำวันนั้น หลังแสงสุดท้ายหายลับจากผืนนภา เด็กชายกับอาจารย์นั่งเคียงกันข้างกองไฟ เสียงแมลงกลางคืนขับขานเบา ๆ ลมเย็นพัดผ่านใบไม้ไหวกราว ขุนภัทระทอดตามองเปลวไฟอย่างเงียบงัน คล้ายครุ่นคิดบางอย่างอยู่นาน
"ศิรเทพ" เขาเอ่ยเสียงต่ำ "เจ้าเคยคิดหรือไม่..." เขาเอ่ยช้า ๆ "ว่าบางเสียงในเรานั้น...ไม่ใช่ของเราเอง"
เด็กชายขมวดคิ้ว ก่อนเอียงหน้าอย่างครุ่นคิด
"ข้าเคยได้ยินเสียงในใจ...คล้ายบางสิ่งพูดกับข้า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันคือใคร"
ขุนภัทระพยักหน้าแผ่วเบา “มันอาจเป็นเสียงของสิ่งที่เจ้าต้องเป็น”
“ข้าอยากเป็นคนดี” เด็กชายตอบเรียบง่าย
ด้วยคำตอบใสซื่อ ขุนภัทระเผยยิ้มน้อย ๆ “แต่การเป็นคนดี...บางคราวก็หมายถึงการต้องเผชิญความมืดคนเดียว”
ศิรเทพนิ่ง
“เมื่อถึงวันนั้น” ขุนภัทระพูดเบาลง "เจ้าอาจพบว่า ไม่มีคำสอนใดของข้า ช่วยเจ้าได้เลย...นอกจากใจของเจ้าเอง"
“ข้ากลัววันนั้น” เด็กชายสารภาพ
อาจารย์มองเขา พลางเอื้อมมือวางบนศีรษะเด็กชายอย่างเอ็นดู
“เจ้าควรกลัว” เขากล่าวช้า ๆ “เพราะคนที่ไม่กลัว...มักหลงในพลังของตน และพ่ายแพ้โดยไม่รู้ตัว”
เปลวไฟโอนเอน คล้ายจะแตกดับลงชั่วครู่ แล้วลุกขึ้นใหม่
“เสียงในเจ้าจะพาเจ้าไป...ไกลกว่าข้า”
ขุนภัทระหยิบฟืนมาเติมกองไฟ เสียงแตกเป๊าะเบา ๆ ดังขึ้น
"เจ้ามีบางสิ่งในตัว ที่ข้า...อาจไม่อาจสอนให้ได้"
"แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าควรใช้มันเพื่ออะไร?" เด็กชายถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ขุนภัทระหันมาสบตาเขา นิ่งไปนาน ก่อนตอบว่า:
"เจ้าจะรู้...เมื่อถึงวันที่เจ้าอยากช่วยใครสักคน แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี"
“แล้วข้าจะทำได้หรือ?”
"ข้าหวังว่าเจ้า จะกล้ายืนอยู่กลางเงา แม้หัวใจจะยังไม่รู้ทาง"
“แม้ข้าอยากจะอยู่ข้างเจ้าในวันนั้น....” ขุนภัทระกล่าว ก่อนหยุดนิ่งนานอีกครั้ง เสียงนั้นไม่ใช่คำปลอบโยน หากคือน้ำเสียงของการยอมรับความจริงบางอย่าง
เด็กชายค่อยเงยหน้าขึ้น สบตาอาจารย์ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ
แต่เขารับไว้แล้ว—ทุกถ้อยคำ ทุกความเงียบ ทุกเงาที่เคลื่อนไหวในแววตาของคนที่รักเขาดั่งลูกชาย
ภาพอดีตเลือนหาย ศิรเทพลืมตาขึ้นสู่ปัจจุบันอีกครั้ง สายตาทอดยาวสู่หุบเขาเบื้องหน้า เขาคลี่แผ่นหนังเก่า แผนที่ที่อาจารย์มอบไว้ตั้งแต่เมื่อยังเด็ก เขาขีดลายเส้นบนพื้นดิน จำลองเส้นทางต่าง ๆ ร่องรอยจางเลือนในแผนที่กลับชัดเจนในใจ
“ตรงปลายแนวเขานั่น...น่าจะมีทางลง เราจะพบเจ้าลาที่นั่น”
เขาสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง แล้วเริ่มปีนป่ายผ่านเนินชัน เสียงลมกระซิบเย็นยะเยือกพัดสวนหน้า สะพานไม้ที่เชื่อมแนวเขาโยกคลอนทุกย่างก้าว—เบื้องล่างเวิ้งลึกยังคงพร่ำคำเตือนในใจให้สะท้าน
เขาข้ามภูสูง ผ่านป่าและลำธารเล็ก ๆ จนพบที่ราบสลับแนวเขา และที่ปลายสายตา
—เมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางหุบเขา เรียกขานกันว่า "เมืองอารันทร์"
จากคำเล่าของนักเดินทาง เมืองนี้เคยเปี่ยมด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก แต่ในยามราตรีกลับกลายเป็นเงามืด เสียงหวีดประหลาดและรอยเล็บปริศนา ผู้คนพูดถึงเด็กที่หายไป ชาวบ้านเริ่มหวาดระแวงกันเอง เหมือนเงากลืนเมืองไว้ทั้งเมือง
เมื่อขุนศิรเทพมาถึง เขาได้รับเพียงดวงตาเคลือบแววระแวง ประตูหน้าต่างปิดเงียบ หญิงชราผู้หนึ่งแง้มบานไม้ เสียงเอ่ยแผ่วเบา
"หากเจ้ามาเพื่อค้นหาความจริง...จงระวังอย่าให้เงากลืนกินหัวใจเจ้าเอง"
ขุนศิรเทพพยักหน้าช้า ๆ เขาไม่ได้กล่าวอะไรตอบ แต่ในใจกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่คล้ายจะสะท้อนกลับมาที่ตัวเขาเอง
เขาเริ่มชินกับการได้ยินคำพูดประหลาดเหล่านั้นจากผู้คนแปลกหน้าที่เขาได้พบระหว่างทาง คำพูดที่ดูเหมือนจะไร้สาระยากจะเข้าใจ แต่ลึกลงไปกลับแฝงความหมายยากคาดเดา
ผู้คนเหล่านั้น — ไม่ว่าจะเป็นชายชราผมหงอก, หญิงสาวผู้เหม่อลอย, หรือเด็กน้อยที่หลงทาง — ต่างกล่าวคำที่ไม่เคยชัดเจน คำที่ไม่อาจเห็นผลได้ทันที แต่ทิ้งร่องรอยบางอย่างในใจของเขา
บางครั้งคำเตือนนั้นให้แสงสว่างในการเดินทาง บางครั้งเป็นการเตือนภัยที่คาดไม่ถึง บางคราวมันก็เหมือนจะทดสอบความแน่วแน่ในจิตใจของเขา
ขุนศิรเทพไม่เคยหาคำตอบจากคำพูดเหล่านั้นได้ตรง ๆ และไม่เคยได้รับคำอธิบายที่ชัดเจนจากผู้ที่ทิ้งคำพูดเหล่านั้นไว้ให้ แต่เขากลับเรียนรู้ที่จะมองมันเหมือนดั่งเงาของตัวเอง — เขารับรู้และพิจารณา แม้มันจะไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดในทันที
กลางลานเมือง เสาศิลาหักพังตั้งรกร้าง หัวหน้าหมู่บ้าน—ชายชราในเสื้อผ้าหม่นซีด—โต้เถียงกับชาวบ้าน เขาหันมาสบตากับศิรเทพ ถามอย่างระแวง
"เจ้าคือผู้ถูกส่งมา?"
"มิใช่ส่งมา...ข้าแค่ผ่านมา"
"งั้นก็จงผ่านไป ที่นี่ไม่มีผู้ใดต้องการเจ้า"
“แต่ข้าอาจช่วยพวกท่านได้”
เสียงของชายหนุ่มเรียบเย็น แต่หนักแน่น สายตาของหัวหน้าหมู่บ้านหลุบต่ำ ก่อนจ้องมองชายหนุ่มอีกครั้ง ด้วยเสียงแผดดัง
“…เจ้าหน่ะรึ...หนุ่มน้อย แล้วเจ้าคือผู้ใด”
“ข้าชื่อ ขุนศิรเทพ”
ชายชรานิ่งไปอึดใจ ชื่อนี้แม้มิเคยได้ยิน แต่นาม "ขุน" ทำให้คิดว่าอาจเป็นนักรบจากที่ใด แต่เมื่อเหลือบมองทั่วไปทั้งร่างของชายหนุ่ม กลับไม่พบอาวุธใด ๆ
เขาอาจเป็นผู้แอบอ้าง เขาดูอายุยังน้อย ไม่น่านำภัยใดมา หัวหน้าหมู่บ้านคิดในใจ
พลันขุนศิรเทพกล่าวคำย้ำชัดเจน หนักแน่น พร้อมหันหน้าสบสายตาหมู่ชาวบ้านตรงหน้า
"ให้ข้าช่วยพวกท่าน โปรดเล่าให้ข้าฟังถึงปัญหาของพวกท่านเถิด"
เสียงนั้นไม่ได้ดังก้อง แต่ทุกถ้อยคำคล้ายฝังลงในใจผู้ฟัง ชาวบ้านบางคนเริ่มหันหน้ามองกัน กระซิบกันเบา ๆ ก่อนผู้หนึ่งจะเอ่ยว่า:
"ให้เขาฟังเถิด เผื่อจะช่วยได้"
หัวหน้าหมู่บ้านมองชาวบ้านซ้ายที ขวาที นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง:
ในสามเดือน เด็กหายไปถึง 9 คน ทุกครั้งยามวิกาล ไร้ร่องรอยงัดแงะ มีเพียงเสียงหวีดและรอยข่วนประหลาด บ้างว่าเป็นปีศาจ บ้างว่าเป็นผู้คนในหมู่บ้านที่ถูกบางสิ่งครอบงำ
ชาวบ้านบางคนเริ่มโทษกันเองว่ามี "ปีศาจซ่อนในหมู่เรา"
หลายคนก็เริ่มเล่าเสริม ทุกคนต่างพูดถึงสิ่งที่ตนเองเคยได้พบเจอได้อย่างตื่นกลัว บางเรื่องเล่าแม้ผู้ไม่เคยได้พบเจอด้วยตนเอง กลับนิ่งฟังด้วยดวงตามีแววหวาดกลัว
เสียงเล่าขานกลายเป็นสายน้ำแห่งความกลัวที่ไหลเอ่อทั่วลาน
เมื่อเรื่องเล่าสิ้นสุด หัวหน้าหมู่บ้านหันกลับมาจ้องชายหนุ่มแปลกหน้า น้ำเสียงแห้งกลับเปลี่ยนเป็นแผดดัง
"ท่านขุน ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ!?"
ขุนศิรเทพ จ้องมองลึกลงในตาผู้ถาม ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เก็บความนึกคิดบางอย่างไว้ในใจ มิได้กล่าวตอบในทันที เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วออกเดินช้า ๆ ค่อย ๆ เดินรอบหมู่บ้าน
ลมวูบหนึ่งพัดผ่าน ผ้าคลุมเขาปลิวสะบัด เขาเดินผ่านแนวพุ่มไม้...แล้วหยุด
ใต้กิ่งไม้ต่ำมีเศษผ้าขาดรุ่ยติดอยู่ กลิ่นโคลนชื้นปนกลิ่นบางสิ่งคุ้นเคยที่รบกวนจิตใจ
เบื้องล่างคือรอยเท้าเล็ก ๆ ฝังในโคลน จางลงเมื่อถูกรอยเท้าใหญ่กว่าเบียดทับ รอยลึกจนผิดธรรมชาติ
ศิรเทพเงยหน้าขึ้นทันใด
เสียงหวีดวิเวก—อย่างที่ผู้คนกล่าวถึง—แว่วลึกมาจากยอดเขาเบื้องหลัง
เขาหลับตา สูดลมหายใจครั้งหนึ่ง…
...แล้วลืมตาขึ้นด้วยแววตาเปลี่ยนไป
โฆษณา