เมื่อวาน เวลา 10:22 • ปรัชญา

watthakhanun

รถบัสมารับพวกเราตรงเวลามาก เมื่อตรวจสอบกระเป๋าและนำขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็วิ่งตรงไปยังสุวรรณวิหาร ใช้เวลาแค่ไม่นานก็ต้องมาจอดให้ทุกคนลง แล้วก็มีรถริกชอร์ หรือว่าสามล้ออินเดีย ซึ่งให้นั่งได้คันละ ๔ คน มารับพวกเราตรงไปยังสุวรรณวิหาร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นถนนแคบ ๆ รถราแน่นขนัดไปหมด แต่ละคันบีบแตรกันแบบไม่ยั้ง สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาฟังรู้เรื่องได้อย่างไร ?!
เมื่อไปถึงจอดลงเท่านั้น ก็มีคนวิ่งมาเร่ขายผ้าคลุมหัวทันที เนื่องเพราะว่าในสุวรรณวิหารนั้นมีกฎระเบียบก็คือ ทุกคนที่เข้าไปต้องโพกหัวให้เรียบร้อย ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่าแขกซิกข์นั้นจะโพกผ้ากันทุกคน จนเราเรียกง่าย ๆ ว่า "อาบังโพกหัว"บ้าง "อาบังขายผ้า" บ้าง เหล่านี้เป็นต้น
เพียงแต่ว่าสุวรรณวิหารนั้นเปิด ๙ โมงตรง ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นจึงแนะนำคุณเอให้พาพวกเราเข้าไปชมสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสถานที่สังหารหมู่ชาวซิกข์ของพวกคนอังกฤษ เนื่องเพราะว่าตอนนั้นรัฐบาลอังกฤษปกครองอินเดียอยู่ แล้วมีเทศกาลที่ชาวซิกข์มาชุมนุมกันหลายพันคน ทำให้ทางรัฐบาลระแวงว่าเป็นการเดินขบวนเพื่อไล่รัฐบาลอังกฤษ จึงส่งทหารมา "ปิดประตูตีแมว"..!
เนื่องเพราะว่าบริเวณสถานที่จัดงานนั้น มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน เมื่อทหารบุกเข้ามา ทั้งยิงและขว้างระเบิด จึงทำให้บรรดาชาวซิกข์ไม่มีที่จะหลบภัย เฉพาะบ่อน้ำแห่งเดียว มีซากศพชาวซิกข์ทับถมกันอยู่ถึง ๑๒๐ กว่าศพ..! แล้วตามกำแพงก็ยังมีรูกระสุนปืนที่เขาอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อบอกถึงความโหดร้ายของผู้ปกครองด้วย
เมื่อพวกเราชมสถานที่ ปลงสังเวชและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องเดินออกมาอีกด้านหนึ่ง คราวนี้ได้เวลาเข้าไปยังสุวรรณวิหารเสียที อันดับแรกเลย เมื่อเห็นตัวอาคารมีโดมสีทอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร ๔ ทิศ พวกเราก็ถ่ายรูปหมู่เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ไปทำการฝากรองเท้าซึ่งเป็นการฝากฟรี ไม่เสียเงิน เจ้าหน้าที่ดูแลให้เราดีมาก มัคคุเทศก์แอบกระซิบว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในนี้ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ร่ำรวยมาก แต่ว่าเสียสละตนเองมาทำงานเพื่อสังคม
เมื่อฝากรองเท้าแล้วพวกเราก็ต้องไปล้างมือ แล้วก็เดินผ่านน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปทางด้านใน ซึ่งจะมีทหารแขกซิกข์ตัวใหญ่โตมโหฬาร ถือหอกเดินเฝ้าอยู่เป็นระยะ ๆ ถ้าใครนึกไม่ออก ลองนึกถึงสมัยหนึ่งซึ่งเรามี "อาบังแขกยาม" ดูก็ได้ กระผม/อาตมภาพที่สูง ๑๗๒ เซนติเมตร เมื่อเดินเข้าไปเปรียบเทียบกับทหารเหล่านี้แล้ว กลายเป็นลูกชายของเขาไปเลย..!
เมื่อพวกเรามาแล้ว ก็ดูว่ามีมุมให้ถ่ายรูปตรงไหนบ้างที่พากันถ่ายรูปได้ แต่ยกเว้นการถ่ายวิดีโอที่เขาห้าม แล้วถ้าหากว่าการถ่ายรูปนั้น มีใครเผลอทำผ้าคลุมผมหลุด เจ้าหน้าที่ทหารที่ถือหอก ก็จะมาชี้บอกให้ทุกคลุมผมขึ้นไปใหม่ก่อน แล้วถึงจะถ่ายรูปได้ พูดง่าย ๆ ว่านอกจากสุวรรณวิหารแล้ว สระน้ำนั้นก็เป็นสระศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมควรที่จะทำอะไรซึ่งเป็นการไม่เคารพ
เมื่อถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว พวกเราแทนที่จะเข้าไปในสุวรรณวิหาร เพื่อสักการะพระคัมภีร์ประจำศาสนาซิกข์ ซึ่งได้รับการดูแลเห่กล่อมเหมือนอย่างกับเป็นองค์ศาสดาที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เห็นแถวคนเป็นพัน ๆ ซึ่งต่อแถวกันแน่นขนัดตั้งแต่เช้าก็ถอดใจ พวกเราก็เลยเดินไปดูโรงทาน ซึ่งได้ชื่อว่าโรงทานใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะชาติใดศาสนาใดมาถึง เขาก็เชิญเลี้ยงทั้งสิ้น
พวกเราเดินเข้าไปขอดูสถานที่ เขาก็ยังส่งถาดหลุม ส่งช้อนอะไรมาให้ เพียงแต่ว่าพวกเราปฏิเสธ เดินเข้าไปด้านใน เห็นอาสาสมัครชาวซิกข์เป็นจำนวนมาก คนนั้นดูแลถาด คนนี้ดูแลช้อน คนโน้นดูแลแก้วน้ำ อีกฝ่ายหนึ่งก็ไปรอรับจากบุคคลที่กินเสร็จแล้ว ส่วนหนึ่งก็ล้างจานหรือว่าถาดหลุม อีกส่วนหนึ่งก็ล้างช้อน อีกส่วนหนึ่งก็ล้างแก้วน้ำ เหล่านี้เป็นต้น
พวกเราเข้าไปร่วมบุญด้วยการเอาเงินไปหยอดตู้ กระผม/อาตมภาพหยอดลงไป ๑,๐๐๐ รูปี แล้วไปเดินดูบุคคลที่กินอาหารกันอยู่ นั่งกันเป็นแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็เดินตักข้าวและตักแกงแจกให้ทุกคน ถ้าใครไม่อิ่มก็ยกมือ สามารถขอเพิ่มได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะอิ่ม เมื่ออิ่มแล้วก็เอาจาน เอาช้อน หรือว่าแก้วน้ำไปส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ช่วยล้าง ซึ่งเสียงล้างดังสนั่นหวั่นไหวมาก..!
จนกระทั่งไปนึกถึงวัดหลวงพ่อวัดเขาตะมะยะที่พม่า ซึ่งถ้วยจานชามช้อนทุกอย่างทำด้วยสเตนเลส น่าจะเป็นประสบการณ์ว่า ถ้าต้องการล้างให้ทันกับคนเป็นหมื่นเป็นแสนกิน ก็ต้องเร่งรีบมาก ขืนใช้ภาชนะแก้วหรือกระเบื้องคงจะแตกบรรลัยหมด ทุกอย่างจึงต้องเป็นสเตนเลสเท่านั้น
เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว กระผม/อาตมภาพเดินไปยังสถานที่หนึ่ง ปรากฏว่าเป็นสถานพยาบาลฟรีของทางศาสนาซิกข์ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ มีหมอมีพยาบาลคอยดูแลให้ นับว่าเป็นการดูแลบุคคลได้ครบวงจรมาก มีทั้งที่กินและที่รักษาตัวอยู่ในสถานที่เดียวกัน
คณะของเราเดินกลับออกมาทางด้านนอก ซึ่งเป็นจุดที่ชาวซิกข์หญิงชายไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์กัน น่าเสียดายว่าไม่สามารถที่จะลงไปร่วมกับเขาได้ ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจ แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้เตรียมผ้ามาเปลี่ยนด้วย บริเวณนั้นมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่คู่กับศาสนาซิกข์นี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นจุดที่บุคคลค้นพบสระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อดูเขาเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์ชาวซิกข์ ไม่ว่าจะเป็นภาพประวัติบุคคลสำคัญ ภาพสิ่งของเครื่องใช้ที่บรรดาสุลต่านหรือมหาราชาชาวซิกข์เคยใช้ บรรดาอาวุธต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมีด เป็นดาบ เป็นปืน ที่บรรดาวีรบุรุษผู้กล้าชาวซิกข์ใช้ต่อสู้อริราชศัตรู แล้วก็มีภาพของศาสนาอื่นที่รุกรานเข้ามา จับชาวซิกข์ทรมานด้วยการแล่เนื้อเถือหนังทีละชิ้น..!
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เห็นว่า กว่าที่จะเขาจะมีสถานที่สำคัญเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างสุวรรณวิหารนั้น ต้องทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตแลกมาจริง ๆ ดังนั้น..ในสถานที่แห่งนี้ ถ้าหากว่าใครมารุกราน เชื่อว่าชาวซิกข์ทั้งหมดก็คงทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตเข้าไปป้องกันอย่างแน่นอน..!
เมื่อออกมาทางด้านนอกแล้ว ก็มีบรรดาร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนก็มาสะกิดเรียกกระผม/อาตมภาพ ถามว่า "เป็นพระจีนใช่หรือไม่ ?"กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ขืนตอบเมื่อไรจะมีนิทานเรื่องยาวเกิดขึ้น แล้วเราก็ต้องหลวมตัวซื้อของของเขาทันที แต่กระนั้นก็ตาม พวกเราจำนวนมากก็ซื้อกันไปจนได้ เรียก
ว่าสมยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถที่จะโทษใครได้
หลังจากนั้นก็ได้นั่งสามล้อกลับไปต่อรถบัส แล้วตรงไปยังร้านอาหาร ซึ่งต้องรอกันค่อนข้างนานทีเดียว ถึงจะมีอาหารต่าง ๆ ยกมาเสิร์ฟ แต่เป็นการเสิร์ฟอาหารคล้าย ๆ ภัตตาคารจีน ก็คือมาทีละอย่าง ทำให้คนฉันเร็วอย่างกระผม/อาตมภาพนั้น อิ่มเสียก่อนแล้วกว่าที่อาหารจะมาครบทั้งหมด..!
เสร็จจากตรงนั้น พวกเราก็มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองธรรมศาลา รัฐหิมาจัล เนื่องเพราะว่าจะต้องขึ้นไปสักการะองค์ดาไลลามะ ซึ่งรถบัสจะต้องใช้เวลาในการเดินทางอย่างน้อย ๖ ชั่วโมง ในระหว่างที่พักเข้าห้องน้ำ กระผม/อาตมภาพจึงฉวยโอกาสบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้เอาไว้ก่อน
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘
โฆษณา