2 พ.ค. เวลา 07:15 • ข่าวรอบโลก

จีนเผย สหรัฐฯ รุกคืบขอเจรจาภาษีทรัมป์ ย้ำขอ "ความจริงใจ"

กระทรวงพาณิชย์จีนเผยสัญญาณเชิงบวก สหรัฐฯ แสดงท่าทีขอเปิดโต๊ะเจรจาลดภาษีทรัมป์ พร้อมส่งสัญญาณจีนเปิดประตูพูดคุย แต่เตือนอย่าใช้การเจรจาเป็นข้ออ้างบีบบังคับ
กระแสสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจโลกอาจเริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนออกมาเปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาหารือเพื่อขอเจรจาเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสูงลิ่วถึง 145% ที่ออกโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยจีนยืนยันว่า “ประตูของจีนยังเปิดสำหรับการพูดคุย” ซึ่งถือเป็นท่าทีเชิงบวกที่อาจนำไปสู่การลดระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศที่ยืดเยื้อมานาน
1
อย่างไรก็ตาม จีนก็ไม่ได้ลดการ์ดลงง่ายๆ โดยระบุชัดในแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ ควรเตรียมพร้อมดำเนินการเพื่อแก้ไข “แนวทางที่ผิดพลาด” และยกเลิกมาตรการภาษีฝ่ายเดียวที่กดดันอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แสดง “ความจริงใจ” หากต้องการให้การเจรจาเดินหน้าอย่างสร้างสรรค์
“หากจะใช้การเจรจาเป็นข้ออ้างในการบีบบังคับหรือรีดไถ นั่นจะไม่ได้ผล” คือคำเตือนที่กระทรวงพาณิชย์จีนส่งตรงไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างชัดเจน สะท้อนถึงท่าทีแข็งกร้าวที่แม้จะเปิดโต๊ะพูดคุย แต่ก็ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีของตนเองลงในการเจรจาครั้งนี้
จีนแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยต่อมาตรการภาษีของทรัมป์ โดยมองว่าเป็นการรังแกทางเศรษฐกิจ และจะไม่สามารถหยุดการเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกได้ ไม่เพียงแต่แสดงจุดยืนผ่านถ้อยแถลงหรือการเจรจาทางการทูตเท่านั้น แต่ยังเร่งระดมพลังทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อกดดันและประณามสหรัฐฯ ต่อการใช้มาตรการภาษีที่ไม่เป็นธรรมต่อจีนอย่างต่อเนื่อง
ในอีกด้านหนึ่ง จีนก็ตอบโต้กลับอย่างเงียบๆ โดยมีรายงานจากรอยเตอร์สว่าจีนได้จัดทำบัญชีรายชื่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่จะได้รับการยกเว้นจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 125% โดยสินค้าที่ได้รับการยกเว้นมีตั้งแต่เวชภัณฑ์บางประเภท ไมโครชิป ไปจนถึงเครื่องยนต์เครื่องบิน ซึ่งเป็นสินค้าที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมของจีนหากต้องเผชิญภาษีสูง
ทางฝั่งสหรัฐฯ เองก็มีท่าทีในเชิงบวกเช่นกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน อาทิ รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ และที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาว เควิน แฮสเซตต์ ต่างแสดงความหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงบางส่วนเพื่อลดแรงกดดันด้านการค้าได้
แม้แต่ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ออกมากล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาเชื่อว่า “มีโอกาสสูงมาก” ที่สหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงบางประการกับจีนได้ในเร็วๆ นี้ โดยคำกล่าวนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงดำเนินมาตรการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ แม้จะไม่ได้ระบุถึงสหรัฐฯ อย่างชัดเจน แต่ก็ถูกตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณตอบโต้เชิงนโยบายในระดับหนึ่ง
สถานการณ์ล่าสุดนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจนำไปสู่การคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศ หากทั้งสองฝ่ายสามารถแสดงเจตจำนงที่แท้จริงในการหาทางออก และหลีกเลี่ยงการใช้การเมืองหรืออำนาจต่อรองมากดดันอีกฝ่าย อย่างไรก็ดี ท่าทีแข็งกร้าวที่ยังแฝงอยู่ในถ้อยแถลงทั้งสองฝั่งก็สะท้อนว่า การเจรจาครั้งนี้อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน การที่สองชาติเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกหันหน้าพูดคุยกันอีกครั้ง จึงเป็นข่าวดีที่จับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในสายตาของภาคธุรกิจและตลาดการเงินโลกที่ต่างเฝ้ารอความชัดเจนเพื่อวางแผนรับมือในอนาคต
โฆษณา