2 พ.ค. เวลา 15:37 • การศึกษา

ผู้ที่บิดเบือนพระธรรมวินัย

ผู้ที่บิดเบือนพระธรรมวินัย เผยแผ่สัทธรรมปฏิรูป คือ ตัวอันตรายที่ทำลายพระพุทธศาสนาให้ยับเยิน ยิ่งกว่าอลัชชีที่ประพฤติมิชอบเป็นร้อยเท่าพันทวี
.
เพราะอลัชชีทำผิด ประพฤติผิด ก็เป็นเพียงความผิดเฉพาะตัว ย่อมทำลายตัวเองให้พินาศย่อยยับไปเท่านั้น มิได้ทำลายพระพุทธศาสนา แต่ผู้บิดเบือนพระธรรมวินัย เผยแผ่สัทธรรมปฏิรูป ย่อมทำให้คนหลงผิด เข้าใจพระธรรมวินัยผิด เป็นเหตุให้ปฏิบัติผิด ห่างไกลจากมรรค ผล นิพพาน
.
ทุกวันนี้ที่พระสงฆ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และเป็นข่าวฉาวในสื่อโซเชียล ล้วนเป็นเพราะไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทั้งนั้น คือปฏิบัติตามใจตนเอง ไม่เชื่อถ้อยฟังคำพระเถรผู้ใหญ่ตักเตือน ไม่ยึดถือครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นแบบอย่าง
.
ทั้งยังตีความพระธรรมวินัยบิดเบือนคลาดเคลื่อนไปจากความจริง ไม่เคารพพระผู้มีพรรษาแก่กว่า ตามหลักอาวุโสภันเต เห็นแก่ลาภสักการะ ประพฤติตนนอกรีตนอกรอย อยากเด่นอยากดัง ติดสุขติดสบาย เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องสังหารทำลายพระภิกษุผู้โง่เขลาให้พังพินาศอย่างยับเยิน
.
บางพวกก็ชอบที่จะประพฤติอุตริแหวกแนว บางสำนักสวดปาติโมกข์เป็นภาษาไทย อันนี้ก็ถือเป็นสังฆกรรมวิบัติ แม้ท่านเหล่านั้นจะคิดว่าทำได้ก็ตาม
.
การสวดปาติโมกข์ต้องสวดเป็นภาษาบาลีเท่านั้น เพื่อรักษาคำตรัสดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าให้คงไว้ตลอดไป และต้องสวดให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ของภาษาบาลีด้วย จึงเป็นสังฆกรรมที่ถูกต้อง
.
ถ้าอยากแปลพระปาติโมกข์ให้เป็นภาษาท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจความหมาย ก็สามารถทำได้ แต่ให้รู้ว่า ไม่ใช่สังฆกรรม ควรไปศึกษาคำแปลภายหลังจากที่สวดภาษาบาลีแล้ว การจะเอาคำแปลภาษาไทย มาใช้แทนการสวดปาติโมกข์เป็นภาษาบาลี กระทำไม่ได้ ถ้าขืนทำก็เป็นสังฆกรรมวิบัติ เสมือนหนึ่งไม่ได้ทำสังฆกรรมใด ๆ ถูกปรับอาบัติปาจิตตีย์ และทุกกฏ
.
ถ้ามหาเถรสมาคม ปล่อยให้แต่ละสำนักนึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ โดยไม่คำนึงถึงพระธรรมวินัย และจารีตประเพณี ก็จะเป็นเหตุทำให้พระพุทธศาสนาถูกบ่อนทำลายให้เสื่อมสลายไปเร็วกว่าที่ควร
.
บางสำนักก็ไม่โกนคิ้ว โดยอ้างว่า พระวินัย ไม่มีกำหนดให้ต้องโกนคิ้ว พระวินัยให้โกนผมโกนหนวดโกนเคราเท่านั้น บางรูปเป็นมหาเปรียญ ๘-๙ ประโยค แต่กลับตีความพระวินัย ราวกับเป็นศรีธนญชัย เรียกว่า ไม่สมภูมิมหาเปรียญ
.
พระวินัยไม่ได้กำหนดให้โกนคิ้วก็จริง แต่มิได้หมายความว่า จะโกนคิ้วไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใช้มหาปเทส ๔ เป็นหลักในการพิจารณาอนุโลม ในสิ่งที่ไม่ได้ทรงบัญญัติห้ามไว้ว่าไม่ควร หรือในสิ่งที่ทรงบัญญัติอนุญาตไว้ว่าควร
.
มหาปเทส ๔ อย่าง :-
๑.สิ่งใดไม่ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นอกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นกัปปิยะ สิ่งนั้นไม่ควร
๒.สิ่งใดไม่ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร
๓.สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นอกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นกัปปิยะ สิ่งนั้นไม่ควร
๔.สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร
.
ถ้าว่าโดยพระวินัย การโกนผม โกนหนวด โกนเครา ท่านอนุญาตไว้ว่า ควร คือไม่ให้ปล่อยไว้ให้นานเกิน ๒ เดือน หรือยาวเกิน ๒ นิ้ว หรือ ๒ องคุลี แล้วแต่อันใดจะถึงก่อน การโกนคิ้วก็สงเคราะห์เข้ากันได้กับการโกนผม โกนหนวด โกนเครา ก็ต้องถือว่า เป็นสิ่งที่ควรเช่นเดียวกัน อย่าไปอ้างว่า คิ้วมันยาวอยู่ที่เดิม ไม่ได้ยาวไปเรื่อย ๆ เหมือนผม เหมือนหนวด เหมือนเครา
.
ในเมื่อคณะสงฆ์ไทยมีธรรมเนียมปฏิบัติร่วมกันให้โกนผม โกนหนวด โกนเครา โกนคิ้ว ทุกวันโกน คือวันขึ้น ๑๔ ค่ำ หรือใครจะโกนวันแรม ๑๔ ค่ำ ด้วย ก็ไม่ว่ากัน ไม่ใช่เรื่องเสียหายถึงขั้นผิดธรรมผิดวินัย คณะสงฆ์โดยมากก็ยอมรับถือปฏิบัติตาม
.
ถ้าว่าโดยธรรม ธรรมท่านสอน “สุขา สังฆัสสะ สามัคคี” ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ นำมาซึ่งความสุข ดังนั้น คณะสงฆ์ที่มีจิตสำนึกดีงาม จึงควรประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มันจึงเป็น สังฆโสภณ เป็นการทำหมู่สงฆ์ให้งดงาม งามด้วยศีลาจารวัตร งามด้วยข้อวัตรปฏิบัติอย่างเดียวกัน เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม งามด้วยความปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จึงไม่ควรถือรั้นด้วยทิฏฐิมานะ อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์
.
การเรียนธรรมเรียนวินัย ก็เรียนมาเพื่อใช้สำรอกปอกกิเลสออกจากใจตนเท่านั้น ถ้าเรียนธรรมเรียนวินัยแล้ว ไม่ช่วยทำให้กิเลสความหลงผิดภายในใจมันลดลงเลย มิหนำซ้ำ ยังจะเพิ่มพูนกิเลสให้มากยิ่งขึ้น ด้วยทิฏฐิมานะถือตัวว่า ตัวเองเป็นผู้รู้ดี ฉลาดแหลมคมกว่าผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่า โมฆะบุรุษโดยแท้
.
ธรรมท่านสอนไว้ 👉 “ฝึกตนเองดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า”
.
ครั้งพุทธกาลมีพระโปฐิละ เรียนจบจำทรงพระไตรปิฏก เป็นคณาจารย์ใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าตรัสเรียก เป็นพระใบลานเปล่า ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน บวชมาไม่ทันไร ก็มาตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์ วางท่าสอนธรรมสูงส่งจรดเมฆ แต่ข้อวัตรปฏิบัติที่อยู่หลังฉากนั้น ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนน่าเป็นห่วง ชาวพุทธจงอย่าโง่หลงงมงายให้เขาจูงจมูก
.
การจรรโลงพระพุทธศาสนา จะไปมอบภารธุระตกแก่พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ หรือพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่ได้ เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททั้ง ๔ ต้องสามัคคีกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามฐานะของแต่ละคน
.
พระภิกษุ สามเณร ก็ต้องตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัย ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
.
อุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ศีล ๘ พร้อมทั้งอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรด้วยปัจจัย ๔ อันควรแก่สมณบริโภค อีกทั้งยังต้องปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมศาสนวัตถุต่าง ๆ วัดวาอาวาส ที่ชำรุดทรุดโทรมให้ดำรงอยู่ได้ พระพุทธศาสนาจึงจะสถิตวัฒนาสถาพรไปนานไกล
.
เมื่อใดที่พุทธศาสนิกชนไม่ใส่ใจอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด มิหนำซ้ำ ยังไปเหยียดหยามประณามผู้อื่น ด้วยอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง ศาสนาพุทธก็จักเสื่อมอยู่ภายในใจของผู้นั้นก่อน และจะเสื่อมไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลืออะไรเลยในคนผู้นั้น จนกว่าจะได้ทำการปฏิบัติแก้ไขให้ถูกต้องตามสมควรแก่พระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาจารย์เจ้าได้ทรงประทานโอวาทให้ไว้
.
ส่วนอายุของพระพุทธศาสนาทางภายนอกนั้น จะเสื่อมสลายไปในราว ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระบรมศาสดาจารย์เจ้าได้พยากรณ์เอาไว้ ด้วยจักเกิดอันตรธาน ๕ อย่าง คือ ปริยัติอันตรธาน ปฏิบัติอันตรธาน ปฏิเวธอันตรธาน ลิงคอันตรธาน และธาตุอันตรธาน ในที่สุด แสงสว่างแห่งธรรมก็จะหายไปจากโลกใบนี้ เหลือแต่ความมืดมนอนธการ
.
ดังนั้น ควรที่พุทธบริษัททั้ง ๔ จะพึงรักษาพระพุทธศาสนาภายในใจของตนไว้ให้จงดี อย่าปล่อยให้เสื่อมสลายไปทั้ง ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่ในปัจจุบันบัดนี้เลย
.
#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘_๐๕
โฆษณา