เมื่อวาน เวลา 05:04 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ชี้อนาคตแรงงาน ปี 2030 เทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนตำแหน่งงานกว่า 20%

World Economic Forum เผยรายงานจับตาอนาคตแรงงาน ระบุ 20% ของตำแหน่งงานทั่วโลกจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่ด้วยทักษะใหม่และระบบอัจฉริยะ ชี้ทักษะสำคัญกว่าตำแหน่ง เร่งรัฐ-เอกชนปรับตัวรับมือ
World Economic Forum (WEF) ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก Capgemini เผยรายงานฉบับล่าสุดเรื่อง Matching Talent to the Jobs of Tomorrow เตือนทั่วโลกเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานครั้งใหญ่ภายในปี 2030 จากอิทธิพลของเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
โดยระบุว่า มากกว่า 20% ของตำแหน่งงานทั่วโลกจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่ด้วยทักษะใหม่และระบบอัจฉริยะ ซึ่งจะพลิกโฉมระบบจ้างงาน การฝึกทักษะ และการเข้าถึงโอกาสทางอาชีพอย่างสิ้นเชิง
ทักษะสำคัญกว่าตำแหน่ง ระบบเก่าจับคู่งานพลาดเป้า
รายงานระบุว่า ระบบจัดหางานในปัจจุบันยังคงอิงกับ “ชื่อตำแหน่ง” หรือคำค้นหาทางเทคนิคแบบเดิม ซึ่งไม่สามารถสะท้อนทักษะที่แท้จริงของแรงงานได้ โดยเฉพาะ ทักษะที่ถ่ายโอนได้ (Transferable Skills) หรือศักยภาพในการเรียนรู้และปรับตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในยุคดิจิทัล
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างทักษะกับตำแหน่งงาน (Skills Mismatch) ซึ่งนำไปสู่การว่างงานที่ยาวนานและประสิทธิภาพขององค์กรลดลง รายงานชี้ว่า ประเทศที่ยังใช้ระบบแบบเดิมจะมีความเสี่ยงสูงในการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับบุคคลและเศรษฐกิจภาพรวม
ปฏิรูป “ข้อมูลแรงงาน” ให้พูดภาษาเดียวกัน
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่รายงานชี้ให้เห็น คือ การขาดภาษากลางในการอธิบายทักษะและงาน ซึ่งทำให้เกิดความสับสนและไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแรงงานระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทางออกคือการสร้าง “Taxonomy” หรือพจนานุกรมกลางของทักษะ โดยใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP) ในการวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่ทักษะจากเรซูเม่ ประกาศรับสมัครงาน และข้อมูลการเรียนรู้ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถสื่อสารและจับคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น
Blockchain-LLM ปลดล็อกทักษะ พาคนทำงานข้ามพรมแดน
ในยุคที่ข้อมูลคือสินทรัพย์ Blockchain จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้าง ความน่าเชื่อถือในใบรับรองและทักษะของผู้สมัคร โดยใช้ระบบ “Digital Credential” ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้แบบโปร่งใสและป้องกันการปลอมแปลง เพิ่มความเร็วในการจ้างงานโดยลดภาระการตรวจสอบเอกสารแบบแมนนวล
ขณะเดียวกัน โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models หรือ LLM) จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์บริบทของเรซูเม่และประสบการณ์ทำงาน เพื่อให้คำแนะนำงานที่เหมาะสมและเป็นส่วนตัวสำหรับแต่ละบุคคล เพิ่มศักยภาพในการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดนโดยไม่ติดข้อจำกัดด้านเอกสารหรือระบบราชการ
AI ปรับเส้นทางเรียนรู้ตามตลาดแรงงานแบบเรียลไทม์
รายงานยังเน้นย้ำถึงบทบาทของ แพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบ AI-powered ที่สามารถวิเคราะห์ทักษะเดิมของผู้ใช้งาน เป้าหมายอาชีพ และแนวโน้มตลาด เพื่อแนะนำหลักสูตรการเรียนรู้ที่เหมาะสม และปรับเส้นทางการเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแบบเรียลไทม์
แนวคิดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ “Reskilling Revolution” และ “Future of Jobs Initiative” ของ WEF ที่มุ่งเน้น การเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) เพื่อให้คนทำงานสามารถปรับตัวได้ต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และไม่หลุดออกจากระบบเศรษฐกิจ
จับมือภาครัฐ-เอกชน ปลดล็อกศักยภาพแรงงานโลก
รายงานของ WEF เน้นย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบแรงงานอัจฉริยะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชนในฐานะผู้จ้างงาน และภาคการศึกษาในฐานะผู้พัฒนาทักษะ
การออกแบบระบบจับคู่งานที่มีประสิทธิภาพต้อง คำนึงถึงบริบทเฉพาะของแต่ละประเทศ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล สภาพเศรษฐกิจ และระดับทักษะของแรงงาน โดยไม่ทิ้งกลุ่มเปราะบางไว้ข้างหลัง
สู่ตลาดแรงงานที่เป็นธรรม ยืดหยุ่น และพร้อมรับอนาคต
สุดท้าย รายงาน WEF ย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในการ ยกระดับตลาดแรงงานโลกให้เป็นธรรมและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเมื่อทักษะของคนทำงานสอดคล้องกับความต้องการจริงของตลาด จะช่วยลดการว่างงาน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างเศรษฐกิจที่มีส่วนร่วมและยั่งยืน
“อนาคตของการทำงานจะขึ้นอยู่กับการปลดล็อกศักยภาพมนุษย์ และเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ”
อ้างอิงข้อมูล World Economic Forum
โฆษณา