Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สงคราม story
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 04:32 • ประวัติศาสตร์
อุบลราชธานี
สมรภูมิสุดท้ายในชีวิต
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน บทความนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงนายทหารท่านหนึ่ง แม้ว่าท่านจะเกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้วแต่คุณงามความดีที่ท่านทำนี้จะไม่สูญเปล่า
ผู้เขียนเชื่อว่ามีหลายๆท่านรอติดตามเรื่องราวต่อไปนี้แล้ว เป็นเรื่องจริงจากบุคคลที่มีตัวตนจริงๆในสมรภูมิช่องบก แน่นอนว่าท่านนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพลตรี ประจักษ์ วิสุตกุล ซึ่งเป็นวีรบุรุษ 6 สมรภูมิที่หลายๆท่านคุ้นเคยกันดีนี่เองครับ เรื่องราวในสงครามช่องบกจะเป็นอย่างไรไปติดตามจากท่านได้เลยครับ
พลตรี ประจักษ์ วิสุตกุลได้เล่าให้ พลตรีศนิโรจน์ ธรรมยศ ว่าสงครามช่องบกเป็นสมรภูมิสุดท้าย ในชีวิตราชการทหารของท่าน หลังจากที่ท่านเคยไปรบที่ภูพานมาก่อน ต่อมาท่านได้มาเป็นผู้บังคับการกองกำลังทหารพราน กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นกองกำลังทหารพราน ชุดแรกที่จัดตั้งขึ้นในทุกกองทัพ
ในขณะนั้นท่านมียศเป็น พันเอก ท่านถูกมองว่าเป็นผู้ บังคับบัญชาของทหารพรานทั้งหมดในกองทัพภาคที่ 2 สำหรับทหารพรานเป็นกำลังกึ่งทหารและเป็นกองกำลังอาสาสมัครที่คัดเลือกมาจากชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีความชำนาญในภูมิประเทศและคุ้นเคยกับประชาชนในพื้นที่ โดยพวกเขาจะทำหน้าที่ลาดตระเวน ดูแลเส้นเขตชายแดน และช่วยแบ่งเบาภาระของทหารหลัก
สงครามช่องบกเกิดขึ้นเนื่องจากกองทัพเวียดนาม ซึ่งในขณะนั้นมีกำลังยิ่งใหญ่มาก โดยได้เคลื่อนกำลังรุกเข้ามายึดครองกัมพูชา และลาว หลังจากที่โค่นล้มเวียดนามใต้และอเมริกาได้สำเร็จในปีพ.ศ.2518
กองทัพเวียดนามได้ยิงปะทะกองกำลังเขมรแดงอย่างหนัก ทำให้ทั้งกำลังทหารและประชาชนเขมรแดงแตกกระเจิงหนีมาตามแนวชายแดนไทยเพื่อหลบซ่อนและตั้งฐานต่อต้านเวียดนามร่วมกับเรา
เราจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือเขมรแดง แม้ว่าประวัติของ เขมรแดงจะไม่ดีนัก เพราะเราไม่ต้องการให้เวียดนามรุกคืบเข้ามาประชิดชายแดนไทยมากเกินไป
ในที่สุดกองทัพเวียดนามก็ได้รุกเข้ามาในปี 2529 และเข้ายึดดินแดนที่เป็นเขตแดนไทย โดยเฉพาะในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พวกเขายึดเนินต่างๆ เช่น เนิน 408, 382, 500, 396 และดัดแปลงเป็นที่มั่นทางทหาร การรุกเข้ามาของเวียดนามนั้นลึกเข้ามาในเขตแดนไทยตั้งแต่ 1 กิโลเมตรขึ้นไปจนถึง 3 กิโลเมตร โดย ยึดทั้งยอดเนินในแนวที่ 2 และแนวที่ 3 ซึ่งอยู่ใกล้ พื้นราบ ฝ่ายไทยไม่ยอมเสียอธิปไตย ฉะนั้นกองทัพภาคที่ 2 จึงมีแผนป้องกันประเทศ และ ได้เริ่มแผนผลักดันทหารเวียดนาม
การเปิดศึกใหญ่เพื่อขับไล่เวียดนามเริ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2530 ตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์จนกลายเป็นที่รู้จักในภายหลังว่า "สงกรานต์เลือด" พลเอกอิสระพงษ์ หนุนภักดี ท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่ง ให้กำลังทั้งหมดเข้าโจมตีเพื่อขับไล่
กำลังเวียดนามให้ถอนตัวจากเนินต่างๆ ให้เร็วที่สุดตามหลักนิยม ก่อนที่ทหารบกจะเข้าตีที่มั่นแข็งแรงบนเนิน จะต้องมีการโจมตี ทางอากาศก่อน ตามด้วยการระดมยิงด้วยปืนใหญ่จำนวนมากเพื่อทำลายกำลังข้าศึก หลังจากนั้น กำลังทหารราบของ ฉก. ต่างๆ ได้ดาหน้าบุกขึ้นยึดตีเนิน อย่างไรก็ตาม ข้าศึกได้ยิงระห่ำอย่างหนักด้วยอาวุธหนักจากบนยอดเขา การเข้าตีระลอกแรกไม่สำเร็จ และมีกำลังพลบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ในระหว่างการเตรียมการรบทั้งสองฝ่ายก็มีการดวลปืนใหญ่กัน ฟากข้าศึกมีปืนใหญ่หลายชนิด รวมถึงอาวุธหนัก เช่น ปรส. และปืนค. ส่วนฝ่ายไทยเองก็ได้เตรียมด้วยสรรพกำลังอย่างขนานใหญ่ มีทั้งรถถัง หน่วยสุนัข K9 สำหรับตรวจหาทุ่นระเบิด หน่วยสรรพาวุธ กองพันสัตว์ต่าง และ กำลังทางอากาศจากกองทัพอากาศมีทั้งเครืองบินโจมตี OV-10 และเครื่องบินขับไล่ F-5 เข้าร่วมสนธิกำลังทิ้งไข่เล็กใส่เป้าหมาย ภาพที่เห็นเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากหนังสงครามเลยทีเดียว
หลังจากความสูญเสียครั้งใหญ่และสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ท่านแม่ทัพครุ่นคิดอย่างหนัก ท่านได้ลั่นวาจาต่อหน้าลูกน้องว่า "ถ้าพี่ทำงานนี้ ไล่มันไม่สำเร็จ พี่ขอลาออกจากแม่ทัพ" คำกล่าวนี้สร้างความรู้สึกไม่สบายใจแก่ลูกน้องของท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำที่อยู่เคียงข้างทหารตลอดเวลา และห่วงใยลูกน้องอย่างมาก ท่านมาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บด้วยตัวเอง
อีกทั้งกำชับให้ดูแลเรื่องสิทธิและสวัสดิการแก่กำลังพลที่บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และท่านยังแสดงความเป็นผู้นำที่ไม่ทอดทิ้งลูกน้องที่มีชีวิตหรือที่เป็นศพในสมรภูมิ โดยท่านได้ออกไปที่พื้นที่อันตรายซึ่งเต็มไปด้วยทุ่นระเบิด ด้วยตนเองเพื่อไปดูศพทหาร 3 นายที่เสียชีวิตจากกับดักทุ่นระเบิดตามที่ลูกน้องมารายงาน เมื่อเป็นเช่นนั้นลูกน้องคนนั้นไม่อยากให้นายตาย จึงติดตามไปเพื่อไม่ให้นายของตนถูกยิง
หลังจากการมาเยือนของผู้ใหญ่จากหน่วยเหนือ (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ : ผบ.ทบ.) ท่านแม่ทัพได้เรียกประชุมทันทีและประกาศว่า "เราต้องเปลี่ยนยุทธวิธีแล้ว เราจะไม่เข้าตีแบบเดิม เราจะใช้การ ทำงานหลังแนวข้าศึก โดยใช้ยุทธวิธีกองโจร "
ท่านสั่งให้ พลตรีประจักษ์ จัดตั้งค่ายฝึกประจักษ์ขึ้นทันทีที่ภูน้อย เพื่อฝึกหน่วยรบขนาดเล็กสำหรับทำงานหลังแนวข้าศึกการฝึกนี้เน้นหนักและใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์
พลตรี ประจักษ์ ซึ่งมีความชำนาญด้านนี้ท่านจึงได้ออกแบบสถานีฝึกต่างๆ เช่น การจู่โจมตีฉาบฉวย และปฏิบัติฉับพลัน แต่ที่สำคัญมาก คือการฝึกเรื่องทุ่นระเบิด เพราะพื้นที่ชายแดน เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดหลายชนิด รวมถึงสนามทุ่นระเบิด K5 ที่เวียดนามวางไว้ฉีกร่างกายทหารไทยเป็นจำนวนมาก การฝึกรวมถึงการเจาะแนวสนามทุ่นระเบิด การเก็บกู้ และการวางทุ่นระเบิด นอกจากนี้ยังฝึก เรื่องการเป็นผตน. (ผู้ตรวจการณ์หน้าและปรับการยิงปืนใหญ่)
การพยาบาลเบื้องต้น การซุ่มโจมตีทั้งกลางวันและกลางคืน การวางทุ่นระเบิดตามแหล่งน้ำเพื่อตัดการส่งกำลังบำรุง และยุทธวิธีในการถอนตัว สำหรับกำลังพลที่มาฝึกส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครและนายสิบจากหน่วยต่างๆ แต่ละชุดมีขนาดเล็กประมาณไม่เกิน 12 นาย
ภารกิจของชุดเล็กที่ผ่านการฝึกคือ การเข้าซุ่มโจมตี และวางทุ่นระเบิดตามเส้นทางส่งกำลังบำรุงของข้าศึกหลังแนวเพื่อเป็นการสร้างความกดดันต่อข้าศึกอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนั้นที่แนวหน้า ท่านแม่ทัพได้นำข้อ
เสนอแนะของ พลตรี ประจักษ์ มาใช้ ท่านสั่งให้ทำถนนขึ้นไปยังยอดเนินทุกเนินที่ทหารไทยยึดได้ โดยนำรถถัง และปืน ปรส. 105 มม.บนรถจี๊บ ขึ้นไปตั้งเตรียมพร้อมยิงบนเนิน โดยทหารเราทำการขุดเพื่อบุกบังเกอร์อย่างดี ท่ามกลางสมรภูมิเดือดกำลังพลในแนวหน้ายังขุดบังเกอร์และคืบเข้าใกล้ข้าศึกทุกคืน
ท่านแม่ทัพสั่งให้เข้ายึดเนินที่ข้าศึกถอนไปทั้งหมด
เพื่อให้ชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาดของไทย
หากชนะฝ่ายไทยจะได้ปักธงบนทุกเนินที่ยึดได้และท่านจะขึ้นไปเยี่ยมทหารบนเนินต่างๆด้วยตนเอง
ท่านสั่งให้เสริมความแข็งแรงของพื้นที่เพื่อไม่ให้ข้าศึกกลับมายึดคืนได้อีก
การกดดันอย่างหนักในแนวหน้า ด้วยอาวุธหนักที่ได้เปรียบจากที่สูง และ บนที่ราบด้วยการก่อกวนของชุดเล็กจากฝ่ายเรา ทำให้สถานการณ์พลิกผัน ฝ่ายข้าศึกไม่สามารถยิงโต้ตอบได้มากกว่าเดิม จะยิงปะทะยิ่งเป็นไปได้ยาก การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งปืนใหญ่และรถถังยิงใส่ทหารเวียดนามตู้มต้ามสนั่นป่า ไม่ต่างอะไรกับเราดูหนังสงคราม ส่วนทหารไทยก็ขุดมาถึงบังเกอร์มาจ๊ะเอ๋จัดการกับทหารเวียดนามทันทีทันใด เสียงปืน M16 หรือปืนอาก้าดังปะปนกันมั่วซั่วจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร "วี้ดๆๆๆๆๆ บึ้มๆๆๆๆๆๆๆ!" เสียงระเบิดดังกึกก้องทำฝูงนกบินหนีราวกับผึ้งแตกรัง เมื่อไปไม่เป็นทหารข้าศึกก็วิ่งหนีการเอาคืนจากทหารไทยกันจ้าละหวั่น เมื่อนั้นเสียงปืนและเสียงระเบิดก็เงียบสงัด
ในที่สุดชัยชนะก็ตกเป็นของฝั่งไทย
พลตรี ประจักษ์ รู้สึกดีใจที่สมรภูมิครั้งนี้ ซึ่งเป็นศึกสุดท้ายของท่าน ท่านมีบทบาทในการช่วยเปลี่ยนสถานการณ์นำไปสู่ชัยชนะได้
สมรภูมิช่องบกเป็นสมรภูมิที่ไทยรบกับเวียดนามเป็นครั้งสุดท้าย พลตรีประจักษ์ ได้กล่าวถึงทหารที่เสียชีวิตในสงครามนี้ จำนวนมากว่าเป็น วีรบุรุษของคนไทยผู้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย และท่านเรียกร้องให้ลูก หลานสำนึกบุญคุณและช่วยกันรักษาบ้านเมืองต่อไปหลังจากหมดสิ้นรุ่นท่าน
Credit บทความและภาพประกอบ
พลตรีศนิโรจน์ ธรรมยศ
โคตรทหาร
Military Weapons อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร
เรืออากาศตรี รัชต์ รัตนวิจารณ์
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย