เมื่อวาน เวลา 04:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ

1 ล้านเหรียญแรก ของมังเกอร์ นักลงทุนตำนานของโลก ต้องรอถึงวัย 40 ปี

เวลาพูดถึงความสำเร็จในปัจจุบัน หลายคนมักคิดว่าต้องรวยเร็ว ต้องสร้างชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ตั้งแต่อายุยังน้อย
แต่เรื่องราวของชาร์ลี มังเกอร์ หนึ่งในนักลงทุนระดับตำนาน คู่หูคนสำคัญของวอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกเล่าอีกมุมที่แตกต่างออกไป
รู้ไหมว่า ชาร์ลี มังเกอร์ ต้องรอจนถึงอายุ 40 กว่าปี ถึงจะทำเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐแรกได้ ในช่วงกลางทศวรรษ 1960
และก็ไม่ใช่จากการลงทุนหุ้น แต่มาจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งหากปรับด้วยเงินเฟ้อแล้ว เงินจำนวนนี้ เทียบกับช่วงอายุเดียวกันของมหาเศรษฐีหลายคนในสหรัฐอเมริกา ที่ทำเงินจำนวนมากได้ตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ หรือปลาย ๆ ก็อาจดูช้าไปเลย
แม้จะดูช้า แต่ความมั่งคั่งของชาร์ลี มังเกอร์ ก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง และเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในช่วงบั้นปลายชีวิต
จนก่อนเขาจะจากโลกนี้ไป ทรัพย์สินสุทธิของเขา ก็อยู่ที่ 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 90,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
เรื่องราว 1 ล้านแรกของชาร์ลี มังเกอร์ เป็นอย่างไร
และเราสามารถเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ชาร์ลี มังเกอร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1924 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลาง
 
เขาได้เรียนปริญญาตรีที่ University of Michigan ในสาขาคณิตศาสตร์
แต่ระหว่างเรียน สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น จึงต้องพักการเรียนไป เนื่องจากถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพ ตำแหน่งนักอุตุนิยมวิทยา
พอสงครามจบลง เขาตัดสินใจเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้รับปริญญาด้านกฎหมายในปี 1948
หลังจากจบการศึกษา ชาร์ลี มังเกอร์ เริ่มต้นทำงานเป็นทนายความในลอสแอนเจลิส
ซึ่งระหว่างที่ทำงานสายกฎหมาย ชาร์ลี มังเกอร์ ก็มีการเริ่มต้นทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย
ราวปี 1960 เขาสังเกตว่า แถบเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงมีคนกำลังย้ายถิ่นฐานมายังเมืองลอสแอนเจลิสจำนวนมาก
นั่นแปลว่า มันจะตามมาด้วยความต้องการที่พักอาศัยและที่ดิน ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนรอบตัวเขา ก็มีความมั่งคั่งขึ้นมาได้ด้วยการเป็นผู้พัฒนาที่ดิน
ประกอบกับชาร์ลี มังเกอร์ ได้มารู้จักกับโอทิส บูท ทายาทของตระกูลใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย จากงานกฎหมายที่เขาทำ
ในเวลานั้น เมื่อคุณปู่ของโอทิส บูท เสียชีวิตลง เขาจึงมาขอคำปรึกษาเรื่องการจัดการมรดกที่ดิน จากชาร์ลี มังเกอร์
แต่แทนที่ ชาร์ลี มังเกอร์ จะมองแค่เรื่องการแบ่งมรดกแบบทนายทั่วไป เขากลับมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่
เขาแนะนำให้โอทิส บูท ควรหาวิธีพัฒนาที่ดินเพื่อเพิ่มมูลค่าในอนาคต แทนที่จะรีบขายที่ดินออกไป เพื่อแบ่งเงินมรดก
ซึ่งโอทิส บูทเอง ก็เล็งเห็นถึงสายตาอันเฉียบคมของชาร์ลี มังเกอร์ ทั้งคู่จึงร่วมกันทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในย่าน Pasadena และเมืองใกล้เคียง
โดยกลยุทธ์ที่ใช้ คือจะมองหาทำเลที่มีศักยภาพ
ที่ยังไม่โดดเด่น แต่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต เพื่อนำมาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย
ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า
ช่วงแรก ทั้งสองสามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ โดยใส่เงินลงไป 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ และได้กลับมา 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นกำไร +400%
อย่างไรก็ตาม พอได้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไปสักระยะหนึ่ง..
ชาร์ลี มังเกอร์ มองว่า การที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะทำเงินมากขึ้น ขนาดโครงการต้องใหญ่ขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้เงินทุนที่ใหญ่ขึ้นตาม โดยเฉพาะต้องกู้ยืมหนี้มากขึ้น เป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาไม่รู้จบ
1
ซึ่งตัวเขาเผยว่า ส่วนตัวไม่ชอบการต้องขอกู้ยืมเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ ชาร์ลี มังเกอร์ มีส่วนในการพัฒนาโครงการทั้งหมด 5 โครงการ โดยโครงการสุดท้ายมีชื่อว่า The Huntington Granada ซึ่งทุกโครงการประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก
หลังจากที่คลุกคลีกับอสังหาริมทรัพย์
และหลังสิ้นสุดโครงการสุดท้าย ชาร์ลี มังเกอร์ ก็สามารถทำเงินได้ราว 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางทศวรรษ 1960
โดยหลังปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว จะมีมูลค่าประมาณ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 500 ล้านบาท
นับเป็นเงินล้านดอลลาร์สหรัฐแรกของเขา ที่ทำได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในวัยกว่า 40 ปี
และถือเป็นเม็ดเงินเริ่มต้น ที่ช่วยให้เขาปูทางสู่ความสำเร็จด้านการลงทุนของเขาหลังจากนั้น
ตามคำแนะนำของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เปลี่ยนอาชีพจากนักกฎหมาย และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นนักลงทุนในหุ้นเต็มตัว
กลายเป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือของทั้งสองคน ที่สร้างอาณาจักร Berkshire Hathaway ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้
1
ซึ่งชาร์ลี มังเกอร์ เป็นทั้งเพื่อน เป็นหุ้นส่วน และเป็นคู่คิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยาวนานเกือบ 60 ปี
ก่อนที่ชาร์ลี มังเกอร์ จะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2023 ในวัย 99 ปี..
และความมั่งคั่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ 90,000 ล้านบาท
ถึงตรงนี้ แล้วเราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?
เส้นทางสู่ล้านแรกของ ชาร์ลี มังเกอร์ ไม่ได้เริ่มจากการทำเงินอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าต้องรอจนเลยวัย 40 ปีมาแล้ว
ถึงจะทำเงินล้านแรกได้ แต่ก็เป็นผลจากการตัดสินใจที่มีวิสัยทัศน์ และการทำงานหนักตลอดเวลา
โดยไม่ได้มองแค่ผลกำไรในระยะสั้น แต่มองไปยังมูลค่าที่จะเกิดขึ้นในอนาคตระยะยาว ในขณะที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้ามไป โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ รอให้มูลค่านั้นค่อย ๆ ออกดอกออกผลและปรากฏขึ้นมา..
โฆษณา