Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คาลอส บุญสุภา
•
ติดตาม
3 พ.ค. เวลา 10:41 • ธุรกิจ
จากเส้นทางเครื่องเทศถึงทางด่วนดิจิทัล: เจาะดีเอ็นเอจูกาต (Jugaad) และโอกาสธุรกิจยุคใหม่ในอินเดีย
ประวัติศาสตร์อินเดีย และเรื่องราวของคนอินเดียเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมเสมอมา รวมไปถึงอารยธรรมอินเดียทั้งพิธีกรรม อาหาร ศาสนา ก็เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการขับเคลื่อนผู้คนบนโลกใบนี้ ระหว่างที่ผมกำลังศึกษาแนวคิดต่าง ๆ เพื่อเขียนบทความทั้งเรื่องศาสนา และโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในประเทศอินเดีย ผมเจอคำว่าที่น่าสนใจอย่างมากมันเรียกว่า "จูกาต" หรือเรียกว่า Jugaad
จูกาต เป็นคำสแลงภาษาฮินดี ปัญจาบีที่หมายถึง การแก้ปัญหาเชิงพลิกแพลงด้วยทรัพยากรน้อยที่สุดดัดแปลง ซ่อมแซม หรือประยุกต์สิ่งที่มีอยู่ให้ทำงานได้แบบ “เอาตัวรอด รวดเร็ว ประหยัด และสร้างสรรค์" คำนี้จึงมักใช้บรรยายทัศนคติผู้ประกอบการอินเดียที่กล้าลองก่อน ปรับทีหลัง เปลี่ยนข้อจำกัดเป็นโอกาส จนกลายเป็นดีเอ็นเอสำคัญของนวัตกรรมต้นทุนต่ำในประเทศ
แน่นอนแนวคิดนี้ไม่ใช้แนวคิดที่เหมาะนำไปปรับใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ในบริบททั่วไป แต่ในบริบทที่สิ่งต่าง ๆ เร่งรีบ มีข้อจำกัดหลากหลายอย่างเช่นยุคสมัยนี้ (ในบางบริบท) อาจเหมาะสมอย่างมาก ประเทศอินเดียเช่นเดียวกันที่ประกอบไปด้วยอภิมหาข้อจำกัด จูกาตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้
พิจารณาจากประวัติศาสตร์อินเดีย เริ่มต้นจากอารยธรรมลุ่มสินธุที่วางราก “มาตรฐานชั่ง ตวง วัด” ให้โลกแห่งการค้าตั้งแต่ 3,000 ปีก่อน คริสตกาลผ่านยุค อาณาจักรมอริยะ ที่เปิดเส้นทางสายไหมภาคพื้นดินสู่เมดิเตอร์เรเนียน และ คุชราต-เบงกอล ที่หลอมผ้าฝ้ายบางเฉียบส่งไกลถึงเวนิส อินเดียนั่งในวงแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทวีปมานานกว่าประเทศอุตสาหกรรมใด จักรวรรดิโมกุลศตวรรษ 16 - 17 ผลักดันการปลูกเครื่องเทศ ไหม และอัญมณี จนสุลต่านสร้างแผนกสินค้าต่างแดนเพื่อรับภาษีการค้าไว้อย่างมหาศาล
ต่อมาบริษัทอินเดียตะวันออกสวมรอยพ่อค้าผูกขาดฝิ่น ชา แม้เป็นยุคอาณานิคมที่เจ็บปวด แต่ก็ทิ้งโครงข่ายรถไฟ 65,000 กิโลเมตร การเดินเรือน้ำลึกกัลกัตตา มุมไบ และระบบศาลอังกฤษซึ่งปูหนทางให้ กฎหมายสากลกลายเป็นภาษาธุรกิจของอินเดียยุคใหม่
หลังประกาศอิสรภาพ 1947 อินเดียวิ่งเข้ายุคอุตสาหกรรมแบบรัฐพึ่งตน โรงเหล็กบ็อกการ์ เขื่อนภารวตี สถาบัน IIT ก่อนเผชิญวิกฤตเงินตรา 1991 จนต้องหั่นภาษีนำเข้าจาก 300% เหลือไม่ถึง 30% และเปิดทางให้ทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 51%
แต่ไม่นานเสรีภาพทางธุรกิจระเบิดพลังไอทีที่บูมขึ้นมาในบังกาลอร์และไฮเดอราบัดช่วง 2000 ตามมาด้วย ภารกิจอวกาศ ISRO ที่ยิงจรวดราคาต่ำสุดต่อโลก การปฏิวัติโทรศัพท์มือถือ 4 จีที่ทำค่าอินเทอร์เน็ตถูกที่สุดในโลก และแพลตฟอร์มชำระเงิน UPI ที่มีทรานแซกชันเกิน 10 พันล้านครั้งต่อเดือน
ทั้งหมดนี้คือเส้นทางกว่าห้าพันปีที่พาอินเดียจากท่าเรือเครื่องเทศสู่ “อภิมหาเมกามาร์เก็ตดิจิทัล" และทุกก้าวล้วนฝากร่องรอยระบบโลจิสติกส์ การเงิน และการศึกษาไว้ให้ธุรกิจรุ่นต่อไปก้าวขึ้นตามทันที แม้จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ผมสรุปแบบหยาบ ๆ แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ให้ผู้อ่านทุกท่านเห็นแรงกระเพื่อมจากประวัติศาสตร์ที่ส่งผลให้ภาคธุรกิจสมัยใหม่แข็งแรงในหลายแนวรบ
กลุ่มบริษัทรากฐานเก่าแก่อย่าง Tata Group และ Reliance Industries ครองพลังงาน โลหะ ไอที และค้าปลีก ในขณะที่ Infosys และ TCS ย้ำสถานะศูนย์กลางบริการไอทีโลกมูลค่า 245 พันล้านดอลลาร์ ภาคยาชีวภาพถือส่วนแบ่ง 20% ของยาสามัญโลก และกำลังผงาดสู่เทคโนโลยีวัคซีน ส่วนคลื่นใหม่ ๆ อย่าง Flipkart, BYJU’s, OYO และอื่น ๆ ต่างดันให้อินเดียมียูนิคอร์นแล้วกว่า 110 ตัว ส่งให้อินเดียเป็นระบบสตาร์ทอัปใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
แต่ใครกันล่ะที่ผลักดันธุรกิจเหล่านี้จนเจริญรุ่งเรือง คำตอบก็คือ "บุคคล" ผมจึงศึกษาความโดดเด่นของชาวอินเดียเพิ่มเติมจึงพบว่า ชาวอินเดียหรือเชื้อสายอินเดียเป็นซีอีโอบริษัทข้ามชาติระดับ Fortune 100 จำนวนมาก
ตั้งแต่ ซุนดาร์ พิชัย (Google) สัตยา นาเดลลา (Microsoft) จนถึง อจัย บังกา (World Bank) การกระจายตัวนี้สะท้อนบุคลิกอึด ถึก ทน สู้ไม่ถอยที่เรียกกันว่าจูกาต (Jugaad) โดยการพลิกข้อจำกัดให้เป็นนวัตกรรมอย่างประหยัดและรวดเร็ว อีกทั้งยังมีงานวิจัยืที่ชี้ว่าความสามารถ “ด้น ดัด ประสาน” นี้เป็นตัวเร่งให้สตาร์ทอัปอินเดียแก้ปัญหาด้วยต้นทุนต่ำและขยายสู่ตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว
แนวคิดด้นสด ประหยัด และพลิกข้อจำกัดให้เป็นโอกาส (จูกาต) ยังคงเหนียวแน่นในคนรุ่นดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรวัยยี่สิบที่ใช้โทรศัพท์พื้นฐานรีฟันด์บั๊กแอป ก่อนปั้นสตาร์ทอัปฟินเทกท์มูลค่าหมื่นล้าน หรือเกษตรกรที่ประยุกต์เซ็นเซอร์ราคาถูกกับแพลตฟอร์ม UPI เพื่อลดค่าใช้จ่ายซัพพลายเชน จากรายงาน India’s
Entrepreneurial Awakening (2024) ระบุชัดว่า 80% ของผู้ก่อตั้งยูนิคอร์นอินเดียยังก้าวแรกแบบ “ลองเล็ก แต่ปรับเร็ว” สะท้อนว่าความขาดแคลนในบ้านเกิดไม่ได้ทำให้พวกเขาชะงัก แต่กลับหล่อหลอมให้กล้าเสี่ยงโดยใช้ต้นทุนต่ำสุด
คุณภาพเดียวกันนี้ปรากฏในชาวอินเดียกว่า 18 ล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่สิงคโปร์ไปจนถึงซิลิคอนแวลลีย์ พวกเขาแบกภาระดูแลครอบครัวทางบ้าน ขณะเดียวกันต้องต่อสู้กับกำแพงภาษา วัฒนธรรม และการแข่งขันสุดโหดในต่างแดน
นักวิจัยด้านแรงงานอพยพพบว่า ภาระสองโลกนี้บ่ม “ทักษะยืดหยุ่นสูง” และ “แรงผลักดันเกินค่าเฉลี่ย” ให้กับคนอินเดียรุ่นแรก จนนำไปสู่สัดส่วนซีอีโอเชื้อสายอินเดียในบริษัท Fortune 500 ที่สูงลิ่ว เมื่อถูกถามเคล็ดลับความสำเร็จครั้งหนึ่ง ซุนดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) เคยตอบสั้น ๆ ว่า “ขาดทุนทรัพย์เป็นครูให้เราคิดนอกกรอบเร็วกว่าคนอื่น” นี้แหละคือประโยคที่สะท้อนดีเอ็นเอจูกาตในเวอร์ชันสากลอย่างเฉียบคม
เมื่อรวมตลาดผู้บริโภค 1.4 พันล้านคน สตาร์ทอัปกว่า 100 ยูนิคอร์น และแรงขับดิบ ๆ แบบจูกาตเข้าด้วยกัน อินเดียจึงไม่ได้เป็นแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือห้องทดลองขนาดยักษ์สำหรับโมเดลนวัตกรรมต้นทุนต่ำแห่งอนาคต อย่างที่ผมได้กล่าวเอาไว้คอนเซ็ปจูกาตไม่ได้เหมาะในทุกบริบท แต่ปัจจุบันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 ดีไม่ดีจูกาตนี้แหละอาจจะเป็นโมเดลสำคัญที่เหมาะนำมาประยุกต์ใช้อย่างยิ่ง
ใครที่มองว่าผลิตภัณฑ์ต้องเพรียบพร้อมจึงค่อยเปิดตัว อาจตามไม่ทันจังหวะของโลกใบนี้ ไม่แน่ในอนาคตความไม่สมบูรณ์แบบอาจไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นเชื้อไฟให้พวกเราลุกโชนและขยายได้รวดเร็ว เหมือนกับที่อินเดียก้าวขึ้นมาด้วยการพลิกแพลงทรัพยากรน้อยที่สุดให้กลายมาเป็นบทสรุปอันน่าเหลือเชื่อในปัจจุบัน
รากฐานที่สำคัญนอกจากปัจจัยทางวัฒนธรรม การต่อสู้ และปัจจัยส่วนบุคคล ยังมีปัจจัยด้านการศึกษาที่ตอกย้ำโอกาสทางธุรกิจ ระบบการศึกษาที่ให้คุณค่ากับ STEM (ย่อมาจาก Science, Technology, Engineering and Mathematics คือ การบูรณาการความรู้ระหว่าง 4 สาขาวิชา ซึ่งได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) สูงและผลิตวิศวกร 1.5 ล้านคนต่อปี ทักษะภาษาอังกฤษและเครือข่ายพลัดถิ่นขนาด 18 ล้านคน ซึ่งเป็นสะพานสู่เงินทุนและตลาดใหม่
ระบบการศึกษาของอินเดียผสานคุณภาพและปริมาณได้อย่างไม่ธรรมดา สนามแข่งขันเริ่มที่การสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ระดับชาติ (JEE) ซึ่งมีผู้สมัครกว่า 1.4 ล้านคนต่อปีเพื่อชิงที่นั่งเพียงไม่กี่หมื่นในสถาบันชั้นนำอย่าง IIT และ NIT ที่มีการคัดกรองสุดโหด ทำให้บัณฑิตกลุ่มหัวกะทิได้รับการขนานนามว่า “เครื่องยนต์ซิลิคอนแวลลีย์” ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนกว่า 4,000 แห่งก็ผลิตวิศวกรเพิ่มอีกราว 1.5 ล้านคนต่อปีในสาขา AI ข้อมูล ชีวการแพทย์ และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบันและอนาคต
ที่สำคัญคือต้นทุนค่าเล่าเรียนต่ำกว่าตะวันตกหลายเท่าแต่มีความเข้มข้นด้านทฤษฎีคณิต ฟิสิกส์ ทำให้องค์กรระดับโลกมองอินเดียเป็นดั่งเหมืองความสามารถที่คุ้มค่าที่สุดแห่งหนึ่ง ไม่เพียงแค่การสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ประถม ที่ดันกลายเป็นมรดกยุคอาณานิคมที่กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบ ช่วยให้วิศวกรอินเดียกระโดดเข้าสู่ตลาดเทคโนโลยีสากลโดยแทบไม่ต้องปรับตัวด้านภาษา เพิ่มพลังให้เครือข่ายพลัดถิ่น 18 ล้านคนกลายเป็นท่อส่งโอกาส เงินทุน และเมนเทอร์มากความสามารถกลับสู่บ้านเกิด
สุดท้ายปัจจัยรัฐบาลของ นเรนทรา ดาโมดาร์ดาส โมที (Narendra Damodardas Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดียตั้งแต่ปี 2014 ที่กดคันเร่งยกระดับระบบศึกษาอย่างต่อเนื่อง นโยบาย Digital India ปูโครงข่ายบรอดแบนด์ราคาถูกถึงหมู่บ้าน ทำให้แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ SWAYAM และ DIKSHA เข้าถึงผู้เรียนนับร้อยล้าน
ขณะที่ Startup India จับมือสถาบัน IIT-IIM เปิด “Incubation Cell” ในแคมปัสเพื่อเชื่อมงานวิจัยกับแหล่งทุน VC โดยตรง อีกทั้ง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยต่างชาติ 2023 ยังเปิดทางให้สถาบันท็อป QS ตั้งวิทยาเขตในอินเดีย พร้อมอนุญาต EdTech ต่างชาติถือหุ้นเกิน 50% ในธุรกิจฝึกอบรม STEM อีกต่างหากผลลัพธ์คือสายพานสร้างคนเก่งตั้งแต่หมู่บ้านถึงซูเปอร์แคมปัสที่เชื่อมไร้รอยต่อกับอุตสาหกรรมและตลาดโลก
ทั้งหมดกลายเป็นจุดเด่นทั้งทางด้านปริมาณ คุณภาพ ต้นทุน และภาษา เป็นองค์ประกอบธาตุที่ผนึกกันเป็นฐานกำลังทุนมนุษย์ที่ทำให้อินเดียพร้อมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและจุดหมายการลงทุนด้านเทคโนโลยีในทศวรรษหน้า
ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงกำลังเร่งเครื่องสู่ทศวรรษแห่งโอกาส เสาหลักสามต้น ประชากรวัยทำงานมหาศาล โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลครบวงจร และดีเอ็นเอแบบจูกาตที่กล้าลองก่อนพร้อมแก้ทีหลัง กำลังประสานกันอย่างแม่นยำ ระบบ UPI ชำระเงินได้ทันทีจากมือถือราคาไม่ถึง 30 ดอลลาร์
ขณะเดียวกัน Aadhaar ยืนยันตัวตนดิจิทัลให้ประชาชนกว่า 1 พันล้านคน แม้ถนนหนทางอิฐซีเมนต์อาจยังไม่สมบูรณ์ แต่ไฮเวย์ข้อมูลสามารถเชื่อมหมู่บ้านห่างไกลเข้ากับตลาดโลกแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือห้องทดลองขนาด 1.4 พันล้านคนซึ่งสตาร์ทอัปใช้ทดสอบทุกอย่างตั้งแต่เทเลเมดิซิน ฟินเทคจุลภาค ไปจนถึงเซนเซอร์ IoT สำหรับเกษตรกรรมอัจฉริยะ และพัฒนาให้สเกลออกสู่ภูมิภาคอื่นได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อถามว่าตลาดถัดไปอยู่ที่ไหน "อินเดียคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด" เพราะมันคือที่ที่ผู้คนนับล้านยังไม่เคยได้ลองสิ่งที่เราจะสร้าง ที่นี่ความไม่สมบูรณ์แบบไม่ใช่กำแพงแต่มันคือผืนผ้าใบกว้างใหญ่ให้ทุกธุรกิจได้วาดเส้นแรก แล้วให้ชุมชนผู้ใช้เติมสีสันและขยายเส้นขอบจนเราไม่อาจคาดเดาได้ตั้งแต่แรกเริ่ม จึงไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่า ใครก็ตามที่กำลังมองหาพื้นที่ซึ่ง ปัญหาใหญ่ผสมกับจินตนาการไร้ขอบ รวมตัวกันเป็นเชื้อเพลิงสว่างไสว
อินเดียจึงเป็นจุดนัดพบแห่งทศวรรษนี้ ลงมือวางหมุดแรกวันนี้ แล้วปล่อยให้แสงแห่งโอกาสมหาศาลของดินแดนนี้ฉายเส้นทางใหม่ให้ธุรกิจและความฝันของของมนุษย์ในปัจจุบันและอนาคต
อ้างอิง
Dittmar, H., Bond, R., Hurst, M., & Kasser, T. (2014). The relationship between materialism and personal well-being: A meta-analysis. Personality and Social Psychology Review, 18, 199–229.
nternational Monetary Fund. (2025). India: 2024 Article IV consultation—Staff report (Country Report No. 25/001).
Reuters. (2025). IMF cuts India’s growth forecast amid tariff uncertainty.
https://www.reuters.com/world/india/imf-cuts-indias-growth-forecast-amid-tariff-uncertainty-2025-04-22/
Startup India. (2024). Indian startup ecosystem: Quick facts.
https://www.startupindia.gov.in
Upadhyay, P. (2021). The struggles of a first-generation immigrant. Forbes.
https://www.forbes.com/sites/forbeseq/2021/12/20/the-struggles-of-a-first-generation-immigrant/?utm_source=chatgpt.com
ธุรกิจ
เศรษฐกิจ
missiontothemoon
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย