3 พ.ค. เวลา 19:16 • การศึกษา

“ความบริสุทธิ์เพราะน้ำ.. ไม่มี..” repost

สมัยหนึ่ง ฤดูหนาวหิมะตก.. อุณหภูมิอากาศเย็นจัด..
พระพุทธเจ้าเห็นหมู่ชฎิลจำนวนมากลงอาบน้ำในแม่น้ำที่เย็นยะเยือก..
ชฎิล คือ นักบวชนอกศาสนาพุทธ หรือไม่มีศาสนาที่นิยมไว้ผมยาว.. เกล้าเป็นเซิง.. รกรุงรัง เหมือนพุ่มไม้..
บ้างดำผุด ดำว่าย.. บ้างวักน้ำขึ้นลูบหน้า ล้างตัว.. บ้างนั่งบูชาไฟ..
ด้วยชฎิลเหล่านั้น มีความเชื่อว่า.. ความบริสุทธิ์ของจิตของกาย จะเกิดจากการทนอาบน้ำเย็นในฤดูหนาว.. และการบูชาไฟ..
พระพุทธเจ้าทรงอุทานว่า..
“ความบริสุทธิ์เพราะน้ำ ในแม่น้ำที่คนเป็นอันมากอาบนั้น.. ย่อมไม่มี..
ผู้ใด มีสัจจะ มีธรรมะ.. ผู้นั้นเป็นผู้สะอาด เป็นพราหมณ์..”
แปลว่า ความบริสุทธิ์ของใจนั้น ต้องเกิดจากการกระทำที่ถูกต้อง..
คนที่ทำสิ่งอันเป็นปัจจัยให้เกิดความบริสุทธิ์ที่ชอบ.. ย่อมเป็นผู้สะอาด ดั่งพราหมณ์ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์..
ท่านเปรียบเทียบกับความเชื่อนะครับ.. ไม่ได้บอกว่า..สถานะความเป็นพราหมณ์ในยุคนั้น จะนำมาซึ่งความบริสุทธิ์เพราะความเป็นพราหมณ์..
คำอุทานของพระพุทธเจ้า สอนเราด้วยว่า..
ความหลงผิดเพราะความไม่รู้ เพราะอวิชชา.. จึงกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง.. และจะนำมาซึ่งผลที่ถูกต้องไม่ได้..
การอาบน้ำในแม่น้ำที่คนอาบกันมาก.. เพราะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม หรือของน้ำนั้น..
ไม่ได้ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ หรือเกิดความเป็นมงคลตามความเชื่อ..
นอกจากจะเกิดผลเสีย คือ ไม่เกิดความดีงามใดๆแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยจากติดเชื้อโรคในแม่น้ำด้วย..
“ความเชื่อแบบผิดๆที่.. ทำสิ่งนั้น.. คิดสิ่งนี้.. ถือห้ามสิ่งโน้นแล้ว.. จะเป็นบุญ เป็นบาป..
ทำอย่างนั้นแล้ว.. จะทำให้เกิดสมาธิ.. เกิดสติ.. เกิดญาน.. ทำให้บรรลุธรรมได้ว่า..
ความเชื่อผิดๆแบบนี้ เราเรียกว่า.. มิจฉาทิฐิ หรือสีลัพพตปรามาก็ได้..”
ตัวอย่าง.. มิจฉาทิฐิ หรือสีลพพตปรามาส.. เช่น..
ไปขอหวยกับตอไม้.. ไปขอโชคลาภ กับพระพุทธรูป.. ไปบวงสรวงพญานาคจังหวัดนี้..
ไปขอความหายโรค ต้องไปขอเทพเจ้าที่โรงเจนี้.. หรือหลวงพ่อวัดนั้น..
ถ้าจะขอลูก ต้องไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอจากรูปปั้นเทวดาตรงนี้.. ต้องไปขอท้าวเวสสุวรรณที่วัดนั้น..
ถ้าจะขอความเจริญในหน้าที่การงาน ต้องไปกราบขอพระพุทธรูปที่โบสถ์นั้น.. แล้วลอดท้องช้างพระอิศวรที่วัดนี้..
ถ้าต้องการเนื้อคู่ ต้องบูชาเทพองค์นี้ ณ เทวาลัยนั้น..
ถ้าดวงไม่ดี ต้องไปทำพิธีวัดนี้.. ต้องไปกราบขอพร จุดธูปเทียนดำถวายพระราหูวัดนั้น..
ในทางตรงข้าม.. การคิดชอบ คิดถูก ทำถูกตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้าพุทธ.. เราเรียกว่า.. “สัมมาทิฐิ”..
ท่านสอนให้ ละชั่ว ทำดี.. ให้เชื่อหลักกรรม.. ให้มีที่พึ่ง ที่นอบน้อม เคารพสูงสุดคือ พระรัตนตรัยเท่านั้น..
ไม่เคยสอนว่า.. รูปปั้นรูปหล่อพระพุทธรูปตามวัด.. เทพเทวดา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีไว้ร้องขอสิ่งดีและปัดเป่าความชั่วร้ายได้..
 
ท่านให้ยึดที่ธรรม.. ไม่ใช่ที่วัตถุ..
การปัดเป่าความชั่วร้าย ก็ต้องเป็นอำนาจสัจจะและความจริง และความบริสุทธิ์ของพระรัตนตรัยในพระปริตรเท่านั้น..
ก่อนอื่น เราต้องรู้ตัวว่า เราคิดผิดทำผิดเสียก่อน.. เปลี่ยนที่ความคิดให้ถูก.. การกระทำชอบ ก็จะตามมา..
สัมมาทิฐิ.. เป็นบัญญัติข้อแรกที่สำคัญที่สุดใน มรรค 8 ประการ.. ทำให้เราเดินอยู่บนเส้นทางมรรค..
สัมมาสมาธิ.. เป็นมรรคข้อสุดท้ายนะครับ. ไม่ใช่ข้อแรก..
การฝึกสมาธิเป็นมรรคข้อท้ายสุด.. จึงควรทำสมาธิอย่างจริงจัง ให้ถึงณาน หลังจากผ่านมรรคข้อ 1 - 7 ก่อน..
สัมมาทิฐิ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นก้าวแรก.. เป็นการเริ่มต้นปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุถึงความหลุดพ้น..
สัมมาทิฐิ จำเป็นต้องมี ต้องเกิด.. เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งสำหรับบุคคลที่ต้องการจะบรรลุธรรมชั้นต้น เป็นพระโสดาบัน..
ถ้ายังเคารพนอบน้อมผิด.. บูชาผิด.. กระทำผิด.. มีความเชื่อผิดๆ.. ก็ยากที่จะเจริญในธรรมเพื่อความหลุดพ้น..
“ทิฐิ ความคิดเห็นนั้น.. มีที่อยู่ที่เดียวเท่านั้น..
ถ้าเรามีมิจฉาทิฐิ.. ยังมีสีลัพพตปรามาส.. สัมมาทิฐิย่อมไม่มี..
สัมมาทิฐิ ความคิดเห็นชอบตรงเกิดเมื่อใด.. มิจฉาทิฐิ และสีลัพพตปรามาส ความคิดความเชื่อผิดๆ ก็อยู่ไม่ได้..
เช่นเดียวกับ มีห้องเดียว.. ถ้าปิดไฟอยู่ ห้องก็มืด.. เปิดไฟเมื่อไหร่ ห้องก็สว่าง..
เช่นเดียวกัน.. ภายในจิตดวงเดียว..
“วิชชาเกิด.. อวิชชา ก็ย่อมดับไป..”
โฆษณา