7 พ.ค. เวลา 06:27 • หุ้น & เศรษฐกิจ

รวบรวมสรุป อบรม The Influencer Financial & Investment Day 2 (4.05.2025)

การเรียนในสัปดาห์ที่ 2 ของโครงการ The Influencer ซึ่งมีเนื้อหาเริ่มเข้มข้นในด้านการเงิน การลงทุน โดยมีวิทยากรพี่ลูกหมู มาเล่าทั้งประสบการณ์ของตัวเอง และเรียนตามอบรมหลักสูตรที่เคยเรียนใน SET E-Learning โดยส่วนตัวเราเคยรู้เรื่องผลิตภัณฑ์การลงทุนอยู่มานานมากแล้ว
จนตอนนี้ได้กลับมาทบทวนกันอีกครั้ง เพื่อปรับทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันความรู้การลงทุนสามารถยกระดับไปสู่การผลิตสื่อด้านการลงทุน ซึ่งเป็นการบรรยากาศที่สนุกสนาน พร้อมสอดแทรกมุขตลกของลูกหมู ส่วนในช่วงบ่ายเป็นการเรียนเบื้องต้นที่จะปูพื้นฐานของการเป็น Influencer โดยบีบี โดยเบื้องต้นจะสอนถึงเรื่องการค้นหาตัวตน บุคลิกภาพ และการแต่งกาย โดยจะสรุปสำหรับในโพสต์นี้กันค่ะ
Morning Session - นฤมล บุญสนอง (ลูกหมู)
ครบเครื่องเรื่องลงทุน (Stock Market 101)
รู้จักตลาดและผลิตภัณฑ์การลงทุน
- เริ่มประเดิมแรก ทำไมต้องออม หรือ ลงทุน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วัยเรียน ตลอดจนถึงสิ้นอายุขัย โดยแบ่งระดับในการเก็บเงินสะสมตามช่วงวัย รวมไปถึงมีค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้จะทำอย่างไรให้มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ต้องรู้จักเป้าหมายของตัวเองก่อนว่าควรทำอย่างไรจะต้องใช้เงินอย่างมีเป้าหมายที่ควรจำเป็น โดยแบ่งเป็นในการหารายได้ทั้ง 2 แบบ คือ Active Income กับ Passive Income
- Active Income มีรายได้แบบทางเดียว ส่วนใหญ่มีรายได้จากงานประจำ สัญญาจ้างเป็นแบบลูกจ้าง รายเดือน รายวัน มีรายได้จากการทำงานที่ต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญ ถ้าเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น เพิ่มเวลาการทำงาน ทำให้เราสามารถพัฒนา เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานมากขึ้น แล้วยังมีสิทธิในการลาป่วยหรือช่วงวันหยุด แต่ถ้าเกิดวันใดหยุดทำงานหรือไม่ได้ทำงานก็จะไม่ได้รับรายได้
- Passive Income เป็นการหารายได้จากการเจ้าของทรัพย์สิน เช่น การทำประกันชีวิต การเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ฝากเงินนธนาคาร ลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุน ทองคำ เป็นต้น แต่อาจต้องใช้เวลาในเติบโตเพื่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น จึงเปรียบเสมือนเป็นต้นไม้ที่กำลังเติบโต
- ใช้สูตร “3 พลังมหัศจรรย์ สร้างเงินออมก้อนโต” โดยมี 3 หลักการที่สำคัญในการสร้างความมั่นคั่งทางการเงินของตัวเราเอง คือ เงินออมในแต่ละงวดยิ่งมากยิ่งดี, อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่องวดยิ่งเยอะยิ่งดี และ จำนวนงวดี่ต้องออมอย่างต่อเนื่องยิ่งนานยิ่งดี
- ตลาดการเงิน เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยแบ่งตราสารทางการเงิน 2 ประเภท ได้แก่ ตลาดเงิน (Money Market) มีอายุน้อยกว่า 1 ปี เช่น ตราสารภาครัฐและเอกชน - ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก เช็ค ตั๋วสัญญาใช้เงิน ส่วนตลาดทุน มีอายุมากกว่า 1 ปี เช่น ตราสารหนี้ – พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตราสารทุน (SET, MAI) – หุ้นสามัญ/บุริมสิทธิ Warrants DW DRและ ตราสารอนุพันธ์ (TFEX) – Futures, Options
- การเป็นเจ้าในการซื้อหุ้น ถ้าธุรกิจดีจะจ่ายเงินปันผล ราคาจะสูงขึ้น แต่อาจจะมีราคาลงอยู่บ้าง แล้วแต่สถานการณ์ในอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดราคาผันผวนได้ ซึ่งควรพิจารณาในการลงทุนอย่างรอบคอบ และศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะถือว่าการลงทุนมีความเสี่ยง
- ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) เหมือนเป็นใบแรกซื้อ มีอายุอัตราส่วนในการแลก คนออกคือเจ้าของ ส่วน DW ผู้ออกคือโบรกเกอร์
- Futures และ Option ไม่มีความเป็นเจ้าของ เป็นการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า โดยต้องซื้อผ่านทาง TFEX
- กองทุนรวม เป็นการรวมเงินของนักลงทุน แล้วนำมาลงทุนตามนโยบายที่กองทุนรวมนั้นๆ กำหนดไว้ โดยมีผู้จัดการกองทุนในการจัดการเงินกองทุน โดยมีค่าผลตอบแทนเงินปันผล NAV เพิ่มขึ้น และกำไร-ขาดทุน จากการขายหน่วยลงทุน
- ETF สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น มีดัชนีอ้างอิง และไม่มีกำหนดอายุกองทุน แต่มีความเสี่ยงในด้านสภาวะตลาด สภาพคล่อง ทิศทางของดัชนีไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และราคา ETF < NAV
- สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ดั้งเดิม (หุ้น หรือ ตราสารหนี้) เพื่อเพิ่มความหลากหลายการลงทุนมากขึ้น มีทั้งแบบอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโด ส่วนสังหาริมทรัพย์ เช่น ทองคำ ลิขสิทธิ์ งานศิลปะ โดยมีความเหมือนกันระหว่างอสังหาริมทรัพย์ กับ สังหาริมทรัพย์ คือ มีมูลค่าราคากลาง แต่ความแตกต่างในด้านสภาพคล่อง
- สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) เป็นหน่วยลงทุนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าในรูปแบบต่างๆ เช่น Crypto และ Digital Tokens ซึ่งทั้งคู่ยังไม่มีตัวกลางในการแลกเปลี่ยนหรือทำธุรกรรมต่างๆ แต่ในอนาคตจะสามารถควบคุมมาตรการดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะต้องศึกษาอย่างยิ่งในการลงทุนประเภทสินทรัพย์ดิจิทัล
5 Step เริ่มต้นลงทุน
- Step 1 : การรู้จักตัวเองในการเลือกนโยบายลงทุนที่เหมาะสม ว่าควรกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างไร โดยมีวางแผนในการลงทุนในด้านต่างๆ เช่น ด้านการศึกษา ท่องเที่ยว เรียนคอร์ส เป็นต้น ต้องการใช้เงินประมาณเท่าไร ควรระบุจำนวนเงินให้ชัดเจนที่จะมีเป้าหมายในการใช้เงินอย่างไร และบรรลุเป้าหมายแบ่งเป็น 3 ระดับ เช่น ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) ระยะกลาง (1-5 ปี) และ ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)
- วิเคราะห์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เกิดจากความผันผวนจากการลงทุนที่อยู่ในขอบเขตนักลงทุนมีความสบายใจ อาจมีสัดส่วนการลงทุนที่ต่างกัน Risk Profile มี 2 ชนิด ได้แก่ ความยินดีรับความเสี่ยง (Willingness to Take Risk) แสดงถึงความพอใจ/ความกล้าที่จะรับความเสี่ยง และ ความสามารถในการรับความเสี่ยง (Ability to take risk) แสดงถึงความพร้อมที่จะรับความเสี่ยง “เห็นวิกฤติเป็นโอกาส”
- ข้อจำกัดในการลงทุน มี 5 ประเภท ได้แก่ ความต้องการสภาพคล่อง, ระยะเวลาลงทุน, ภาระทางภาษี, ข้อจำกัดเฉพาะนักลงทุนแต่ละราย และ ข้อจำกัดด้านกฎหมาย
- Step 2 : จัดสรรเงินลงทุน สร้างพอร์ตกระจายความเสี่ยง กระบวนการจัดแบ่งเงินลงทุนไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยต้องคำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยขั้นตอนการจัดสรรเงินลงทุน โดยมี 2 ขั้นตอน ได้แก่ กำหนดกรอบการจัดสรรเงินลงทุนในระยะยาว เพื่อจัดพอร์ตลงทุนระยะยาวมากกว่า 5 ปีขึ้นไป และ กำหนดกรอบการจัดสรรเงินลงทุนในระยะสั้น เป็นการปรับการจัดสรรเงินลงทุนเป็นครั้งคราว ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด
- Step 3 : วิเคราะห์เลือกหลักทรัพย์ โดยมีการวิเคราะห์ทั้งวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการค้นหากิจการและราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุน และ ทางเทคนิค เป็นการหาช่วงจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน ความสำคัญการวิเคราะห์คือ สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุน และสร้างวินัยการลงทุน โดยไม่หลงเชื่อตามข่าวลือ
- Step 4 : ตัดสินใจลงทุน หลังจากได้ศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างมีความเข้าใจแล้ว จึงสามารถเปิดบัญชีด้วย การติดต่อกับโบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ กรอกใบคำขอเปิดบัญชี พร้อมแบบทดสอบความเสี่ยง หลังจากได้รับอนุมัติเปิดบัญชีจะมีเลขทะเบียนที่บัญชี ซึ่งต้องเก็บเป็นความลับ และ เปิดคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านออนไลน์หรือผู้แนะนำการลงทุน (IC) ส่วนการเปิดบัญชีกองทุนรวม ซึ่งอยู่ในขั้นตอนคล้ายกับเปิดบัญชีหุ้นเช่นกัน แต่มีความแตกต่างตรงต้องติดต่อกับบลจ. กับ ซื้อขายหน่วยลงทุน โดยมีแอป Streaming Fund+
- Step 5 : ติดตามและประเมินผลการลงทุน ควรต้องหมั่นตรวจสถานการณ์ลงทุนของตัวเองในทุก 6 เดือน – 1 ปี เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ถือเป็นการมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ แล้วควรทราบผลการลงทุนได้จาก Portfolio ในเว็ปของโบรกเกอร์ หรือ ติดตามผล Virtual Portfolio ในเว็ป Settrade
- ปัจจัยที่แห่งความสำเร็จในการลงทุน คือ เมื่อตัวเองมีเป้าหมายในการลงทุน และวางแผนชีวิตในช่วงวัยต่างๆนั้น ควรต้องมีความรู้และมีวินัยที่จะศึกษาการลงทุนหลายด้าน ติดตามข่าวเศรษฐกิจจากทั้งสื่อออนไลน์ ทีวี หนังสือ ฟังสัมมนา อบรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากที่อยากมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง แล้วต้องกระจายการลงทุน และ ขยันหมั่นทบทวน ถ้าคุณเริ่มต้นเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์มาก่อน ควรแนะนำเล่น Click2Win แบบจำลอง เพื่อซ้อมสถานการณ์ของตัวเองในการซื้อขายหุ้น ก่อนที่จะเทรดใช้เงินจริง
รู้ทันภัยหลอกลงทุน
- Paint Point ปัญหาที่พบเจอตามสื่อโซเชียลต่างๆมากมายที่มีการชักชวนเชื่อ การแอบอ้าง ทั้งชื่อบุคคล หน่วยงาน อ้างผลตอบแทนสูง ไม่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อ ซึ่งทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อง่าย ซึ่งในสถานการณ์นี้ถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเป็นอย่างมากที่ควรจะต้องมีสติ คิดทบทวน สังเกตจากหลายด้าน แล้วโทรสอบถามหน่วยงานที่น่าเชื่อถือมาช่วยตรวจสอบที่มีการแอบอ้างบุคคล หน่วยงาน และสถานที่ หลังจากนั้นควรเก็บหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งกับตำรวจทันที
Afternoon Session – นันทนา บุนนาค (บีบี)
- Identify Yourself กับการสร้าง Personal Branding คือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น Personal Branding ควรไปในทางไหน แต่บางคนอาจทำ Branding ของตัวเองไปเรื่อยๆ หรือตามแบบจากกำลังติดตามคนอื่น แล้วมองว่ากำลังเป็นเทรนด์ในสิ่งที่ทุกคนทำตามกัน ดังนั้น การทำ Personal Branding ที่เป็นตัวเรานั้นสามารถสร้างให้คนอื่นได้ นำศักยภาพของเราในสิ่งที่เรามีนำมาใช้ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวไปสู่ผู้อื่นได้ เพราะว่าตัวเราเองจะมีของตัวเราเองอยู่ตลอด
- Personal Branding กล้าเป็นของตัวเอง เรามีพลังที่ส่งต่อผู้อื่นได้ มนุษย์จะสื่อสารด้วยภาพก่อนเสมอ ในเมื่อเวลาที่เจอเราสักคนผ่านภาพลักษณ์ของเรา เค้าจะจดจำในการสืบข้อมูลของเราในหลายด้าน เช่น บุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย ความชอบ การใช้ชีวิต มีเพื่อนลักษณะแบบไหน ซึ่งส่งผ่านทางภาพ ส่วนด้านทางกาย Body Language การพูด การยืน น้ำเสียงที่ใช้ ภาษาที่ใช้ สามารถบ่งบอกลักษณะของเราทั้งหมด เป็นการสื่อสารทางตรงกับผู้อื่นว่าเราเป็นคนแบบไหน ส่วนสีเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งว่าตามไลฟ์สไตล์สีแบบไหนเข้ากับบุคลิกของตัวเราเอง
- Carrie McCabe นิยามถึงน้ำแข็ง ซึ่งเทียบกับ Prerenal Branding ในภูเขาบนน้ำแข็ง ส่วนภูเขาใต้บนน้ำแข็งคือกระบวนการของตัวเองในด้านต่างๆ เช่น อารมณ์ ความทรงจำ พฤติกรรม ลักษณะนิสัย คุณค่า เอกลักษณ์ตัวเอง จิตใต้สำนึก ซึ่งองค์ประกอบของตัวเองนั้น จนนำไปสู่การสร้าง Personal Branding
สำรวจและทำความรู้จักตัวเอง โดยใช้หลัก Brand Archetype
Carl Jung อธิบายถึง หลักจิตวิทยาของมนุษย์โดยเชื่อว่า Type ต่างๆเป็น แรงขับเคลื่อนในพื้นฐานของมนุษย์
แบรนด์ DNA ในจิตวิญญาณของเราสามารถเจอ Branding ของตัวเองได้เจอ จากหลักการของ Carl Jung ได้นำทฤษฎี Archetype Design for Personal Branding แบ่งเป็น 4 กลุ่ม 12 ประเภท มีดังนี้
Explore Spirituality (กลุ่มจิตวิญญาณ)
Innocent – ต้องการให้มีความปลอดภัย, มองโลกในแง่บวก หรือโลกสวย, มีความบริสุทธิ์, การมองเห็นความดีและเห็นคุณค่าในความดีงามด้านต่างๆ เช่น Dove, Coca-Cola, McDonald’s
Sage – รู้ลึกทุกอย่าง รู้จริง มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่รู้มากเกินไป ความจริงที่เกิดขึ้น สื่อถึง ความเฉลียวฉลาด แต่มีข้อเสียคือ ข้อมูลที่ยังไม่เป็นจริง หรือข้อมูลที่ต้องบอกๆต่อตามมา อาจจะมีการเอียงข้อมูลบางส่วนหรือนำเสนอข้อมูลได้ไม่หมด เช่น Google, The New York Times และ National Geographic
Explorer – ต้องการความอิสระ มีความทะเยอทะยาน มีความคิดที่สร้างสรรค์หลากหลาย สร้างประสบการณ์ในสิ่งใหม่ๆที่ไม่รู้จบต่างจาก Sage คือเปรียบเสมือนอยู่ห้องสมุด เช่น The North Face, Nasa และ GoPro
Leave Legacy (กลุ่มต้องการทิ้งบางสิ่งให้กับโลกใบนี้)
Outlaw – ต้องการออกจากกฎเกณฑ์ มีความเป็นผู้นำสูงเป็นตัวของตัวเอง ชอบความขบถในแง่บวก คือ ไม่อยู่ในกรอก เพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย เช่น Diesel, MTV และ Red Bull
Magician - พลังแห่งการสร้างสรรค์ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ นำความสามารถของตัวเองมาปรับใช้ในด้านต่างๆในวงกว้าง มีการใช้ Gut Feeling ในการแก้ปัญหา เชื่อว่าทุกคนมีพลังเวทย์มนต์ของตัวเอง เช่น Disney, Tesla, Polaroid
Hero – เป็นผู้พิชิตเอาชนะอุปสรรคและความชั่วร้าย สามารถนำพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ดีกว่าเดิมหรือไปให้ถึงจุดเป้าหมายที่ดีกว่า โดยใช้ความกล้าหาญ ศรัทธา และเสียสละ สามารถเป็นไปได้ เช่น สภากาชาติ Adidas และ BMW
Pursue Connection (กลุ่มต้องการเชื่อมต่อกับผู้อื่น)
Lover – ต้องการมีปฎิสัมพันธ์เชื่อมต่อกับผู้อื่น เป็นนักรัก ใช้ความรักมาเป็นนำทางในการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ อย่างมีความมุ่งมั่น เช่น Chanel, Nescafe และ Häagen-Dazs
Jester - ต้องการความสนุกในการใช้ชีวิต เน้นความบันเทิง สนุกสนาน มีสีสัน อยากเห็นผู้คนสนุกยิ้มแย้ม มองโลกในแง่ดีมาก มีความเป็นเทรนด์ กลุ่มคนลักษณะนี้เป็น Extrovert เช่น Old Spice, MailChimp และ Ben&Jerry
Everyman - ต้องการอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับทุกคน เข้าถึงง่าย ทุกคนเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างเคสของ ชัชชาติ เป็นคนที่เข้าถึงง่าย ทำทุกอย่าง อย่างตอนเกิดตึกถล่ม คนส่วนใหญ่มีความคิดที่อยากจะมูฟออน แต่เค้ายังมีความหวังจะต้องปกป้องและช่วยเหลือคนส่วนรวม เช่น Wrangler, Ikea และ Ebay
Provide Structure (กลุ่มสร้างบางสิ่งให้กับโลกใบนี้)
Creator – ต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ สร้างสิ่งที่ดีกว่าเดิมให้กับโลก โดยใช้ความสามารถที่เป็นไปได้อย่างเต็มที่ ลงมือทำและมีวินัยในการคิดสิ่งใหม่ๆ เช่น Apple, Youtube และ Crayola
Ruler - ต้องการเป็นผู้ควบคุม มีความเป็นผู้นำ กำหนดทิศทาง และผู้ที่ต้องการมีอำนาจ แต่ต้องใช้ไปในทางที่ถูกด้วย เช่น Boss, Rolex และ Microsoft
Caregiver - ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และอยากเห็นผู้อื่นมีความสุข ช่วยในการขับเคลื่อนและส่งเสริมร่วมกัน เช่น UNICEF, Johnson และ Nivea
เชื่อมต่อ Brand Archetypes ให้เข้ากับ Style ของเรา
การค้นหาตัวตนที่แท้จริง ขัดกับความเชื่อของคนอื่น โดยล้วนจากประสบการณ์ ความเจ็บปวด อุปสรรคต่างๆมากมายที่เจอเจอแตกต่างกัน สิ่งที่ความเป็นตัวเราคือสิ่งที่ค้นหา และหาให้ความเป็นตัวตนให้เจอ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และประสบการณ์อยู่พอสมควรที่จะรวบรวมประมวลผลของตัวเองจนนำไปสู่ความเป็นตัวเอง
- Dominance Type จะเป็นพลังงานที่ชัดที่สุด และถูกถ่ายทอดเองที่สามารถรู้ตัวได้โดยไม่ต้องพยายาม และมีความเป็นบุคลิกภาพของตัวเองชัดที่สุด กับ Archetypes Supportive คือ อาจจะมี Archetypes ซ่อนอยู่มากกว่า 1 สิ่ง ที่บางอย่างอาจจะต้องใช้งาน
- จากคำนิยามของ Carl มาเพื่อใช้ปรับสมดุลและยืดหยุ่น แล้วทำให้ Dominance สมดุลกลับของรอง ถ้าใช้อะไรส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไปอาจจะเกิดผลเสีย โดยสามารถใช้จากหลักการ Brand Archetype มาควบคู่มาลิงค์ร่วมกันเพื่อให้มีความเป็นของตัวเอง
- บีบีได้ฝากคำถามกับผู้เข้าร่วมงานผ่าน 3 ข้อ
1 ฟังเสียงสะท้อนในเรื่องราวของชีวิตตัวเองได้รับบทบาทไหนบ่อยที่สุดใน Brand Archetype 12 ประการ
มีบทบาทไหนบ้างเหนื่อยแต่รู้สึกตัวเองว่าใช่ที่สุด นั่นคือสิ่งที่อยากพัฒนาต่อ
2 อะไรที่จะกระตุ้นเราบางอย่าง ในแบบ Drakside และ Rightside
3 ตั้งคำถามจากหัวใจ ใช้ความเงียบที่ลึกที่สุดว่าฉันมาทำอะไรบนโลกใบนี้
- บีบีได้เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองได้เขียนไดอารีเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่บ่งบอกสะท้อนถึงการทำอะไรของตัวเองในสิ่งที่อยากทำ ตรงกับทฤษฎีของ Carl ว่าจะมาทำอะไรที่นี่คือของเก่าที่ยังทำไม่เสร็จ แล้วจะเอามาทำให้เสร็จ โดยใช้ลิงค์ออกมาต่างๆมาปรับใช้กับตัวเอง
- บีบีได้บอกว่า “Influencer เราถูกตัดสินและตีความความหมายของภาพลักษณ์ของเรา”
ไลฟ์สไตล์ของบุคลิกภาพ มี 5 แบบ
Casual / Natural – เนื้อผ้าโทนเบาสบาย ธรรมชาติ มีความเรียบง่าย ดูมีความเป็น Everyman นิสัยใจคอเป็นคนสบาย ไม่เป็นทางการมาก มีความเท่าเทียมกับทุกคน และ ไม่ตัดสินจากคนภายนอก
Classic / Traditional – เป็นคนมีความมั่นใจ มีความเป็นระเบียบ แต่งชุดดูมีความเป็นทางการ เรียบหรู ดูดี พูดน้อย แต่มีความชัดเจน
Romantic - ลักษณะแบบหวานๆ เสียงอ่อนโยน พูดช้า เสียงนุ่ม ไม่เร่งรีบ มีเสื้อลาย
Creative – ส่วนใหญ่เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ตามเทรนด์ พูดกระฉับกระเฉง เหมาะกับ เซลล์ ครีเอทีฟ
Dramatic – เป็นคนโดดเด่น มั่นใจในตัวเองสูง บุคลิกภาพในหลากสไตล์มาปรับใช้ใน Dramatic
การแต่งเสื้อตาม Brand Archetype
Innocent : เป็นคนเรียบร้อย แนวน่ารักหวานๆ และทะนุถนอม เหมาะกับสไตล์ Romantic
Sage : เป็นคนที่ Smart Casual ที่ไม่ทางการเกินไป มีความคล่องตัว เหมาะกับสไตล์ Traditional และ Smart Casual
Explorer : เป็นคนที่ชอบการสนุก รักสบาย ความคล่องตัว เหมาะกับสไตล์ Casual และ Creative
Outlaw : เป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัวตามกระแส มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความเชื่อมั่นสูง เหมาะกับ Classic Traditional และ Dramatic
Magician : เป็นคนรักธรรมชาติ สไตล์โบฮีเมียน ไม่ต้องเป๊ะทุกอย่าง เหมาะกับ Casual Creative
Hero : เป็นผู้มีความมุ่งมั่น ความเป็นผู้นำที่ชัดเจน พร้อมบุกลงมือทำ เหมาะกับสไตล์ Classic Traditional และ Creative
Lover : เป็นคนอ่อนหวาน มั่นคง มีลายดอกไม้ สีชมพู แตกต่างจาก Innocent เหมาะกับ Romantic และ Creative
Jester : เป็นคนชอบสนุกสนาน ชอบการ Match ใช้สีสัน เหมาะกับ Creative
Everyman : เป็นคนเข้าถึงง่าย สีธรรมชาติ เน้นความสบาย เหมาะกับสไตล์ Smart Casual
Creator : เป็นคนที่กระฉับกระเฉง ใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย คล่องตัวในการทำงาน เหมาะกับ Smart Casual
Ruler : เหมาะกับคนใส่ใจกับแพทเทิร์นและเนื้อผ้า มีความเป๊ะ แตกต่างจาก Hero เหมาะกับ Classic Traditional และ Dramatic
Caregiver : เป็นคนมีความมั่นคงในตัวเอง อ่อนโยน และเข้าถึงง่าย เหมาะกับ Classic Romantic
- Color Psychology หรือจิตวิทยาสี เป็นภาษาและเป้าหมายอย่างหนึ่งที่อยากจะสื่อถึงความรู้สึก อารมณ์ พฤติกรรม แบรนด์ต่างๆ โดยใช้เลือกสีที่เหมาะสมในการเชื่อมความเป็นตัวตนของตัวเองที่จะสื่อถึงไปยังกลุ่มเป้าหมาย สีจึงมีความสำคัญอย่างไรในการสร้างแบรนด์ แนวทางที่จะทำให้มีความรู้สึกดึงดูดใจไปยังผู้บริโภคที่สนใจอยากติดตามหรืออยากซื้อ
- ในเมื่อคนกำลังหลงทางในการแต่งตัวสีเสื้อในการนำเสนอผลิตสื่อต่างๆ หรือในชีวิตประจำวันที่จะต้องเจอกับผู้คนมากมาย สามารถเลือกสีตามสบายตัวเข้ากับสไตล์ของตัวเอง แต่ในเมื่อตัวเองยังไม่พร้อม สีจะนำพาช่วยส่งเสริมเราได้ แล้วไม่ทำให้ตัวตนต้องหายไปด้วย
- Color Harmony คือ การผสมสีด้วยเฉกหรือสี มีความกลมกลืนของสี ซึ่งในการผสมสีให้เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆนั้น ทำอย่างไรให้มีความรู้สึกถึงอารมณ์ พฤติกรรมที่จะดึงดูดใจในความสนใจถึงแบรนด์นั้นมากขึ้น
- บททิ้งท้ายของบีบี การสร้างแบรนด์สิ่งที่ยั่งยืนในการสร้าง Influencer สร้างแรงบันดาลใจให้กับโลกใบนี้อย่างไร ผลิตสื่อด้านการลงทุนในการสร้างแรงบันดาลใจอย่างไรให้ผู้คนสามารถตื่นตัวในเรื่องการเงิน การลงทุน ได้ เพื่อไปสู่เป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
- Purpose เราจะ Contribute สิ่งใดให้กับโลกใบนี้
- Results เราต้องการเห็นสิ่งใดให้เกิดขึ้น
- Action Plan ถ้าทำสิ่งนี้ได้เราจะทำอะไรให้เกิดขึ้นบ้าง
- ในเมื่อวันที่เราเหนื่อยและเมื่อยล้านั้น จะมีความรู้สึกว่าเราทำไปเพื่ออะไร จะต้องมีหลายด้านที่ต้องพิสูจน์ นี่คือสิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่จะพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา หรือสิ่งที่ต้องเผชิญที่จะต้องพัฒนา นี่คือสิ่งที่ต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
จากการเรียนอบรมโครงการ The Influencer ในครั้งที่ 2 ถือว่าเป็นการเรียนที่ได้ทบทวนจากที่เราเคยเรียนนำมาฟังกับผู้สอนตัวจริงอีกครั้ง แล้วลูกหมูจำเราได้ก่อนใครเลยเป็นคนแรกเลย ที่สอนแล้วสนุก คึกคักที่อยากเรียนรู้ไปด้วยกัน รวมไปถึงได้พูดคุยกับพี่ๆน้องๆ ได้นำแชร์ประสบการณ์ในการผลิตสื่อในด้านต่างๆที่จากสรุปไปในโครงการ
ต้องบอกก่อนเลยว่าได้การนำเสนอคอนเทนต์ผลิตสื่อด้านการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น จนทำให้ได้มีส่วนร่วมที่จะแบ่งปันร่วมความรู้กับหลายคนได้ ในสัปดาห์หน้าได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินอย่าง วิน พรหมแพทย์ ที่คุ้นๆอยู่ว่าเคยเขียนหนังสือของ M&W ด้วย และ ใหญ่ โอภาส ที่คุ้นๆ มาจาก Prop2Morrow ซึ่งจะต้องเจอกันตัวจริงและมีเนื้อหาที่เข้มข้นอย่างแน่นอน ต้องติดตามกันในสัปดาห์หน้าค่ะ
#TheInfluencerTH #TheInfluencer2025
โฆษณา