9 พ.ค. เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

#สรุป “5 Steps เริ่มต้นลงทุน”

โดยพี่ลูกหมู นฤมล บุญสนอง วิทยากรจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
มือใหม่หลายคนที่สนใจลงทุน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นลงทุนอย่างไรดี วันนี้เรามีเคล็ดลับจากพี่ลูกหมูมาแชร์ให้ฟัง จากคลาส Stock Market 101 ตามมาอ่านกัน!!
Step 1 - รู้จักตนเอง เลือกนโยบายลงทุนที่เหมาะสม
สิ่งแรกเราจะต้องรู้ก่อนว่า เป้าหมายในการลงทุนของตัวเองคืออะไร เพราะแต่ละเป้าหมายมีวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่ต่างกัน เช่นเดียวกับสินทรัพย์การเงินที่แต่ละประเภทก็มีความเสี่ยง มีความผันผวน และให้ผลตอบแทนไม่เหมือนกัน เราจึงควรวางแผนการลงทุนและเลือกสินทรัพย์ลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายนั้นๆ
3 คำถามที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนเลือกนโยบายลงทุน
- ต้องการลงทุนเพื่ออะไร? เช่น เพื่อเกษียณ เพื่อการศึกษาบุตร เพื่อท่องเที่ยวรอบโลก
- ต้องการใช้เงินประมาณเท่าไหร่? ระบุจำนวนเงินให้ชัดเจน
- ต้องการบรรลุเป้าหมายเมื่อใด? ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี, ระยะกลาง 1-5 ปี หรือระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
หลังจากที่รู้เป้าหมายแล้ว ต้องไม่ลืมวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อจะได้รู้ว่าเราเหมาะกับลงทุนในสินทรัพย์ใดบ้างและเพื่อเลือกสินทรัพย์ให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
- ความยินดีรับความเสี่ยง (Willingness to take risk) แสดงถึงความพอใจหรือความกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น ชอบความผันผวนต่ำแสดงว่ารับความเสี่ยงได้น้อย แต่ถ้ารับความผันผวนสูงได้หรือมองความเสี่ยงเป็นโอกาสแสดงว่ารับความเสี่ยงได้มาก
- ความสามารถในการรับความเสี่ยง (Ability to take risk) แสดงถึงความพร้อมที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น ระยะเวลาลงทุนสั้นหรือเป้าหมายมีความสำคัญมากแสดงว่ารับความเสี่ยงได้น้อย แต่ถ้าระยะเวลาลงทุนยาวหรือเป้าหมายมีความสำคัญน้อยแสดงว่ารับความเสี่ยงได้มาก
ตัวอย่าง เป้าหมายที่ต้องการกับสินทรัพย์ที่เหมาะสม
- ต้องการปกป้องเงินทุน = เงินฝากธนาคาร, พันธบัตรระยะสั้น, กองทุนรวมตลาดเงิน
- ต้องการสร้างรายได้ประจำ = ตราสารหนี้, หุ้นสามัญของกิจการที่มั่นคงและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
- ต้องการเพิ่มค่าเงินลงทุน = หุ้นสามัญที่เน้นการเติบโตของราคา, กองทุนรวมตราสารทุน, อนุพันธ์
- ต้องการผลตอบแทนรวม = พันธบัตร/หุ้นกู้, หุ้นสามัญ
Step 2 - จัดสรรเงินลงทุน สร้างพอร์ตกระจายความเสี่ยง
ความสำคัญของการจัดสรรเงินลงทุน เป็นขั้นตอนการตัดสินใจที่มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนมากที่สุด โดยจะจัดแบ่งเงินลงทุนไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ และจะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เพื่อให้ได้กลุ่มหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการจัดสรรเงินลงทุน
ขั้นที่ 1 กำหนดกรอบการจัดสรรเงินลงทุนในระยะยาว (SAA) เพื่อจัดโครงสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาวให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยง สามารถจัดพอร์ตลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือกำหนดสัดส่วนการลงทุนตามวงจรชีวิต
>> พอร์ตลงทุนมี 3 ประเภท คือ 1.Conservative เน้นรักษาเงินลงทุนให้อยู่ครบ ความเสี่ยงต่ำ 2.Moderate เน้นเสถียรภาพของรายได้ ความเสี่ยงปานกลาง 3.Aggressive เน้นเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน ความเสี่ยงสูง
ขั้นที่ 2 กำหนดกรอบการจัดสรรเงินลงทุนในระยะสั้น (TAA) เป็นการปรับสัดส่วนการจัดสรรเงินลงทุนเป็นครั้งคราว จนถึงปรับบ่อยครั้งให้เหมาะสมกัยการเปลี่ยงแปลงของสภาวะตลาด โดยจะลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงและลงการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีศักยภาพ
Step 3 - วิเคราะห์เลือกหลักทรัพย์
วิธีการวิเคราะห์เลือกหลักทรัพย์ แบ่งออกเป็น2 วิธีหลักๆ คือ
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน : ค้นหากิจการและราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุน โดยการศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด เช่น การดำเนินงาน ผลประกอบการ งบการเงิน เป็นต้น
- วิเคราะห์เทคนิค : หาช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน โดยวิเคราะห์จากราคาหลักทรัพย์ ปริมาณการซื้อขาย และช่วงจังหวะเวลา
Step 4 - ตัดสินใจลงทุน
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเราสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ไหน ขั้นต่อไป คือ ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ตราสารหนี้ ETF DR หรืออนุพันธ์ก่อนนะ ซึ่งเดี๋ยวนี้บริษัทหลักทรัพย์ให้เราเซ็นต์เปิดบัญชีครั้งเดียวก็สามารถลงทุนได้ทุกหลักทรัพย์เลย สะดวกสบายขึ้นเยอะ
หลังจากที่ติดต่อบล. เพื่อขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ทางบล.จะให้กรอกแบบฟอร์มขอเปิดบัญชีและทำแบบทดสอบความเสี่ยง สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ในการเปิดบัญชี คือ สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาสมุดบัญชีธนาคาร
หากบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว เราจะได้รับเลขที่บัญชีแบะรหัสซื้อขาย (PIN Number) หลังจากนั้นก็สามารถเริ่มซื้อขายได้เลย การส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์จะมีด้วยกัน 2 วิธีคือ ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และ ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยทั้ง 2 วิธีนี้ส่วนใหญ่ตอนนี้มักจะคิดค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นในอัตราที่เท่ากันแล้ว
Step 5 - ติดตามและประเมินผลการลงทุน
หมั่นตรวจสอบผลการลงทุนของตนเองเป็นประจำ ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เมื่อตัวเราเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงระยะเวลาหรือเป้าหมายที่กำหนด เมื่อสัดส่วนการลงทุนต่างไปจากกรอบการลงทุนระยะยาว เป็นต้น
เราจะทราบผลการลงทุนจากไหนบ้าง?
- Statement รายงานมูลค่าการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ที่อยู่ใน Portfolio หรือผลการดำเนินงานของกองทุนจาก บล. / บลจ.
- Portfolio ในเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นของ บล. / บลจ.
- บันทึกข้อมูลการซื้อขายและติดตามผลได้ที่ Virtual Portfolio ในเว็บ Settrade
สำหรับมือใหม่ที่อยากรู้ว่า ผลตอบแทนจากกการลงทุนของตัวเองดีพอแล้วหรือยัง แนะนำให้เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่เหมาะสม เช่น ลงทุนหุ้นไทย เปรียบเทียบกับ SET Total Return Index / SET Index / SET50 Index / SET100 Index เป็นต้น
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ The Influencer : Financial & Investment โดยสำนักข่าว efinacethai
สมัครฟรีได้ที่นี่ >> https://theinfluencer-th.com/signup
วันเสาร์นี้ คลาสที่ 3 ของโครงการ พบกับ “จัดพอร์ตอย่างไรให้มีเงินใช้ตลอดชีวิต” โดยคุณวิน พรหมแพทย์ และ “Property Influencers” โดยคุณใหญ่ โอภาส ถิรปัญญาเลิศ
#TheInfluencerTH
#TheInfluencer2025
#Cashury #รู้เท่าธัน #วางแผนการเงิน #Finfluencer
โฆษณา